หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1270 ความจริง!
“เจ้าคือเสือน้อย?” หวังเป่าเล่อเอ่ยช้าๆ แล้วจ้องมองชายชราตรงหน้า
“ทั้งใช่และไม่ใช่” ปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์เอ่ยตอบเสียงแหบแห้ง
“ข้าอยู่กับนายท่านมาหลายปี เคยเป็นปีศาจ เคยเป็นวิญญาณดาบ ผ่านยุคสมัยมานับไม่ถ้วน ข้ามผ่านมาทั้งทางช้างเผือก และยินยอมดับสูญไปในท้ายที่สุดรวมตัวเป็นดวงจิตเทพอมตะแล้วเข้ามายังโลกนี้พร้อมกับนายน้อยเพื่อปกป้องเขา”
“พูดถึงเรื่องนี้ เมื่อหลายปีก่อนบนดวงดาวที่เจ้าอยู่ ข้าเคยพบเจ้าครั้งหนึ่ง หุ่นตัวหนึ่งของเจ้าผ่านการดลบันดาลทำให้มันแปลกไป กูท่าหลายปีมานี้มันน่าจะเคยช่วยเจ้าได้ในระดับหนึ่ง”
“หลายปีก่อน?” หวังเป่าเล่อพึมพำในลำคอ จากนั้นไม่นานก็ยกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้นหุ่นเชิดตัวหนึ่งก็ลอยออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ หุ่นเชิดตัวนี้…หวังเป่าเล่อไม่ได้ใช้มันมาหลายปีแล้ว มันคือหุ่นเชิดตัวแรกที่เขาทำขึ้น หลังจากนั้นร่างกายของมันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย
“เป็นหุ่นตัวนี้” ปรมาจารย์ดาราจันทร์ยิ้มเล็กน้อย
เขามองหุ่นเชิดแล้วหันไปมองปรมาจารย์ดาราจันทร์ สีหน้าหวังเป่าเล่อแปลกประหลาดอย่างห้ามไม่ได้เพราะเขานึกขึ้นได้ว่าหุ่นเชิดตัวนี้…ราวกับในความแปลกประหลาดของมันมีความชั่วร้ายบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ที่ผ่านมาคู่ต่อสู้ที่เข้าไปข้องเกี่ยวกับมันล้วนน่าสังเวชยิ่งนัก
ความชั่วร้ายนั้นแม้จะไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ตรงหน้า แต่ภาพปรมาจารย์ดาราจันทร์ที่ยังสง่างามราวกับเป็นอมตะก็ดูไม่เข้ากันเช่นกัน
หวังเป่าเล่อก้าวถอยหลังอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อจ้องมองสายตาของปรมาจารย์ดาราจันทร์ก็ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้นไปอีก
“สหายเต๋าไม่จำเป็นต้องกลัว ก่อนที่ข้าจะดับสูญก็มีพลังพอจะต่อสู้กับเจ้าได้ ตอนนี้ดวงจิตเทพได้กลับมาเกิดใหม่ แม้จะเป็นขั้นที่สามแล้วก็ยังไม่ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้หรอก” ปรมาจารย์ดาราจันทร์เอ่ยเสียงเบาและโบกมือ เบาะสานจากใบกกสองเบาะก็ปรากฏขึ้นและวางลงที่เท้าหวังเป่าเล่อ
“เชิญนั่ง”
หวังหวังเป่ามองเบาะสานอย่างระแวง หลังจากใช้ดวงจิตเทพตรวจสอบจนแน่ใจแล้วจึงนั่งลง ในหัวคิดไปต่างๆ นานาถึงเหตุผลในการนัดหมายครั้งนี้
ข้อตกลงเมื่อ 68 ปีก่อนคือการมาพบกันที่หน้าผาในวันนี้ ตอนที่มาถึงหวังเป่าเล่อคิดว่าตนคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้แล้ว แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าการคาดเดาของเขามีทั้งถูกและผิด
เขาเดาว่าปรมาจารย์ของสำนักดาราจันทร์คงจะเป็นเสือน้อยในตอนนั้น
แต่เขาคิดไม่ถึงส่านอกจากเสือน้อยแล้วยังมีอีกตัวตนหนึ่งซ่อนอยู่ ดังนั้น…ข้อตกลง 68 ปีนี้แทนที่จะพูดว่านัดหมายกับเขา เรียกว่าเป็นการเชิญหวังอีอีมาพบ…
เพราะ…นายท่านคือใคร หวังเป่าเล่อพอจะเดาได้ว่าต้องเป็นพ่อของหวังอีอีแน่ ส่วนที่เรียกว่านายน้อยรวมถึงหวังอีอีที่โผล่ออกมาจากหน้ากากในอกหวังเป่าเล่อในขณะนี้ก็ยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อเข้าใจว่าข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้อง
