หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1195 ลงโทษ!
การมาถึงของอารยธรรมครามทองคำและคำพูดของปรมาจารย์ครามทองคำผู้นี้ดังไปทั่วทั้งระบบสุริยะในชั่วพริบตา จอมพลังทั้งหมดภายในระบบสุริยะล้วนใจสั่นสะท้าน สัมผัสสวรรค์สายแล้วสายเล่าก็แผ่ซ่านออกมาแล้วพุ่งไปยังอวกาศที่อารยธรรมครามทองคำอยู่อย่างรวดเร็ว
“อารยธรรมครามทองคำหรือ”
“ครามทองคำที่เคยรุกรานอารยธรรมดวงเนตรสววรค์เมื่อครั้งนั้นน่ะหรือ”
“เหตุใดจู่ๆ พวกเขาก็มาล่ะ คำพูดนี้ก็เป็นคำอ้อนวอนขอผสานรวมเสียด้วย”
“ผู้อาวุโสหวัง…หรือจะเป็น…” ขณะที่ดวงจิตเทพเหล่านี้สอดประสานกันอย่างรวดเร็ว แต่ละคนก็ส่งเสียงหากันทันที เผยให้เห็นความตกใจระมัดระวังอย่างรุนแรง
เป็นเพราะการมาถึงของอารยธรรมครามทองคำ แค่เพียงดูจากพลานุภาพก็น่าสะพรึงอย่างไร้ใดเปรียบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตัวปรมาจารย์ที่เอ่ยคำพูด หรืออวกาศอันกว้างใหญ่ไพศาลที่เห็นได้ชัดเจนอยู่ในวังน้ำวนด้านหลังของเขา ล้วนแสดงถึงความล้ำลึกของอารยธรรมครามทองคำที่เหนือยิ่งกว่าระบบสุริยะมากมายนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…การผสานรวมอารยธรรมดวงเนตรสววรค์ในครั้งนั้นได้ทำให้สหพันธรัฐมีความเข้าใจเกี่ยวกับจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายบ้างแล้ว สำหรับอารยธรรมครามทองคำที่เคยวางอุบายกับดวงเนตรสวรรค์นี้ พวกเขาก็ไม่ใช่ไม่คุ้นเคยอะไรนัก
พวกเขาเข้าใจดีว่าอารยธรรมครามทองคำก็คือสำนักอันดับหนึ่งในดาราจักรลำดับที่สิบเก้าในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย มีอารยธรรมใต้บังคับบัญชาอยู่หลายร้อยแห่ง เป็นความยิ่งใหญ่มหึมาของทั่วทั้งดาราจักรที่สิบเก้า
ถึงแม้จะไม่มีระดับจักรพิภพอยู่ในนั้น แต่ปรมาจารย์ของพวกเขาก็เป็นครึ่งก้าวสู่ระดับจักรพิภพ ถึงขั้นที่ว่าหากอาศัยวงแหวนปราณของอารยธรรมครามทองคำในขอบเขตอารยธรรมของพวกเขาก็มีคุณสมบัติพอจะต่อสู้กับระดับจักรพิภพแล้ว
ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ อานุภาพเช่นนี้ กลับจะมาขอผสานรวมอย่างวันนี้…
เรื่องนี้ทำให้ในใจของจอมพลังทั้งหมดภายในระบบสุริยะเต็มไปด้วยความสงสัย
หลินโยวแห่งเจ้านครดาวอังคาร สหายเต๋าเจ้านครดาวศุกร์ รวมถึงปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งอารยธรรมดวงเนตร สววรค์และชิงหลิงจื่อแห่งวังเต๋าไพศาล ชั่วขณะนี้ ขุมพลังทั้งสามฝ่ายล้วนพุ่งออกไปด้านนอกระบบสุริยะ ขณะเดียวกันวงแหวนปราณของระบบสุริยะก็คลี่ออกมาทั้งหมดอย่างไร้สุ้มเสียง ยิ่งกว่านั้น อู๋เมิ่งหลิน หลี่สิงเหวิน และปรมาจารย์ตระกูลจินก็ยังแผ่สัมผัสสวรรค์ทั้งหมดออกมาพร้อมกับทอดมองไปยังนอกระบบสุริยะด้วย
นอกจากนั้นยังมีเจ้าเยี่ยเหมิงผู้กักตนอยู่ในดาวพุธก็ลืมตาขึ้นมาในตอนนี้เอง แล้วมองไปทางอารยธรรมครามทองคำ แววตานั้นฉายแววครุ่นคิด จากนั้นจึงหันหน้าไปมองโลก
ไม่ใช่แค่นางเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ผู้คนที่แผ่สัมผัสสวรรค์และออกมาข้างนอก ตอนนี้ต่างพากันตกอกตกใจในพริบตาแล้วมองไปยังดาวโลกด้วย เห็นได้ชัดมากว่าผู้อาวุโสหวังที่อารยธรรมครามทองคำแผ่ดวงจิตเทพออกมา เอ่ยเรียกชื่อด้วยความเคารพนบน้อมจนทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในใจของคนทุกคนผู้นี้…
จากคำเรียกเช่นนี้ ผู้ที่พวกเขานึกถึงนั้น มีเพียงคนเดียวที่จะรับคำเรียกขานนี้ได้!
