หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1194 ครามทองคำผสานรวม!
ผ่านไปนาน ขณะที่ปากบ่อน้ำกำลังจะพังทลายโดยสมบูรณ์นั้น ก็มีเสียงระมัดระวัง ถึงขั้นมีความกลัวเกรงและความซับซ้อนบางส่วนแฝงอยู่ก็ดังออกมาจากข้างใน
“คารวะบุตรแห่งความมืด”
“ขอบุตรแห่งความมืดได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย อีกเดี๋ยวข้าจะตัดการเชื่อมต่อกับดวงเนตรอนธการแห่งนี้ทันทีขอรับ”
“ข้าไม่ใช่บุตรแห่งความมืดของพวกเจ้า” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงราบเรียบ เขาสะบัดแขนเสื้อโดยไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้กล่าวต่อ จากนั้นบ่อน้ำบนดาวแห่งความมืดนี้ก็พังทลายหายไปไม่เห็นร่องรอยในพริบตา
เงาร่างของหวังเป่าเล่อหายไปโดยไม่ได้หยุดอยู่ที่นี่นานนัก เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็อยู่ในส่วนลึกของท้องทะเลแห่งอสูร ใต้ล่างของจุดที่ค้นพบซากปรักหักพังในปีนั้น ที่แห่งนั้น…มีโครงกระดูกอยู่
โครงกระดูกนี้คล้ายกับยักษ์ มันจมอยู่ในโคลน หลังจากเงาเต๋าของหวังเป่าเล่อปรากฏขึ้น เขาก็เหลือบมองอยู่พักหนึ่งแล้วหันกายจากไป
เดิมทีผนึกที่อยู่ด้านในซากปรักหักพังที่เขาเห็นเมื่อคราวนั้นช่างสมบูรณ์แบบ แต่วันนี้ด้วยพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อ เขาได้เห็นแล้วว่ามีอุโมงค์ที่เชื่อมต่อกับสำนักของจักรพิภพสำนักเสริมที่หลี่หว่านเอ๋อร์เดินทางไปมากมาย
ตนเคยคิดว่าผนึกเอาไว้หมดแล้ว แต่ความจริงยังมีจุดนี้ที่ไม่ได้ผนึก
แต่วันนี้มันไม่สำคัญแล้ว จะผนึกหรือไม่ผนึกก็ไม่สำคัญ เมื่อคิดว่ายังมีข้อตกลงสี่สิบกว่าปีอยู่ หวังเป่าเล่อจึงปล่อยมันเอาไว้ ตอนนี้เมื่อเงาเต๋าของเขาเลือนหาย ร่างจริงของเขาที่บนเตียงเล็กในบ้านก็ลืมตาขึ้น
กระแสเต๋าแผ่กระจายในครั้งนี้ไม่เหมือนกับการแผ่ขยายของสัมผัสสวรรค์ สัมผัสสวรรค์นั้นเพียงแค่มอง ส่วนกระแสเต๋าหลอมรวมเข้าไปจนกลายเป็นระบบสุริยะ ทำให้เขามองเห็นคนเก่าแก่มากมายและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนึกคิดของสรรพสิ่ง
พลังฝึกปรือของเจ้าเยี่ยเหมิงกำลังเลื่อนระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว โจวเสี่ยวหยายังคงสง่างาม พลังฝึกปรือก็มาถึงขั้นเชื่อมวิญญาณ แล้วยังมีหลิวต้าวปิน หลินเทียนโย่วและตู้หมิน
เพียงแต่นอกจากเจ้าเยี่ยเหมิงแล้ว การเลื่อนระดับพลังฝึกปรือของคนที่เหลือล้วนมีจำกัด
“ไม่รู้ว่าตอนนี้จั่วอี้ฟานกับกงเต๋าที่อยู่ในสำนักแห่งหนึ่งกับหลี่หว่านเอ๋อร์จะฝึกตนเป็นอย่างไรบ้าง” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า กระแสปราณแผ่กระจายครั้งนี้ของเขาได้ผสานรวมกับระบบสุริยะ จนสัมผัสได้ถึงคลื่นใต้น้ำบางส่วนที่แพร่กระจายอยู่ในสหพันธรัฐได้
