หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1257 ก้าวสู่สวรรค์?
หวังเป่าเล่อเงียบงัน สายตาของเฉินชิงจื่อนั้น เขามองเห็นอยู่ในดวงตา ความคิดมากมายปรากฏขึ้นในใจของเขา สุดท้ายก็กลายเป็นเสียงถอนหายใจแผ่วเบา แม้ว่าจะไม่ได้ยึดติดเรื่องการตายของอาจารย์อีก แต่คำว่าศิษย์พี่นั้น เขากลับทำอย่างไรก็พูดไม่ออก
สุดท้าย เขาจึงทำได้เพียงกอบหมัดโค้งคำนับต่ำให้กับเฉินชิงจื่ออีกครั้ง
จากนั้นหวังเป่าเล่อก็หันกายไปยังอวกาศ ไปยังเต๋าฝั่งซ้าย
เขารู้ดีว่าวันที่ศิษย์พี่ทะลวงระดับก็คือเวลาแสวงหาเต๋า และการแสวงหาภายในโลกแห่งศิลานี้ กล่าวจนถึงที่สุดแล้ว…ก็คือการเดินออกจากโลกแห่งศิลาไปยังจักรวาลภายนอก มองดูอวกาศที่แตกต่างจากที่แห่งนี้
ด้วยการฝึกตนในปัจจุบันของเขายังทำถึงจุดนี้ไม่ได้ อีกทั้ง…เต๋าของเขาก็แตกต่างกับของเฉินชิงจื่อ
ห้าธาตุยังไม่สมบูรณ์แบบ ขณะเดียวกันการเลือกของเฉินชิงจื่อก็เต็มไปด้วยความไม่รู้ บางทีอาจจะสำเร็จเข้าจริงๆ และทำลายอุปสรรคขวางกั้นได้ แสวงหาเต๋าสำเร็จผล
แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่…จะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน
ส่วนสุดท้ายจะเป็นอย่างไรนั้น หวังเป่าเล่อไม่กังวลใจไม่ได้ แต่เขาเข้าใจดีว่ากังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ นี่คือจิตยึดมั่นของเฉินชิงจื่อ และเป็นทางเลือกที่เขาแสวงหามาตลอด
“ขอให้…ปลอดภัย” หวังเป่าเล่อพึมพำ ก้าวหนึ่งก้าวก็หายไป
หลังจากหวังเป่าเล่อไปแล้ว ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณก็โค้งคำนับให้กับเฉินชิงจื่อแล้วหันกายจากไป ตอนนี้อดีตจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้นแห่งนี้จึงเหลือเพียงเงาร่างของเฉินชิงจื่อนั่งขัดสมาธิอยู่ในความว่างเปล่า แม่น้ำแห่งความมืดรอบตัวเขาแปรผันเข้ามาพัวพัน ก่อนค่อยๆ ห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้ข้างใน
เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ พริบตาก็ผ่านไปยี่สิบแปดปีแล้ว
ยี่สิบแปดปีไม่มากไปสำหรับโลกแห่งศิลา แต่เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่ยิ่ง!
