หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1241 เตรียมการ!
เป้าหมายของเฉินชิงจื่อคืออะไรและเขาคิดอย่างไร เรื่องนี้…หวังเป่าเล่อคาดเดาได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ความคิดที่ล้ำลึกยิ่งกว่านี้หวังเป่าเล่อไม่อาจวิเคราะห์ได้
แต่เขาเข้าใจบางอย่างได้รางๆ ว่าเฉินชิงจื่อ…คล้ายพยายามทำอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็พิสูจน์อะไรบางอย่าง
เมื่อความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาในหัวของเขา หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วก้าวเข้าสู่ระบบสุริยะซึ่งแผ่ขยายใหญ่โตจนเกือบจะไร้ที่สิ้นสุดหลังจากผสานรวมแปดพันกว่าอารยธรรมเข้าด้วยกันแล้ว
ระบบสุริยะในปัจจุบันมีขอบเขตกว้างใหญ่มาก จำนวนของดารานิรันดร์ก็มีเกือบหมื่นดวง แต่อย่างไรก็ตาม ดารานิรันดร์เหล่านี้ล้วนแนบมากับอารยธรรมในด้านหนึ่ง แม้แต่ดารานิรันดร์ของห้าสำนักใหญ่ก็เหมือนกัน ดาวหลักจึงมีเพียง…ดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐเท่านั้น!
เมื่อเทียบดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐกับในอดีตแล้ว มันเปลี่ยนแปลงเชิงด้านคุณภาพเช่นกัน ขนาดของมันใหญ่โตมโหฬารไร้ใดเปรียบ เทียบได้กับดาราจักรแห่งหนึ่ง และแสงสว่างของมันก็ยิ่งส่องสว่างไปไกล ขณะเดียวกัน เปลวเพลิงในนั้นก็แทบจะเป็นสีดำและแผ่อานุภาพน่าสระพรึงน่าหวาดกลัวออกมา
อานุภาพกดดันเช่นนี้ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้ พอมองจากไกลๆ ก็จะรู้สึกใจสั่นไหว ผู้ที่มีระดับต่ำกว่าดารานิรันดร์ก็เช่นเดียวกัน มีเพียงอยู่ระดับจักรพิภพเท่านั้นถึงพอจะเข้ามาคำนับดวงอาทิตย์ใกล้ๆ ได้
ในทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย มีอยู่สามคนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ก้าวเข้ามาในดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐได้โดยการอาศัยพลังฝึกตนของตัวเอง
หนึ่งคือปรมาจารย์แห่งไฟ หนึ่งคือเยาถง พวกเขาทั้งสองคนถือว่าอยู่ในระดับกึ่งจักรวาล เมื่อโคจรพลังเต็มที่ ก็สามารถรั้งอยู่บนดวงอาทิตย์ได้ในช่วงสั้นๆ
ส่วนผู้ที่สามารถอาศัยและฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นี่ได้เป็นเวลานาน มีเพียงแค่หวังเป่าเล่อ
ดังนั้นสถานที่กักตนของเขาจึงย้ายจากดาวอังคารไปยังภายในดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐ ทำให้ดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐ….รู้จักโดยทั่วกันว่าเป็น….วังเต๋าของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย
วังของเจ้าแห่งเต๋า!
ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากการที่หวังเป่าเล่อไปวางอำนาจข้างนอกหลังทะลวงระดับฝึกตน ทำลายกายเนื้อของตี้ซาน แล้วกลับมาจากตระกูลไม่รู้สิ้นได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งตระกูลไม่รู้สิ้นก็ไม่ได้มีคำกล่าวใดๆ ตามมา จึงยิ่งทำให้ชื่อเสียงบารมีของหวังเป่าเล่อในจักรพิภพศักดิสิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายเพิ่มขึ้นจากเดิมที่สูงมากอยู่แล้ว จนเป็นเฉกเช่นจิตแห่งเทพเจ้า
ตระกูลทั้งหลายในจักรพิภพศักดิ์สิทธ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็ยิ่งรู้สึกตะลึง ในภายภาคหน้า ผู้ที่มาขอผสานรวมด้วยก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน เนื่องด้วยสถานะเจ้าแห่งเต๋าในปัจจุบันของหวังเป่าเล่อ เมื่อเต๋าฝั่งซ้ายรวมเป็นหนึ่ง เต๋าฝั่งซ้ายก็จะทำตามเจตจำนงของเขา กระทำตนเป็นกลาง ไม่ส่งผู้ฝึกตนคนใดไปยังสนามรบของตระกูลไม่รู้สิ้นอีก
ในเรื่องนี้ ตระกูลไม่รู้สิ้นก็ไม่มีการโต้ตอบตามมา เลือกที่จะเงียบ
เวลาจึงเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้าเช่นนี้ การต่อสู้ของสำนักแห่งความมืดกับตระกูลไม่รู้สิ้นยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็เป็นอย่างที่เคย ล้วนรักษาขอบเขตไว้ในระดับหนึ่ง ถึงขั้นที่เมื่อสังเกตดูการรบอย่างละเอียดแล้วก็จะพบว่าการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายกลับมีการยั้งกำลังมากขึ้นจากเดิมที่อยู่ในสถานการณ์ยั้งกำลังอยู่แล้ว
ราวกับ…กำลังเตรียมการ!
ไม่ใช่แค่หวังเป่าเล่อที่สังเกตเห็นจุดนี้ ปรมาจารย์แห่งสำนักเจ็ดวิญญาณที่จักรพิภพสำนักเสริมและผู้ฝึกตนส่วนหนึ่งก็มองเห็นเค้าลางนี้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเวลาผ่านไป การต่อสู้ระหว่างสำนักแห่งความมืดและตระกูลไม่รู้สิ้นกลับเกิดขึ้นน้อยลงเรื่อยๆ ราวกับว่า…เป็นความสงบก่อนลมพายุ
ความสงบของสงครามกลับทำให้ความตึงเครียดและความประหม่ากระจายอยู่ในจิตใจของคนความรู้สึกไวทุกคน
“จะเริ่มสงครามกันจริงๆ แล้วหรือ” หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ในดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐลืมตาขึ้นจากสมาธิ เมื่อจ้องมองไปยังตระกูลไม่รู้สิ้น รอบกายของเขาก็มีอักขระโบราณนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น
อักขระโบราณเหล่านี้แฝงไว้ซึ่งพลังเต๋าธาตุดินเข้มข้น ล้อมรอบอยู่บนศีรษะของหวังเป่าเล่อ และสิ่งที่ถูกอักขระโบราณพันล้อมอยู่ก็คือก้อนโคลนก้อนนั้นที่เขาได้มาจากร่างของตี้ซาน…สามารถรองรับธาตุดินได้!
หลังจากกลับมาจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ก่อนหวังเป่าเล่อจะกักตน เขาก็ออกคำสั่งเต๋าให้รวบรวมนักหลอมอาวุธเวทจากทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายมาสร้างอักขระกึ่งสำเร็จรูปจำนวนมหาศาลให้แก่เขา
จนถึงตอนนี้ เขาล้มเหลวไปเลวหลายต่อหลายครั้ง เสียอักขระโบราณไปมากเสียจนน่าตกใจ ถ้าหากหวังเป่าเล่อไม่ใช่เจ้าแห่งเต๋าฝั่งซ้ายล่ะก็ เขาคงไม่อาจรวบรวมทรัพยากรของทั่วทั้งเต๋าฝั่งซ้ายได้ และความล้มเหลวหลายครั้งพวกนี้ก็จะทำให้เขาดำเนินการต่อไปได้ยากมากๆ