“ท่านลุงสวี่…” หวังอีอีพูดเสียงเบาพลางโค้งคำนับปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์ตรงหน้า
ปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์เผยรอยยิ้มเล็กๆ และจ้องมองหวังอีอีอยู่นาน รอยยิ้มของเขาก็ยิ่งอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“อีอี ถึงเวลาแล้ว”
หวังอีอีอ้าปากเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เงียบไป
เมื่อเห็นเช่นนี้จิตใจหวังเป่าเล่อก็เริ่มปั่นป่วน ขณะเดียวกันปรมาจารย์ดาราจันทร์ก็ละสายตาจากหวังอีอีมายังหวังเป่าเล่อ ก่อนจะผุดลุกขึ้นโค้งคำนับให้หวังเป่าเล่อ
“ขอบคุณสหายเต๋าที่ปกป้องนายน้อยของเรา”
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ” หวังเป่าเล่อตอบเสียงแผ่ว สายตาที่มองหวังอีอีอ่อนโยนมาก อาจกล่าวได้ว่า…อีกฝ่ายคือเพื่อนที่ติดตามเขามาทั้งชีวิตอย่างแท้จริง
ตั้งแต่แรกพบจนถึงตอนนี้
“ผู้อาวุโสนัดให้มาพบกันในวันนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องใด” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาอยากรู้จริงๆ ว่าการนัดหมาย 68 ปีนี้จะมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่
สีหน้าปรมาจารย์ดาราจันทร์เรียบนิ่งและยังคงกำมือโค้งคำนับเช่นเดิม
“ข้าแซ่สวี่นัดสหายเต๋าให้มาพบในครั้งนี้มีด้วยกันสามเรื่อง”
“หนึ่ง เพื่อต้อนรับการกลับมาของนายน้อยของเรา ทำให้ดวงวิญญาณเทพของนายน้อยสมบูรณ์และฟื้นคืนชีพ…เตรียมการสำหรับการฟื้นคืนชีพขั้นสุดท้าย” ปรมาจารย์ดาราจันทร์พูดพลางโบกมือขวา ทันใดนั้นความว่างเปล่าก็บิดเบี้ยว ก่อนที่เศษชิ้นส่วนของแสงจะปรากฏขึ้น ส่องสว่างไปทั่วทุกสารทิศ ท้องฟ้าเองก็ส่องสว่างจนทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นทะเลแสง
และที่มาของทะเลแสงนี้ก็คือเศษชิ้นส่วนเหล่านั้น ชิ้นส่วนเหล่านั้นมารวมตัวอยู่ตรงกลางระหว่างปรมาจารย์ดาราจันทร์กับหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว และก่อตัวเป็น…หน้ากาก!
เมื่อเห็นหน้ากากปรากฏขึ้น หวังเป่าเล่อก็หายใจถี่ขึ้นเล็กน้อยแล้วหยิบหน้ากากออกมาจากอกของตน มันส่องแสงสว่างจ้าแทบจะในทันทีที่หยิบออกมา ขณะที่แสงพร่างพรายถึงขีดสุด หน้ากากที่ไม่สมบูรณ์ทั้งสองก็ราวกับถูกดึงดูดเข้าหากันช้าๆ ด้วยแรงที่มองไม่เห็น จนกระทั่งผสานเป็นหนึ่งเดียว…
หน้ากากสมบูรณ์!!
ไม่มีรอยแตกหักใดอีก อีกทั้งยังมีพลังปราณอันน่าทึ่งแผ่ซ่านออกมาจากมัน พลังปราณนี้มาพร้อมกับความศักดิ์สิทธิ์ราวกับไม่อาจล่วงเกินได้ สามารถสยบได้ทั่วทุกสารทิศทำให้จักรวาลที่สำนักดาราจันทร์ตั้งอยู่เกิดแรงสั่นสะเทือน จนกระทั่งสั่นสะเทือนไปทั้งจักรพิภพสำนักเสริม
“หน้ากากนี้คือสิ่งที่นายท่านทำขึ้นเองกับมือ ตอนแรกที่ทำมันขึ้นมาก็ดูเหมือนจะสมบูรณ์ดี ความจริงแล้วมันมีรอยแตกร้าวอยู่ตั้งแต่แรก เป็นเศษชิ้นส่วนเล็กๆ ทั้งหมด 17 ชิ้น แต่ละชิ้นล้วนบรรจุเศษวิญญาณของนายน้อยไว้ทำให้เศษวิญญาณของเขามีชีวิตต่อไปได้อยู่ข้างใน และทันทีที่…หน้ากากนี้สมบูรณ์อย่างแท้จริง ไม่มีรอยร้าวใดอีก เศษวิญญาณทั้งหมดของนายน้อยก็จะผสานกันและ…ฟื้นคืนชีพ!”
