หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1187 เต๋าไม่กระจ่าง
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า ภายในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดเงียบสนิท มีเพียงเสียงอ่อนโยนบางเบาลอยก้อง เข้าสยบความเจ็บปวดในใจของหวังเป่าเล่อ ทำให้ความอ่อนล้าในใจของเขา ยามนี้ค่อยผ่อนคลายลงทั้งหมด จนกระทั่งตัวเขาผล็อยหลับไป
ปลอดภัยยิ่งนัก อบอุ่นเหลือเกิน สัมผัสได้ถึงความมั่นคง
เหล่าวิญญาณในแม่น้ำแห่งความมืดด้านนอกราวกับสัมผัสได้ถึงบทเพลงของหวังอีอี พวกมันไม่ก่อคลื่นลมอะไรอีก กระทั่งว่ายังมีวิญญาณผู้วายชนม์จำนวนไม่น้อยบางส่วนในยามนี้ต่างค่อยๆ สงบลง ไม่ส่งเสียงกรีดร้องทุกข์ทรมาน
อีกทั้งในดาวเคราะห์แห่งความมืดนี้ ไม่ทราบว่าได้รับผลกระทบอย่างไร เพราะมันเองก็สงบลงเช่นกัน ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดราวกับดวงดาวเข้าสู่ห้วงนิทรา
เมื่อมองอย่างผิวเผินราวกับว่าทั้งดินแดนเงียบสงัด แม่น้ำแห่งความมืดสงบเงียบ ดาวเคราะห์แห่งความมืดจมอยู่ในความเงียบ สรรพสิ่งนิ่งสงบ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือเสียงเพลงของหวังอีอี ราวกับมันแผ่กระจายจากแม่น้ำแห่งความมืดนี้ไปทั่วทั้งดินแดน
“สายลมเอ๋ยโบกพลิวช้าๆ นกน้อยขับขานเสียงเบา เด็กน้อยอย่าได้เจ็บปวดไป หลับตาลงไวๆ…”
“หิมะเอ๋ยโบกปลิวเอื่อยเฉื่อย น้ำตาเอ๋ยยังคงหลั่งไหล เด็กน้อยอย่าได้ปวดร้าวไป ตื่นมาคราใดพบรอยยิ้มสุขอุรา…”
น้ำเสียงอบอุ่นปลอบประโลม ไม่มีกระแสคุกคามหรือน้ำเสียงดีดสูงเลยสักนิดเดียว มีเพียงความอ่อนโยนดังกระแสน้ำอุ่น ดังลมที่พัดบางเบา…อย่างเชื่องช้า มันกระจายเข้าไปสู่วังวนไร้ที่สิ้นสุดในดินแดนเบื้องบน ไปยังหัวใจของเงาร่างโดดเดี่ยวสูงศักดิ์นั้น
เงาร่างนี้ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ราวกับเป็นผู้ควบคุมวังวนของท้องนภา คนผู้นี้ครอบครองความมืดทั้งหมด ใจของเขา เต๋าของเขา ยามนี้ทำให้หัวใจด้านชาไปหมดสิ้น ทว่า…เมื่อได้ยินเสียงนี้เข้า เขาก็พลันลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะก้มหน้ามองไปยังแม่น้ำแห่งความมืด
จากนั้น เวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่าน ล่วงเข้าสิบวัน สามสิบวัน หนึ่งร้อยวัน…
หวังเป่าเล่อตื่นขึ้นแล้ว
ยามที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมา ดวงตานั้นฉายแววมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่ามีความทรงจำบางอย่างตกค้าง เมื่อเพ่งมองไปข้างหน้าก็พบเข้ากับดวงหน้าคุ้นเคย มองเห็นความอบอุ่นในดวงตาคู่นั้น ส่วนข้างหูยังคงได้ยินเสียงบทเพลงดังสะท้อนบางเบา ราวกับเป็นฝันตื่นหนึ่งของเขา