คนผู้นี้ย่อมเป็นหวังเป่าเล่อที่ออกจากสหพันธรัฐไปสิบกว่าปี!
“เขากลับมาแล้วหรือ” คำถามนี้ปรากฏขึ้นในใจของคนทุกคน อารมณ์ความรู้สึกของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ระดับจักรพิภพผู้นั้นของวังเต๋าไพศาลเงียบงัน ศิษย์ของเขาชิงหลิงจื่อก็ไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อกลับมาแล้ว การที่จิตใจสั่นสะท้านเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าการถูกหวังเป่าเล่อสยบในปีนั้น ยังคงทิ้งเงาดำมืดมาจนถึงทุกวันนี้อยู่
อารยธรรมดวงเนตรสววรค์กลับหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด จอมพลังทั้งหมดในนั้นไม่มีใครไม่ก้มหน้า เพราะในสายตาของพวกเขา หวังเป่าเล่อคือจักรพรรดิ
ส่วนปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็ทอดถอนใจและเลือกก้มหน้าลงเช่นเดียวกัน เมื่อเทียบกับตัวเขาแล้ว ทุกคนในสหพันธรัฐที่มีการคาดเดาอยู่ในใจตื่นเต้นเป็นพิเศษ
ดวงตาของท่านผู้นำอู๋เมิ่งหลิงสว่างไสวขึ้นมา หลี่สิงเหวินก็ยิ้มออกมาจากใจจริง หลินโยวก็ดี สหายเต๋ากุ้ยก็ดี จิตใจของแต่ละคนล้วนแต่ตื่นเต้น
แต่ก็มีบางคนที่ตอนนี้ในใจประหม่าร้อนตัวเป็นพิเศษ
สำหรับท่าทางของทุกคนนั้น หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ภายในบ้านในนครศักดิ์สิทธิ์และพูดคุยกับน้องสาวของตนอยู่สามารถรับรู้ได้แจ่มชัดอย่างยิ่ง เขาไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร ปล่อยให้คนเหล่านั้นในสหพันธรัฐไปติดต่อหารือกันเอง
เรื่องนี้นับว่ามอบให้เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งของสหพันธรัฐแล้วกัน ถ้าหากทุกอย่างราบรื่นก็ดี แต่ถ้าหากไม่ราบรื่น ให้เขาออกหน้าอีกครั้งก็เป็นเรื่องที่เหมาะสม ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเพียงแค่แผ่กระแสเต๋าออกมาล้อมรอบกายของปรมาจารย์ครามทองคำที่โค้งกายคำนับตนอยู่นอกระบบสุริยะเป็นการแสดงออกว่าเขารับทราบแล้ว หลังจากแสดงท่าทีต้อนรับเรียบร้อย เขาก็ถอนกระแสเต๋ากลับมาแล้วมองไปยังหวังเป่าหลิงที่นั่งอยู่ข้างกายตนอีกครั้ง
เมื่อสัมผัสได้ว่าหวังเป่าเล่อมองมาทางตนอีกครั้ง หวังเป่าหลิงก็นั่งตัวตรงตามสัญชาตญาณทันที ใบหน้าเล็กๆ ประหม่าอย่างยิ่ง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ไม่ชอบให้เจ้าแต่งตัวแบบนี้” เรื่องเกี่ยวกับหวังเป่าหลิงเป็นเรื่องที่จัดการได้ง่ายมากสำหรับหวังเป่าเล่อ ตอนนี้เขาถอนสายตากลับมาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“อีกเดี๋ยวข้าจะเปลี่ยน ต่อไปไม่มีทางเป็นแบบนี้แล้ว” หวังเป่าหลิงกล่าวตอบอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่คิด