คลื่นใต้น้ำเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนพัวพันกับฝ่ายการเมืองของสหพันธรัฐ ขณะเดียวกันส่วนหนึ่งในนั้นก็มีการส่งเสริมและสนับสนุนอย่างลับๆ จากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ทำให้สภาพแวดล้อมโดยรวมของสหพันธรัฐในปัจจุบันสงบสุข แต่ความขัดแย้งและการกระทบกระทั่งในที่ลับล้วนเกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อ
ถึงอย่างนั้น…สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญในใจของหวังเป่าเล่อ
ไม่ว่าที่ใดก็ล้วนไม่อาจมีอยู่แค่เสียงเดียวได้ ตราบใดที่เป็นสถานที่ที่สิ่งมีชีวิตมีสติปัญญามารวมกัน ก็ย่อมต้องมีอุบายการต่อสู้และการช่วงชิง
นี่เป็นเรื่องดีในแง่หนึ่ง แต่กลับไม่อาจล้ำเส้นได้ในระดับหนึ่ง
ส่วนตอนนี้ คลื่นใต้น้ำที่อารยธรรมดวงเนตรสววรค์แอบสนับสนุนก็กำลังพยายามล้ำเส้นอยู่ เรื่องนี้…ทำให้นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเผยความเย็นเยียบออกมา
“จะวางอุบายกับน้องสาวข้าหรือ”
การฆ่าฟันอย่างไร้ปราณีในโลกภายนอก ไม่ว่าจะฆ่าอย่างไรก็ไม่อาจทำให้หวังเป่าเล่อหวั่นไหวได้ เดิมทีเขาก็เป็นคนที่โหดเหี้ยมอยู่แล้ว เขาโหดกับคนอื่นและเหี้ยมกับตัวเองยิ่งกว่า ดังนั้นแม้ว่าสหพันธรัฐจะเป็นบ้านเกิดของเขา แต่ถ้าหากมีใครพยายามแตะต้องเส้นความอดทนของเขาล่ะก็ เขาไม่มีทางมีเมตตาให้เพราะอีกฝ่ายอ่อนแออย่างแน่นอน
บิดารมารดาของเขาไม่รู้เรื่อง ถึงขั้นที่คนเก่าแก่มากมายของหวังเป่าเล่อก็ล้วนไม่รู้เรื่อง แต่มีบางเรื่องที่หวังเป่าเล่อมองเห็นได้กระจ่างแจ้งยามแผ่กระแสเต๋าออกมา
มีคนกำลังวางอุบายกับน้องสาวของเขาจริงๆ เป้าหมายของมันก็คือตัวเขา และการวางอุบายครั้งนี้ ด้านหนึ่งก็ได้เพิ่มความคิดต่อต้านของเด็กหญิง ขณะเดียวกันก็สับเปลี่ยนเพื่อนตัวน้อยข้างกายนางไม่หยุด พยายามตามหาคนที่สามารถดึงดูดนางได้ จากนั้นก็สร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกัน
ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นคำบอกใบ้หรือการยุยงจากอารยธรรมดวงเนตรสววรค์ก็ดี หรือเป็นความคิดและแผนการส่วนตัวก็ช่าง แต่ตราบใดที่เริ่มลงมือ มันก็ได้ละเมิดจิตสังหารของหวังเป่าเล่อแล้ว
ขณะนี้ในสายตาของหวังเป่าเล่อ เขามองเห็นรถหินวิญญาณนับร้อยบนถนนสายหนึ่งในเขตตะวันออกของนครศักดิ์สิทธิ์อย่างชัดเจน มันกำลังส่งเสียงร้องกระหึ่ม คนเหล่านั้นล้วนเป็นวัยรุ่นชายหญิงกำลังแข่งรถกันอยู่ บางครั้งก็ส่งเสียงกรีดร้องแปลกๆ ท่าทางสนุกสนานกำเริบเสิบสานอย่างยิ่ง