ในฝัน กระบี่สำริดยักษ์ไม่ปรากฏตัวในระบบสุริยะ ในฝัน…ไม่มีความขัดแย้งของสหพันธรัฐ ในฝัน…กระแสวิญญาณบนโลกนั้นบางเบาอย่างมาก และไม่มีผู้ฝึกตน
ในฝัน…เขาเป็นเพียงเจ้าอ้วนคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ มีชีวิตธรรมดา
สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ไม่นับว่าดีมากนัก หลังเรียนจบก็เข้าสู่สังคม ทำงานล้มลุกคลุกคลาน มีความรัก พบความผิดหวังจากการทำงาน อีกทั้งยังประสบการสูญเสียความรักไป ร่างกายนั้นแม้ไม่ได้อ้วนเหมือนเก่าแล้ว แต่บนหน้ากลับมีรอยตีนกาค่อยๆ เพิ่มมาทีละน้อย
เขาเองแต่งภรรยาคนหนึ่ง อีกทั้งยังมีบุตรของตนเองอีกด้วย ก็เหมือนกับคนทั่วไปอื่นๆ แม้ว่างานการจะไม่ดีมาก รายรับไม่ถือว่ามากมาย ทว่าต่อให้ไม่ได้ใช้ชีวิตหรูหราแสวงหาของแพง ก็ยังคงกินอิ่มนอนหลับ ท่ามกลางความธรรมดานี้ เขาค่อยๆ ลืมเลือนความฝันวัยเยาว์ไป ลืมความรุ่งโรจน์ในวัยรุ่น เปลี่ยนเป็นคนนิ่งเงียบ เปลี่ยนเป็นมึนงง เปลี่ยนสิ่งที่ไม่สนุกสนานให้กลายเป็นความเบิกบาน จิตใจนั้นแก่ชรานำหน้าร่างกายไปแล้ว
กระทั่งอายุของเขายิ่งเข้าใกล้วัยชรามากขึ้น กระทั่งเส้นผมเปลี่ยนเป็นสีดอกเลา กระทั่งเขานอนอยู่บนเตียงคนป่วย มองดูเพดานห้อง ในนั้นมีเงาบางส่วนแสดงภาพความทรงจำของเขา
มีบิดามารดา มีบุตรธิดา มีเพื่อน และยังมี…เงาร่างของตนเองที่ผ่านชีวิตนี้มาด้วย
ในเงาร่างนั้น มีรักแรกของตน มีภรรยาที่เองตบแต่ง ผู้ที่ตนซาบซึ้ง การทอดถอนใจแห่งความเสียดาย และคู่ชีวิตที่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะอยู่เคียงข้างตัวเขาไปตลอด
กระทั่งท้ายที่สุดนั้น เขายังเห็นฉากที่ตนเองได้เติบโตตั้งแต่เด็กจนแก่ชราทีละฉากๆ ตอนแรกคิดว่า…หลังจากหลับตาลงแล้ว ทุกสิ่งตรงนี้ก็จะจบลง ทว่าเมื่อลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาเขาพลันปรากฏแสงสายหนึ่ง
แสงนี้อบอุ่นอย่างมาก ทำให้หวังเป่าเล่อเกิดความรู้สึกตื่นรู้อยู่เลาๆ ราวกับว่าชีวิตนี้ของเขา มีไว้เพื่อใช้ตามหาบางสิ่ง ชาติก่อนเองก็เช่นกัน และในชาตินี้…เกรงว่าก็คงไม่ต่าง
บางทีอาจต้องการตามหาใครสักคนที่จะเป็นผู้โอบอุ้มดูแล
หรือบางทีอาจไม่ได้ตามหาผู้ใด เพียงแต่ตามหาตัวตนที่แท้จริงของตนเอง
สิ่งนี้ขัดแย้งนัก ราวกับการที่เขาต้องการคืนชีพให้อาจารย์นั้น บางทีอาจเป็นเรื่องที่ถูกต้องและไม่ถูกต้องก็ได้