หวังเป่าเล่อพยักหน้า แล้วเอ่ยต่อ
“อย่าทำให้ท่านพ่อและท่านแม่เป็นห่วง อย่าได้ต่อปากต่อคำ”
“ข้า…ต่อไปข้าจะไม่เถียงกลับสักคำ ท่านพ่อท่านแม่พูดอะไรข้าล้วนเห็นด้วยทั้งหมด ข้าจะเชื่อฟังอย่างที่สุดเจ้าค่ะ” หวังเป่าหลิงรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย อดกลั้นไม่ให้ร้องไห้ออกมา แต่หลังจากกล่าวจบ นางก็ยังกลั้นไว้ไม่ได้ จึงเอ่ยถามเสียงเบา
“แต่ถ้าหากสิ่งที่พวกเขาพูดมันไม่ถูกต้อง…พี่ ข้า…ข้าพูดกับท่านได้ไหม”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกว่าพี่ จิตใจของหวังเป่าเล่อก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น เขามองน้องสาวที่หวาดกลัวตนเองอย่างยิ่งคนนี้ จากนั้นจึงเผยยิ้มโง่งมออกมาแล้วยกมือขึ้นลูบหัวน้องสาว
“ได้สิ”
“จริงหรือ” เมื่อถูกหวังเป่าเล่อลูบหัว ดวงตาของหวังเป่าหลิงก็สว่างไสว
“จริงสิ แต่เจ้าห้ามทำให้พ่อแม่กังวลใจ”
หวังเป่าหลิงอยากร้องดีใจตามสัญชาตญาณ แต่พอชำเลืองมองหวังเป่าเล่อ นางก็หดคอกลับสะกดกลั้นเอาไว้แล้วพยักหน้าเร็วๆ ด้วยความเชื่อฟังอย่างยิ่ง จากนั้นก็กลอกตาไปเห็นว่าบนโต๊ะด้านหน้าของหวังเป่าเล่อว่างเปล่า จึงรีบลุกขึ้นไปหยิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณมาให้หวังเป่าเล่อหนึ่งขวด ก่อนวางเอาไว้ตรงหน้าเขา
หวังเป่าเล่อมองดูน้ำเย็นหล่อวิญญาณ ในใจอบอุ่นขึ้นมาก หลังจากเงียบงันไป จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น
“เจ้าชอบเขาหรือ” หวังเป่าเล่อพูดพลางยกมือขึ้นโบก เงามายาสายหนึ่งปรากฏขึ้น นั่นก็คือภาพชายหนุ่มคนนั้นที่ถูกน้องสาวของตนแอบมองก่อนหน้านี้
ใบหน้างามของหวังเป่าหลิงแดงเรื่อ กระมิดกระเมี้ยนเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้า
หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ตำแหน่งต่างกันก็ต้องใช้วิธีจัดการแตกต่างกัน ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ล่ะก็ บางทีหวังเป่าเล่ออาจจะกีดกันทันทีแล้วเลือกคนที่ตนยอมรับมาคนหนึ่งแทน แต่ตอนนี้เมื่ออยู่ในตำแหน่งเช่นเขา เขาไม่อาจไปยุ่งเกี่ยวกับการเลือกของน้องสาวได้ ยิ่งกว่านั้นคนหนุ่มสาวก็มีความไม่แน่นอน เรื่องในตอนนี้อาจไม่ได้หมายถึงอนาคต ดังนั้นเรื่องนี้เขาจะไม่ไปกีดกั้น แต่จะปรับเปลี่ยนบางอย่าง