ในบรรดานั้น คันที่เร็วที่สุดก็คือน้องสาวราคาถูกของตน หลังจากวิ่งไปถึงเส้นชัยแล้ว ข้างกายนางก็มีคนหนุ่มสาวยี่สิบกว่าคนพยายามเข้ามาใกล้ ขณะที่เข้ามาเอ่ยถามไถ่สารทุกข์อยู่นั้น ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูท่าทางหยิ่งยโสอย่างมาก เขาไม่ได้เข้าไปใกล้ แต่หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าน้องสาวของตนมักจะชำเลืองมองชายหนุ่มคนนี้อยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งเวลาที่มองไป หัวใจก็เต้นเร็วขึ้นด้วย
ถ้าหากชายหนุ่มคนนี้หยิ่งยโสจริงๆ ก็ช่างเถอะ ท่าทางเย่อหยิ่งของเขาสามารถหลอกเด็กพวกนี้ได้ แต่ไม่อาจปกปิดสายตาของหวังเป่าเล่อได้ เขามองเห็นความได้ใจของชายหนุ่ม มองเห็นความประหม่าของเด็กหนุ่ม และมองเห็นความอึมครึมหนาวเหน็บที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของสายตา
ภายใต้กระแสเต๋าของหวังเป่าเล่อ เขาเห็นว่าด้านหลังของชายหนุ่มมีเส้นไหมหลายเส้นปรากฏอยู่ เส้นเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนมืดสลัว มีเพียงเส้นเดียวเท่านั้นที่พุ่งตรงไปยังท้องฟ้า ฉุดรั้งอยู่กลางอวกาศ บนดาวพระเคราะห์สองสามดวงที่อารยธรรมดวงเนตรสววรค์ครองอยู่
หวังเป่าเล่อคร้านจะมองให้ละเอียดถึงตัวตนของบุคคลที่ดึงรั้งมันไว้ เขาถอนสายตากลับไปแล้วส่งเสียงหนึ่งประโยคเข้าไปในจิตใจของน้องสาว
“กลับบ้านมาพบข้า!”
ขณะเดียวกับที่ประโยคนี้ของหวังเป่าเล่อดังออกไป ทางฝั่งหวังเป่าหลิงที่กำลังเงยหน้าขึ้นอย่างได้ใจและสะบัดผมของนาง หนุ่มสาวจำนวนมากข้างกายเข้ามาล้อมรอบ ทำให้นางราวกับเป็นไข่มุกที่สว่างแพรวพราวอย่างยิ่ง นางโยนหมวกนักรบของรถไปด้านข้างตามแต่ใจ ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดบางอย่าง ตอนนั้นเอง เมื่อเสียงของหวังเป่าเล่อดังเข้ามา หวังเป่าหลิงก็ตัวแข็งทื่อทันที
สีหน้านางซีดขาวขึ้นมาในพริบตา ความจริงถึงแม้เสียงนี้จะแปลกหูอย่างยิ่ง แต่หลังจากเข้าสู่จิตใจของนางแล้วก็ทำให้เลือดในตัวคล้ายจะหยุดไหลเวียน การตอบสนองตามสัญชาตญาณทำให้ในใจของนางมีคำตอบถึงตัวตนของเจ้าของเสียงนี้ขึ้นมาในพริบตา
ชื่อของหวังเป่าเล่อได้ติดตามนางมาทั้งชีวิต ตั้งแต่นางเริ่มจำความได้ก็รู้ว่าทุกสิ่งที่ตนมีล้วนเป็นเพราะชื่อชื่อนี้ และเป็นเพราะชื่อนี้เอง จึงทำให้นางค่อยๆ รู้ว่าตนนั้นเป็นสิ่งพิเศษอย่างยิ่งในทั่วทั้งระบบสุริยะและสหพันธรัฐ
นางไม่กลัวท่านพ่อและท่านแม่ แต่สำหรับพี่ชายที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อนผู้นี้ นางมีความเกรงกลัวยากจะพรรณนาบางอย่าง
ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าหลิงที่กำลังภาคภูมิใจตัวสั่นเทา หันกายขึ้นขี่รถทั้งใบหน้าซีดขาว ไม่มีเวลาแม้แต่จะทักทายกับผู้คน จากนั้นก็รีบทะยานไปที่บ้าน
ขณะที่ทิ้งให้กลุ่มเพื่อนพากันงุนงงยากจะเข้าใจ เงาร่างของนางก็หายไปไกลแล้ว