เพราะว่านี่เป็นเพียงแค่ความต้องการของตัวเขาเอง เพราะเขาเพียงคิดว่าหากอาจารย์ยังคงอยู่ เช่นนั้นทุกอย่างคงดี แต่ยิ่งไปกว่านั้น…นี่เป็นเพียงการยึดตนเองเป็นหลัก เขาไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของผู้เป็นอาจารย์ ความเหนื่อยล้าของอาจารย์ ความเหนื่อยหน่ายของเขา ความไม่ยินยอมของอาจารย์ที่จะพบเห็นการทรยศ
คล้ายกับว่านี่เป็นเพียงหนทางที่ตนเองคิดว่าสมบูรณ์แล้วเท่านั้น
กำหนดชะตาหรือไม่ก็ดี ชักจูงเหตุผลต้นกรรมหรือไม่ก็ช่าง ใช้ความธรรมดาชิงความสงบเงียบ ใช้ความเหนือล้ำเพื่อยืนเหนือผู้อื่น ทุกสิ่งเหล่านี้ แท้แล้วเป็นความคิดของตนเอง
การกลับชาติถึงจะมีแต่ชะตาและเหตุผลต้นกรรมล้วนไม่สำคัญ ทุกสิ่งทั้งหมดนี้ หวนย้อนคืนไป…ก็คือการกระทำตามใจนั้นเป็นดี
“ดังนั้นที่ท่านอาจารย์กล่าว เต๋าของข้ายังไม่สมบูรณ์ เพราะข้าคิดว่าเต๋าของข้าคือการทำให้ข้ามีอิสระ แต่ที่ถูกนั้น แท้จริงแล้วก็คือ…อิสระอยู่ที่ตัวของเราอยู่แล้ว และบางทีนี่ก็คือเต๋าของข้า”
หวังเป่าเล่อจ้องมองใบหน้าเบื้องหน้าของตน เนิ่นนาน เนิ่นนาน
“เพลงของเจ้า ไพเราะมาก” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ตอนที่ข้ายังเด็ก ทุกครั้งที่รู้สึกไม่ดี ท่านแม่ก็จะกอดข้าเช่นนี้แล้วร้องเพลงให้ข้าฟัง…” แม่นางน้อยเอ่ยปากเสียงเบา
ในใจของหวังเป่าเล่อปรากฏภาพทั้งหมดที่ตนรู้เกี่ยวกับหวังอีอี เขาเข้าใจดีว่าช่วงเวลายามเด็กของอีกฝ่ายต้องขมขื่นอย่างไร และยิ่งเข้าใจดีว่านางในตอนนี้เป็นเพียงแค่เสี้ยววิญญาณเท่านั้น
“ขอบคุณ” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา ค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ เหยียดกาย ทว่าสีหน้าของหวังอีอียังคงมีรอยยิ้มเหมือนเก่า นางลูบหัวของหวังเป่าเล่อ
“เป่าเล่อน้อย สัญญากับข้านะ ต้องมีความสุข ยิ้มเยอะๆ” กล่าวจบ นางก็มองหวังเป่าเล่อคราหนึ่งด้วยสายตาลึกซึ้งก่อนจะกลายเป็นลำแสงสีครามสายหนึ่งพุ่งเข้าไปอยู่ในหน้ากากบนตัวหวังเป่าเล่อ
“ต้องสุขใจ ยิ้มเยอะๆ…ข้ารับปากเจ้า” หวังเป่าเล่อพึมพำ แล้วมองไปรอบด้านที่นิ่งงัน เนิ่นนานเขาก็เผยรอยยิ้ม รอยยิ้มนี้ดูไปแล้วเป็นความจริง มันมาจากใจ…
แต่ว่าไม่มีเสียงหัวเราะออกมา หวังเป่าเล่อเพียงยิ้มออกมาจากใจ คำนับลงยังจุดที่ร่างของอาจารย์แหลกสลาย หลังจากนั้นตัวเขาก้าวออกจากสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดด้วยรอยยิ้ม และพกรอยยิ้มบนใบหน้านี้ออกจากแม่น้ำแห่งความมืด ค่อยๆ เดินห่างออกไปจากแม่น้ำสายนี้…ทีละก้าว ทีละก้าว
เขาไม่ได้จากไปจากตัวแม่น้ำ ทว่ากำลังหาบางอย่างอยู่ภายในบริเวณ ระหว่างนั้นรอยยิ้มยังคงอยู่ตลอด มองหาเป้าหมายอย่างที่สองในการเข้าแม่น้ำแห่งนี้ แผ่นเลื่อนระดับโลกา!