ดังนั้นพริบตาต่อมา หวังเป่าเล่อก็แผ่กระแสเต๋าแล้วตามหาชายหนุ่มที่เพิ่งจะกลับถึงบ้านภายในนครศักดิ์สิทธิ์ทันที เขามองเห็นเส้นของเหตุต้นผลกรรมที่แผ่ออกมาจากร่างแล้วโยงขึ้นไปบนฟ้าเส้นนั้นจึงโบกมือขึ้นทันที พริบตาเดียวเส้นเหตุต้นผลกรรมเส้นนั้นก็พังทลายลงมาโดยตรง
เมื่อมันพังลงมา ที่ปลายอีกด้านของเส้นนั้น ภายในดาวพระเคราะห์ที่อารยธรรมดวงเนตรสววรค์อาศัยอยู่ ผู้ฝึกตนวัยกลางคนที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ก็หน้าเปลี่ยนสี กำลังจะลุกขึ้นยืน แต่พริบตาต่อมาร่างกายของเขาก็เหมือนกับลูกหนังลมรั่ว แห้งเหี่ยวอย่างฉับพลัน แล้วร่วงลงพื้นกลายเป็นเถ้าถ่านบินว่อน
ไม่ใช่แค่เขาที่เป็นเช่นนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ร่างกายของผู้ฝึกตนทั้งหมดสิบกว่าคนที่มีระดับฝึกปรือแตกต่างกันภายในอารยธรรมดวงเนตรสววรค์ก็กลายเป็นเถ้ากันหมดในพริบตา
ยังมีอีกคนที่มีพลังฝึกปรือมาถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะ คนผู้นี้หวังเป่าเล่อคุ้นตาเล็กน้อย แต่ลืมชื่อไปแล้ว น่าจะเป็นศิษย์ผู้นั้นของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ในความทรงจำ ร่างกายของเขาก็สั่นสะเทือนเช่นกัน คิดจะกำจัดแก้ไข แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ตัวเขาก็กลายเป็นเถ้าถ่านเสียแล้ว
ขณะที่คนผู้นี้กำลังจะตาย ตอนนั้นเองปรมาจารย์มหาทัณฑ์ที่อยู่นอกระบบสุริยะและกำลังรับรองอารยธรรมครามทองคำพร้อมกับคนในสหพันธรัฐก็ตัวสั่นเทาขึ้นมา เหนือศีรษะมีเงาดวงวิญญาณเทพปรากฏ แขนข้างหนึ่งของเงาร่างนี้ถูกกระแสเต๋าสายหนึ่งแผ่เข้ามาแล้วตัดขาดทันที!
เมื่อแขนของวิญญาณเทพถูกตัดขาด ฉับพลันเลือดก็พุ่งออกมาจากปากของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ร่างกายของเขาสั่นไหว เขาหันหน้าซีดขาวของตนไปทางดาวโลกในระบบสุริยะแล้วค้อมคำนับอย่างล้ำลึก
“แม้จะไม่ได้วางแผน แต่รู้เรื่องแล้วปล่อยผ่าน ตัดแขนของดวงวิญญาณของเจ้า ลดการฝึกปรือของเจ้าสองขั้นเป็นการตักเตือน!” ภายในใจของเขามีเสียงที่ทำให้เขาทั้งกลัวเกรงและหวาดผวาดังขึ้นมา
ผู้คนโดยรอบมองเห็นสภาพของเขาได้ทันที แต่ละคนล้วนมองมาอย่างสงสัย แม้แต่ปรมาจารย์ครามทองคำก็กวาดตามองมายังปรมาจารย์มหาทัณฑ์อย่างครุ่นคิด
“ทำให้สหายเต๋าทุกท่านและผู้อาวุโสต้องหัวเราะแล้ว ศิษย์ของข้าน้อยทำเรื่องต้องห้ามลงไป ในฐานะที่ข้าเป็นอาจารย์จึงย่อมต้องรับโทษด้วยความเต็มใจขอรับ”
……………………………