ถึงอย่างไรความสูญเสียจากความล้มเหลวในทุกๆ ครั้งก็มีจำนวนมหาศาล
แต่สำหรับหวังเป่าเล่อซึ่งในปัจจุบันที่เป็นเจ้าแห่งเต๋าฝั่งซ้ายแล้วนั้น ความเสียหายเหล่านั้นไม่นับเป็นอะไร ยังไม่ได้แตะถึงขีดจำกัดของเขา สิ่งเดียวที่ทำให้เขาร้อนใจมีเพียงก้อนโคลนก้อนนั้นแสดงอาการไม่เสถียรออกมาหลังจากล้มเหลวไปครั้งแล้วครั้งเล่า
“ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป เมื่อเกิดการล้มเหลวอีกหลายร้อยครั้ง ความไม่เสถียรของสมบัติชิ้นนี้ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น…” หวังเป่าเล่อลังเลอยู่ในใจเล็กน้อย แม้เขาจะเชื่อว่าหากของสิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผ่นศิลาจริงๆ เช่นนั้น…ว่ากันตามหลักการแล้ว ระดับความทนทานของมันน่าจะไม่ถูกสั่นคลอนได้ด้วยความล้มเหลวจากการหลอมสิ
แต่ถ้าเขาวิเคราะห์พลาด ของสิ่งนี้ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของแผ่นศิลาและล้มเหลวอีกหลายร้อยครั้ง ทันทีที่มันไม่มั่นคงมากยิ่งขึ้น คุณภาพของมันก็จะเสียหาย อีกทั้งถ้าหากเสียหายถึงระดับหนึ่งแล้ว คิดว่าคงไม่อาจนำมาเป็นสิ่งบรรจุเต๋าได้อีก
“เต๋าแปดปรมัตถ์ฝึกฝนยากมากจริงๆ ทั้งยังกินพลังมากเกินไป” หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก แม้ว่าวันนี้เขาจะถือว่าร่ำรวยอุดมสมบูรณ์แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บเข้าเนื้ออยู่บ้าง
ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้ เมล็ดของเต๋าธาตุดินนี้จะต้องหลอมรวมให้สำเร็จให้ได้ และเมื่อทำสำเร็จแล้ว…แม้ว่าจะไม่ทำให้เกิดวงจรส่งเสริมกดข่มกันและกันกับเต๋าธาตุน้ำและเต๋าธาตุไม้ แต่ก็ทำให้พลังต่อสู้ของหวังเป่าเล่อยกระดับได้อีกหน่อย
โดยเฉพาะความหนาหนักของเต๋าธาตุดิน มันจะทำให้เกราะป้องกันที่ตัวของหวังเป่าเล่อบรรลุถึงระดับอันน่าตกตะลึง อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของมันก็สามารถทำให้เกิดเต๋าภูเขาและหินจำนวนมาก อานุภาพก็จะยิ่งแข็งแกร่ง
ถึงอย่างไร ตามปกติแล้วธาตุไม้และน้ำจะมีพลังชีวิตและนุ่มนวลกว่า แม้ว่าจะมีเต๋าน้ำแข็งแฝงอยู่ด้วยก็ตาม แต่ว่ากันตามตรงแล้ว การใช้เต๋าธาตุดินเลื่อนระดับพลังต่อสู้ก็ยังยอดเยี่ยมอย่างที่สุดอยู่ดี
ในการวิเคราะห์ด้วยตัวเองของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ ไม่ต้องพูดถึงจักรพรรดิสวรรค์ตระกูลไม่รู้สิ้นและตี้ซานแล้ว เสวียนหัวก็ถูกตนปลูกฝังจิตมารและถือว่าเป็นกึ่งคนเสียสติ ส่วนจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิง…ด้วยพลังต่อสู้ในปัจจุบันของหวังเป่าเล่อ การทำลายคนผู้นี้ไม่ใช่เรื่องยาก
มีเพียงจีเจียเท่านั้นที่หวังเป่าเล่อไม่เคยต่อสู้ด้วย แต่ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในตระกูลไม่รู้สิ้นเขาก็เคยใช้สัมผัสสวรรค์รับรู้ว่าถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นร่างแยกของบรรพบุรุษแห่งไม่รู้สิ้น พลังต่อสู้น่าตื่นตะลึง แม้เขาจะสามารถสู้ได้หนึ่งครั้ง แต่ก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะ เป็นไปได้มากกว่าอาจจะสูสี