หลังจากตระกูลไม่รู้สิ้นร่วงลงจากสวรรค์และไม่ได้มีอิทธิพลเช่นสมัยก่อนอีก โดยเฉพาะสำนักตระกูลหรือพวกอารยธรรมที่เคยถูกพวกเขาล้างสมองเมื่อก่อน ตอนนี้แตกหักแล้ว สุดท้ายตระกูลไม่รู้สิ้นก็จำต้องละทิ้งทุกอย่าง พาทุกคนไปอยู่รวมตัวบนดาวบรรพบุรุษของพวกเขา จึงพอจะมีพื้นที่ให้อาศัยอยู่ได้
และนี่…ก็คือการออกหน้าครั้งสุดท้ายของปรมาจารย์ตระกูลเซี่ย ถึงได้ปกป้องตระกูลนี้เอาไว้ได้
นอกจากนั้น ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยมีฐานะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์สูงสุด แต่กลับยังไม่เคยลงมือเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นศึกในปีนั้น หรือในช่วงยี่สิบแปดปีมานี้ก็ตาม เขาคล้ายจะอยู่เงียบๆ และถ่อมตัวต่ำไปพร้อมกัน ตระกูลเซี่ยก็ไม่ได้ขยายอาณาเขตเพราะการล่มสลายของตระกูลไม่รู้สิ้นด้วย
ตรงกันข้าม กลับทำตัวหดเล็กลงเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็เป็นเพราะว่าเขาไม่ได้ลงมือในปีนั้น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นหวังเป่าเล่อหรือว่าปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณ หรือสำนักแห่งความมืดที่รุ่งโรจน์ดุจดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าในโลกแห่งศิลาปัจจุบันนี้ก็ตาม พวกเขาล้วนไม่เคยทำให้ลำบากใจเลย
ส่วนสำนักแห่งความมืด ในช่วงยี่สิบแปดปีมานี้ก็ได้กลายเป็นสำนักใหญ่อันดับหนึ่งของโลกแห่งศิลาไปแล้ว อิทธิพลของพวกเขาแผ่คลุมไปทั่วทุกสารทิศ ไม่ด้อยไปกว่าตระกูลไม่รู้สิ้นก่อนหน้านี้ มักจะได้เห็นศิษย์ของสำนักแห่งความมืดสวมชุดดำ มือถือตะเกียง และนั่งอยู่บนเรือพาวิญญาณคนตายข้ามฟากในทุกๆ พื้นที่ได้
การกลับชาติมาเกิดเปิดออกแล้ว วิชาของสำนักแห่งความมืดทุกอย่างก็หมุนเวียนปรากฏอยู่ในสำนักแห่งความมืดเช่นกัน ราวกับทั่วทั้งโลกแห่งศิลาล้วนสงบสุขขึ้นมาแล้ว
กลับไปยังหวังเป่าเล่อที่จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย เขาไม่ได้กักตนบ่อยๆ แล้ว เนื่องจากตนได้รับพลังอำนาจมา ดังนั้นความเร็วในการก่อรูปของเมล็ดเต๋าธาตุดินของเขาจึงมีไม่น้อยเลย แต่ก็แค่เร็วขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น ไม่อาจสำเร็จได้ในชั่วข้ามคืน แต่การได้รับพลังอำนาจก็ทำให้แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะก่อเมล็ดเต๋าล้มเหลว ก็ไม่ส่งผลต่อคุณภาพวัตถุบรรจุเต๋าอีกต่อไป
เป็นเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว อีกทั้งหวังเป่าเล่อยังสัมผัสได้ว่าการก่อตัวของเมล็ดธาตุดินใกล้จะมาถึงแล้ว
และในช่วงยี่สิบแปดปีมานี้ สหพันธรัฐมีชีวิตชีวาขึ้นมามาก แม้ว่าเวลายี่สิบแปดปีจะสั้นเมื่อนับตามทั้งจักรวาล แต่ก็ยังทำให้ตำแหน่งเจ้าผู้ปกครองเต๋าฝั่งซ้ายของสหพันธรัฐฝังลึกเข้าไปในใจของทุกคนแล้ว