“แต่การจะทำให้มันสมบูรณ์นั้นต้องใช้เคล็ดวิชาเฉพาะซึ่งจำเป็นต้องใช้ตัวยาหลัก นั่นก็คือ…กระดูกเซียน!”
“มีเพียงเซียนที่สมบูรณ์เท่านั้นที่สามารถสร้างกระดูกเซียนในร่างกายได้”
“ดังนั้นเรื่องที่สองที่ข้านัดสหายเต๋ามาก็คือหวังว่าสหายเต๋า…จะได้รับวิชาสืบทอดแห่งเซียนทั้งหมดและกลายเป็นเซียนที่แท้จริงโดยเร็วที่สุด”
“ก่อนหน้านี้นายน้อยติดตามอยู่ข้างกายข้า ใช้ดวงจิตเทพของข้ารักษาความสมบูรณ์ของหน้ากากเพื่อรอคอยความสำเร็จของเจ้า”
หวังเป่าเล่อฟังถึงตรงนี้ก็ดูปกติดี แต่ลึกลงไปในดวงตาของเขากลับมีแสงแห่งความซับซ้อน เขาไม่ใช่คนโง่ ตรงกันข้าม…คนที่ผ่านเรื่องราวมามากมายอย่างเขาได้ฝึกฝนจิตใจจนเฉียบคมและสามารถตรวจจับบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้นได้
เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายซ่อนอะไรไว้และไม่อยากเค้นถามด้วย เวลานี้เปลือกตาของเค้าตกลงเล็กน้อยเพื่อปกปิดความซับซ้อนในดวงตาไว้ซึ่งการกระทำเหล่านี้แม้ปรมาจารย์ดาราจันทร์จะเป็นคนที่มีจิตใจเฉียบคมเหมือนกันก็ยังไม่สังเกตุเห็นแม้แต่น้อยและยังคงพูดต่อไป
“ส่วนเรื่องที่สามคือรางวัล…” ปรมาจารย์ดาราจันทร์พูดถึงตรงนี้ หวังอีอีที่อยู่ด้านข้างก็พูดแทรกขึ้นมาทันที
“ท่านลุงสวี่ อย่าโกหกเขา”
ปรมาจารย์ดาราจันทร์ชะงักก่อนจะมองหวังอีอี
“ข้าไม่อยากโกหกเขา ท่านลุงสวี่…บอกความจริงเขาเถอะ” หวังอีอีเอ่ยเสียงแผ่วเบา หากฟังดีๆ จะได้ยินว่าเสียงของนางสั่นไหว เมื่อพูดเช่นนี้ออกไปแล้วนางก็ดูเหมือนจะไม่กล้ามองหวังเป่าเล่อ นางก้มหน้าเดินมาหยุดระหว่างปรมาจารย์ดาราจันทร์กับหวังเป่าเล่ออย่างเงียบๆ ก่อนที่หน้ากากที่ลอยอยู่จะเข้าไปใกล้แล้วนางก็ผสานร่างเข้าไป
แผ่นหลังของนางดูขี้ขลาด โดดเดี่ยว และอยากหนีไปอยู่ลึกๆ เมื่อผสานเข้าไปแล้วก็หายไปช้าๆ…
ราวกับว่านางไม่อยากเผชิญกับเรื่องต่อจากนี้
หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้น เปลือกตาที่ตกลงค่อยๆ เบิกขึ้นอีกครั้ง เขามองหน้ากากแล้วถอนหายใจเบาๆ
“แค่กระดูกเซียนอย่างเดียวยังไม่สามารถผสานรอยร้าวหน้ากากได้ใช่หรือไม่”
ไม่มีเสียงใดในหน้ากาก ตอนนี้ปรมาจารย์ดาราจันทร์ก็เงียบไปเช่นกัน เขามองหน้ากากแล้วมองหวังเป่าเล่อ ริ้วรอยบนใบหน้าชัดเจนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ต้องใช้ชะตากรรมของเจ้าด้วย” ปรมาจารย์ดาราจันทร์เอ่ยเสียงทุ้มลึกหลังจากเงียบไปไม่นาน
……………………