“หลังจากฝึกเต๋าธาตุดินสำเร็จแล้ว จีเจีย…ก็จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอีกต่อไป!” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ในใจจัดลำดับจอมพลังทั้งหมดภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นทันที
“ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งไม่รู้สิ้นกับเฉินชิงจื่อ น่าจะอยู่ระดับจักรวาลชั้นมหาวัฏจักร ต่อมาก็คือปรมาจารย์ตระกูลเซี่ย จากนั้นคือจีเจียและปรมาจารย์สำนักเจ็ดวิญญาณ พวกเขาอยู่เกือบๆ ระดับจักรวาลชั้นกลางสูงสุด ยังไม่ถึงขั้นมหาวัฏจักร ส่วนข้า…ก็นับว่าอยู่ในระดับนี้เช่นกัน ส่วนพวกกวงหมิงเสวียนหัวเป็นแค่ชั้นต้นเท่านั้น”
หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ในใจมีความร้อนรนปรากฏขึ้นมา เพราะเขาสัมผัสได้รางๆ ถึงกลิ่นอายของเต๋าธาตุมืดภายในจักรวาลแห่งนี้ที่เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ และความเข้มข้นเช่นนี้…ก็หมายถึงการเตรียมการของสำนักแห่งความมืดเสร็จสิ้นแล้ว
เรื่องนี้ตระกูลไม่รู้สิ้นไม่อาจไม่เตรียมตัวได้ คิดไปคิดมาก็คงกำลังเตรียมการอยู่เช่นกัน จากการพัฒนาเช่นนี้…เกรงว่าอีกไม่นาน ศึกใหญ่ที่แท้จริงของสำนักแห่งความมืดและตระกูลไม่รู้สิ้นก็คงจะปะทุขึ้นมาโดยสมบูรณ์
และการปะทุเช่นนี้ นอกจากจะเป็นศึกชี้ตายของผู้ฝึกตนทั้งสองฝ่ายและการกลืนกินกฎวิถีของเต๋าสวรรค์แล้ว ในระดับที่สูงยิ่งกว่านั้น มันยังเป็นศึกตัดสินของเฉินชิงจื่อกับปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งไม่รู้สิ้นด้วย
หวังเป่าเล่อในตอนนี้ยังไม่มีสิทธิ์ก้าวเข้าสู่ศึกตัดสินครั้งนี้ได้อย่างแท้จริง แต่แม้ว่าเขากับเฉินชิงจื่อจะแตกแยก แต่ในส่วนลึกของจิตใจแล้ว เขายังอยากเข้าร่วมอยู่ ถึงอย่างไร…ถ้าหากเฉินชิงจื่อพ่ายแพ้ สุดท้ายหวังเป่าเล่อก็ไม่อาจใจทำใจ…เบิกตามองอีกฝ่ายแตกดับและสลายกลายเป็นเถ้าถ่านได้
เพียงแต่การก่อตัวของเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุดินนั้นยากลำบากมากเกินไป เต๋าธาตุไม้ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะร่างจริงของหวังเป่าเล่อเป็นหมุดไม้ จึงสำเร็จได้ไม่ยาก เต๋าธาตุน้ำก็มีขวดปรารถนาอวยพรให้ จึงสำเร็จได้เช่นกัน
แต่เต๋าธาตุดินนี้ โดยพื้นฐานแล้วล้วนต้องอาศัยพลังทั้งหมดของตัวหวังเป่าเล่อมาลองดูครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงขั้นที่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าที่แท้แล้วต้องทำถึงกี่ครั้งจึงจะสำเร็จ
“ไม่อาจรอคอยเช่นนี้ต่อไปได้แล้ว…ก่อนที่จะเกิดศึกตัดสินของเฉินชิงจื่อกับปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งไม่รู้สิ้น ข้าจะต้องทำอะไรสักอย่าง” ขณะที่จดจ้องดูเมล็ดธาตุดิน หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลง ดวงตาฉายประกายแสงเฉียบคมขึ้นแล้วเอ่ยพึมพำ
ผ่านไปสักพัก หวังเป่าเล่อก็ผนึกมุทรากะทันหัน แล้วชี้ไปยังตระกูลไม่รู้สิ้นด้วยมืออันสั่นเทา
“เสวียนหัว!”
……………………