ในเวลาเดียวกันในแม่น้ำแห่งความมืดนี้ แฝงไปด้วยไอมรณะไม่รู้ที่สิ้นสุด ของเหล่านี้ช่วยบำรุงจิตวิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อให้ยกระดับ ยิ่งเดินไปไกลมากเท่าไร เขาก็ยิ่งเบิกบานใจกว่าเก่า ฝักกระบี่ภายในกายนั้นคอยส่งเสียงกังวาน ไอมรณะจากทั้งแปดทิศหลอมรวมเข้ามา มุ่งหน้าเข้ามาหาเขาไม่หยุด
หลังจากเดินไปได้ไกลแล้ว ไอมรณะที่มารวมกันเป็นเวลานานก็ยิ่งมากขึ้น จิตวิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อดูดกลืนพวกมันอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ เลื่อนระดับจากระดับสมบูรณ์ ก้าวเข้าสู่ระดับจักรพิภพ ในเวลาเดียวกันขุมพลังเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อระดับพลังฝึกตนของหวังเป่าเล่อด้วย ทำให้ระดับการฝึกตนดารานิรันดร์ชั้นปลายของเขาเข้าสู่ชั้นสมบูรณ์แล้วค่อยๆ ยกระดับขึ้นอีก
วิชาผนึกดาราของเขา กำลังเคลื่อนพลัง
ดาวเคราะห์นับหมื่นด้านหลังเขานั้น ค่อยๆ แปรสภาพเป็นดารานิรันดร์อย่างช้าๆ หลังจากที่พวกมันทั้งหมดเปลี่ยนเป็นดารานิรันดร์แล้ว ก็หมายความว่าระดับการฝึกปรือของหวังเป่าเล่อจะถึงระดับสูงสุดของดารานิรันดร์ชั้นสมบูรณ์
ในเวลานั้น เพียงความคิดเดียวของเขาก็สามารถทำให้แผนที่ดารานั้นเบิกฟ้าตั้งแผ่นดินขึ้นใหม่ สำแดงพลังเบิกสร้าง…จักรพิภพ!
และในตอนนั้นเอง เขาก็จะเป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพิภพ
อีกทั้งยังเป็นระดับจักรพิภพที่แข็งแกร่ง….ชนิดไม่เคยพบมาก่อนด้วย!
เพราะว่าเขตจักรพิภพของเขา จะมีดาวเคราะห์เต๋านิรันดร์เป็นศูนย์กลาง อาศัยกฎแห่งเต๋าทั้งเก้า และดาวเคราะห์พิเศษนับหมื่นเป็นพลังกฎ จากนั้นกลายเป็น…จักรพิภพอันแสนสมบูรณ์แบบ!
หวังเป่าเล่อยังคงยิ้มเหมือนเก่า เขาเดินไปข้างหน้าทีละก้าว ค่อยๆ ตามหาร่องรอยภายในแม่น้ำแห่งความมืด มองเห็นเหล่าผีร้ายที่พุ่งตัวเข้ามาหาทีละตนเหล่านั้น
เขาพกพารอยยิ้ม เดินตามร่องรอย
เขาพกพารอยยิ้ม สังหารผีร้ายทีละตน บางครั้งก็แหงนหน้ามองไปยังนอกแม่น้ำแห่งความมืด มองไปยังเงาร่างที่อยู่ใจกลางวังวน ใบหน้านั้นปรากฏรอยยิ้มจริงใจ เป็นรอยยิ้มที่จริงใจมากยิ่งขึ้น
“ต้องเบิกบาน ต้องยิ้มให้เยอะๆ”
…