ฐานะเจ้าแห่งเต๋าของหวังเป่าเล่อก็เช่นกัน สำหรับสำนักเสริมก็ด้วย สำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณเป็นเจ้าผู้ปกครองในแง่หนึ่งอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นปรมาจารย์ของพวกเขาก็รวมจักรพิภพสำนักเสริมเป็นหนึ่งเดียว ถูกเรียกว่าเจ้าแห่งเต๋าสำนักเสริม
มีเพียง…สำนักดาราจันทร์ที่อยู่ห่างออกไปเท่านั้น เป็นส่วนที่ลึกลับที่สุดภายในจักรพิภพสำนักเสริม แม้แต่สำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณก็ยังยินยอมในเรื่องนี้ เพียงแต่ถึงอย่างไรคนที่มีคุณสมบัติรู้จักสำนักดาราจันทร์ก็มีน้อยมาก คนส่วนใหญ่จะรู้จักแต่เจ็ดวิญญาณ ไม่รู้จักดาราจันทร์
ส่วนหวังเป่าเล่อ เขาก็ลืมคำเชิญของปรมาจารย์ดาราจันทร์เมื่อครั้งนั้นไปแล้ว หกสิบแปดปีของปีนั้น ยังห่างจากปัจจุบัน…อีกสามสิบเอ็ดปี
เวลาเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันในช่วงยี่สิบปีมานี้ หวังเป่าเล่อก็ไปมาหลายที่ กล่าวได้ว่าไม่ว่าจะเป็นเต๋าฝั่งซ้ายหรือสำนักเสริม อวกาศมากมายล้วนเคยมีเงาร่างของเขาเดินผ่าน เขากำลังตามหาสมบัติชั้นเลิศที่สามารถบรรจุธาตุทองและไฟได้
แต่น่าเสียดาย สมบัติชั้นเลิศสองชนิดนี้เขาไม่เคยหาพบสักที ส่วนอดีตจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้นนั้น ในช่วงยี่สิบแปดปีมานี้ หวังเป่าเล่อก็ไปมาสามครั้ง
ครั้งแรก เขายืนอยู่ข้างแม่น้ำแห่งความมืด ทอดมองไปยังส่วนลึกของแม่น้ำแห่งความมืด ในความเลือนราง เขาสามารถมองเห็นเงาร่างร่างนั้นจมลึกอยู่ในก้นแม่น้ำได้
ครั้งที่สอง เขาจ้องมองอยู่นาน สุดท้ายก็คำนับแล้วจากไป
และครั้งที่สาม ตอนที่เขาจากไป เขาไม่อาจสังเกตเห็นเลยว่าดวงตาที่ปิดอยู่ของเงาร่างในก้นแม่น้ำจะค่อยๆ เปิดออกแล้วจ้องมองเขาจากไกลๆ
จนกระทั่งผ่านไปอีกหนึ่งปี เมื่อปีที่ยี่สิบเก้ามาถึง ปรมาจารย์แห่งไฟก็กักตน พยายามทะลวงระดับอีกครั้งเพื่อก้าวเข้าสู่ระดับจักรวาล
หลังจากใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมายี่สิบเก้าปี หวังเป่าเล่อก็กักตนใหม่อีกครั้งเพื่อตระหนักรู้ถึงเมล็ดเต๋าธาตุดิน เขาสัมผัสได้ว่าการก่อตัวของเมล็ดธาตุดินอยู่ไม่ไกลแล้ว
เวลาเคลื่อนผ่านอีกรอบ ครั้งนี้สั้นยิ่งกว่า มันผ่านไปอีกหนึ่งปี
สามสิบปีหลังจากสงครามใหญ่ครั้งนั้น วันนี้…จู่ๆ หวังเป่าเล่อที่กักตนอยู่ก็ลืมตาโพลง เขาไม่ได้มองไปยังอักขระโบราณมากมายที่แพร่กระจายอยู่ตรงหน้าซึ่งก่อเมล็ดเต๋าธาตุดินได้เกินครึ่งแล้ว แต่พลันเงยหน้าขึ้น มองไปยังอวกาศ มองไปยังอดีตจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้น มองไปยังแม่น้ำแห่งความมืดตรงนั้น มองไปยัง…เงาร่างภายในแม่น้ำแห่งความมืด