หวังเป่าหลิงกลับมาถึงประตูบ้านอย่างรวดเร็วที่สุดและทำเวลาเร็วที่สุดพร้อมกับหัวสมองขาวโพลน นางยืนลังเลประหม่าอยู่พักหนึ่ง ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ เปิดประตูบ้าน มองเข้าไปเห็นเงาร่างที่ทั้งแปลกหน้าทั้งคุ้นเคยนั่งอยู่ในห้องรับแขกในขณะนี้เอง
แทบจะทันทีที่ประตูเปิดออก หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้น เหลือบมองน้องสาวผู้นี้ของตน การเหลือบมองครั้งนี้เขามองอย่างละเอียดอย่างยิ่งจนแน่ใจว่าด้านในตัวนางไม่มีกลอุบายใดๆ และแน่ใจว่าน้องสาวคนนี้ไม่ได้มีเหตุต้นผลกรรมแอบแฝง และแน่ใจว่าทั้งหมดนี้คือการสรรค์สร้างของพ่อแม่ที่อยู่ในสภาวะปกติเท่านั้น จากนั้นหวังเป่าเล่อจึงถอนสายตากลับ
แต่ทางหวังเป่าหลิงกลับมีสีหน้าซีดขาวยิ่งกว่าเดิมเพราะสายตานี้ แววตาจึงเผยความหวาดกลัวออกมา ทั้งหวั่นวิตก เอาแต่ยืนอยู่ที่ประตูไม่รู้จะพูดอะไร ถึงขั้นที่แม้แต่ก้าวเดินไปก็ยังทำไม่ได้
“มานั่งสิ” หวังเป่าเล่อกล่าวช้าๆ
“อือ” หวังเป่าหลิงพยักหน้ารัวแล้วนั่งลงอีกด้านหนึ่งอย่างเชื่อฟังอย่างยิ่ง นางก้มหน้า ไม่กล้าพูดจา ถ้าหากท่านพ่อและท่านแม่ของหวังเป่าเล่อตื่นมาเห็นภาพนี้ตอนนี้เข้าล่ะก็ จะต้องตกใจมากแน่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแต่ไหนแต่ไรพวกเขาก็ไม่เคยเห็นบุตรสาวมีท่าทางเช่นนี้มาก่อนอยู่แล้ว
เมื่อเห็นเด็กสาวหวาดกลัวตนเองเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็แอบส่ายหน้า เขาเห็นว่าพรสวรรค์โดยธรรมชาติของหวังเป่าหลิงนั้นธรรมดาสามัญมาก ขณะกำลังจะเอ่ยปาก แต่ทันใดนั้นเขาก็เลิกคิ้วขึ้นก่อนเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้า
ดวงตาของเขาราวกับมองทะลุทั่วทั้งระบบสุริยะ มองเห็นว่านอกระบบสุริยะในตอนนี้มีวังน้ำวนขนาดใหญ่แห่งหนึ่งปรากฏขึ้น วังน้ำวนส่งเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ก่อนจะมีเงาร่างเต๋าบินออกมาจากในนั้น
ภายในวังน้ำวนด้านหลังของเงาร่างนั้นคืออวกาศอันเจิดจรัส แสงสีม่วงแผ่กระจาย นั่นก็คือ…อารยธรรมครามทองคำ
ส่วนคนที่บินออกมาก็คือปรมาจารย์ครามทองคำผู้นั้น หลังจากที่เดินออกมาแล้วก็หยุดอยู่ด้านนอกระบบสุริยะ สีหน้าท่าทางของปรมาจารย์ครามทองคำผู้นี้เคร่งขรึม ประสานหมัดคำนับอย่างล้ำลึกมาทางระบบสุริยะด้วยท่าทางเคารพอย่างยิ่ง
“เจ้าแห่งอารยธรรมครามทองคำคารวะผู้อาวุโสหวัง ตามที่ผู้อาวุโสกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ข้าได้ข้อสรุปหลังจากปรึกษาหารือแล้ว ขอวอนให้ผู้อาวุโสมอบโอกาสให้อารยธรรมครามทองคำของข้ารุ่งเรืองด้วย เพื่อที่ว่า…ข้าจะได้ผสานรวมกับสหพันธรัฐโดยสมบูรณ์และสู้รบให้กับผู้อาวุโส!”
………