แทบจะพร้อมกันกับที่หวังเป่าเล่อจ้องมองไป ชั่วขณะนี้เอง ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณ ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ย และปรมาจารย์ของสำนักดาราจันทร์ก็ล้วนจ้องมองไปยังแม่น้ำแห่งความมืด
แม่น้ำแห่งความมืดในตอนนี้ไหลบ่า เสียงสะเทือนกึกก้องดังกังวานไปทั่วแปดทิศ กลิ่นอายมหาศาลกำลังก่อตัวขึ้นมาจากภายในนั้น กลิ่นอายนี้เพียงพอทำให้ทั่วทั้งโลกแห่งศิลาสั่นสะเทือน ทำให้สรรพชีวิตสิ้นสติได้
แต่ไม่ช้า กลิ่นอายนี้ก็หายวับไปทันตา แม่น้ำแห่งความมืดก็ไม่ไหลเกลือกลิ้งอีกต่อไป มันสงบลง แต่กลับมีเงาร่างร่างหนึ่งเดินออกมาจากแม่น้ำแห่งความมืดช้าๆ จนกระทั่งยืนอยู่บนแม่น้ำแห่งความมืด
เสื้อคลุมดำทั้งตัว ผมยาวทั้งศีรษะ กระบี่ไม้หนึ่งด้าม น้ำเต้าหนึ่งขวด เงาร่างอันคุ้นเคยนี้ปรากฏขึ้นในสายตาของพวกหวังเป่าเล่อ พวกเขาแต่ละคนล้วนตกตะลึง
พวกเขามองไม่ทะลุ
ถ้ากล่าวว่าหากเฉินชิงจื่อคนก่อนยืนอยู่ตรงนั้น แม้ว่าจะทรงพลังไร้ใดเทียม แต่ก็ยังมองเห็นคลื่นผันผวนของพลังฝึกตนได้รางๆ ล่ะก็ เช่นนั้นเฉินชิงจื่อในตอนนี้ก็คล้ายเป็นเช่นปุถุชนอย่างแท้จริง บนร่างของเขาไม่มีคลื่นผันผวนเลยแม้แต่นิด สีหน้าอารมณ์ก็ไม่ได้เย็นชาเหมือนเมื่อก่อน อ่อนโยนลงมาก
แต่กลับกัน เงาร่างที่ดูธรรมดาสามัญนี้กลับทำให้ทุกคนที่มองมาสะท้านในใจ เพราะมองปราดแรกดูธรรมดาสามัญ แต่มองปราดที่สองกลับคล้ายจะมองเห็นวิญญาณเทพ
ความลึกลับที่ไม่อาจพรรณนา ความทรงอานุภาพไม่อาจคาดเดา เป็นระดับที่ยากจะมองให้ทะลุปรุโปร่ง!
“ก้าวสู่สวรรค์หรือ” ข้างกายของหวังเป่าเล่อ เงาร่างของแม่นางน้อยก่อตัวขึ้นแล้วมองภาพนี้อย่างไม่อยากเชื่อพร้อมเอ่ยพึมพำ
“ก็เหมือนจะไม่ใช่…”
เมื่อได้ยินเสียงพึมพำของแม่นางน้อย หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะทุกอย่างนี้ไม่สำคัญเลย สิ่งสำคัญคือในชั่วพริบตานี้ ในใจของเขามีความเจ็บปวดผุดขึ้นมา
เพราะเขารู้ว่า หลังจากเฉินชิงจื่อทะลวงระดับแล้ว จะต้องไปแสวงหาเต๋า
แต่สุดท้ายแล้วจะเป็นการแสวงหาเต๋าหรือว่าพลีชีพ ทุกอย่างล้วนเป็นปริศนา
ดังนั้นหลังจากเงียบงันไป ร่างของหวังเป่าเล่อก็หายวับไปจากเต๋าฝั่งซ้าย เมื่อปรากฏตัวขึ้น…เขาก็มาอยู่ริมแม่น้ำแห่งความมืด ห่างจากเฉินชิงจื่อร้อยจั้ง มองไปที่เฉินชิงจื่ออย่างซับซ้อนแล้วเอ่ยเสียงเบา
“ต้องไปจริงๆ หรือ”
เฉินชิงจื่อหันหน้ามอง มองไปยังหวังเป่าเล่ออย่างอบอุ่นแล้วแย้มยิ้ม
“ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่…ไปก่อนเจ้าหนึ่งก้าว ไปดูปลายสุดของโลกใบนี้ จะเพื่อเจ้าก็ดี เพื่อตัวเองก็ดี ท้ายที่สุดต้องมีชีวิตอยู่อย่างไม่เสียใจ!”
“ข้าไม่เชื่อในโชคชะตา”
“แต่ถ้าข้าล้มเหลว ก็ไม่จำเป็นต้องโศกเศร้าเพราะข้า”
“เพราะว่า…”
“นี่คือเส้นทางของข้า!”
……………………