หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1290 สนทนามรรคาเต๋า
อักษรทั้งสี่นี้แฝงไปด้วยเสียงสะท้านแล้วยังอารมณ์ที่ไม่อาจพรรณนาออกมาเป็นคำพูด นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกขอบคุณอันไร้ขีดจำกัดของหวังเป่าเล่อด้วย ในชีวิตของหวังเป่าเล่อ ผู้ที่สร้างอิทธิพลให้แก่เขาได้นั้นมีจำนวนไม่น้อย แต่ว่าในบรรดาคนผู้นี้ ผู้ที่มีอิทธิพลต่อเขามากที่สุด…ในนั้นย่อมรวมศิษย์พี่อยู่ด้วยแน่ ตั้งแต่ที่ได้เริ่มพบกัน ประสบการณ์ที่ได้รับระหว่างนั้น และความขัดแย้งพร้อมทั้งคลี่คลายในช่วงเวลาท้ายๆ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนพัฒนาความรักสมานระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องของทั้งสอง ฝังแน่นท่ามกลางกาลเวลาเหล่านี้ กระจายอยู่ทั่วในความทรงจำ พวกเขา แม้เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง แต่ก็เป็นสหายเต๋า สหายร่วมมรรคาเต๋า ดังนั้นแล้ว หลังจากได้ยินคำพูดของท่านพ่อหวัง นี่จึงทำให้หวังเป่าเล่อสั่นสะท้านอย่างหนัก เจตนาดังเดิมที่จางหายหวนกลับคืนดั่งพายุคลั่ง ทำให้เขาผู้ที่สูญเสียทั้งอดีตและอนาคตจนกลายเป็นคนเงียบงันไปเช่นนี้ พลันบังเกิดคลื่นซัดโหมขึ้นใหม่ภายในใจ ราวกับผืนน้ำทะเลสาบ ปรากฏระลอกคลื่น ราวกับภูเขาที่น้ำแข็งกลบฝัง เริ่มหลอมละลาย ระลอกคลื่นและการหลอมละลายนี้ หลังจากที่ท่านพ่อหวังรับการคารวะจากหวังเป่าเล่อแล้ว ก็โบกมือคราหนึ่ง พลันปรากฏลูกปัดมุกซึ่งมีร่างวิญญาณบรรจุอยู่ลอยเข้ามาหาหวังเป่าเล่อ สุดท้ายแล้วมันก็หยุดอยู่เบื้องหน้าเขาในลักษณะเกือบจะแนบเนื้อ ด้วยระยะห่างอันใกล้ เมื่อหวังเป่าเล่อเพ่งมองมัน ในพริบตานั้นราวกับว่าตัวเขาได้ข้ามผ่านกาลเวลา นี่คือลูกปัดมุกที่แผ่แสงประกายรุ้งเจ็ดสี ในนั้นราวกับมีเส้นสายควันเจ็ดสีกำลังพันรัดกัน แม้ว่าสีสันจะมากมาย แต่ก็ไม่อาจปิดบังได้ว่าท่ามกลางกลุ่มควันเหล่านี้ มีวิญญาณของเฉินชิงจื่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ เขาหลับตาอยู่ในนั้น ท่าทางคล้ายกับกำลังหลับลึก หมอกควันเจ็ดสีลอยอยู่รอบร่างวิญญาณ ราวกับว่าพวกมันคือสารบำรุงสำหรับเพาะเลี้ยงวิญญาณนี้ และทุกครั้งที่วนผ่านร่างวิญญาณไป ก็จะส่งผลให้ร่างวิญญาณนี้มองเห็นด้วยตาชัดมากขึ้นอีกส่วน ลูกปัดมุกเช่นนี้ หวังเป่าเล่อเคยเห็นมาแล้ว ก่อนหน้านี้ร่างวิญญาณของหวังอีอีก็อยู่ในลูกปัดมุกประเภทนี้เช่นกัน เพียงแค่คิดก็ทราบได้แล้วว่าของสิ่งนี้ล้ำค่าเพียงใด และมีเพียงสมบัติล้ำค่าสูงสุดเช่นนี้จึงจะมีพลังเอาชนะชะตาฟ้าได้ สามารถรวบรวมวิญญาณแตกซ่านเอาไว้ข้างใน อีกทั้งเพาะเลี้ยงจนเริ่มมีกระแสวิญญาณก่อกำเนิด และในเส้นสายหมอกควันทั้งเจ็ดสีนี้เอง อาศัยพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อยามนี้ เขาก็สามารถมองออกได้ว่า ทุกเส้นสายนั้นแฝงไปด้วยกฎและเกณฑ์ ทุกเส้น…แฝงไปด้วยชีพจรอันไร้ขีดจำกัด กล่าวให้กระจ่างก็คือ…เต๋าเจ็ดสาย พลังฝึกปรือเฉพาะทางของเต๋าเจ็ดอัตลักษณ์นำมาช่วยฟื้นฟูวิญญาณของเฉินชิงจื่อ นี่คือเต๋าที่ดูดกลืนมาจากจักรวาล การลงทุนครั้งนี้ น่าแตกตื่นสะท้านฟ้า เห็นน้ำหนักความสำคัญได้ชัดเจน หลังจากเพ่งมองเนิ่นนาน หวังเป่าเล่อก็ยื่นมือออกมาประคองลูกปัดมุกของเฉินชิงจื่อเอาไว้ เขาค่อยๆ กำมันเข้าสู่ฝ่ามือเบาๆ ผสานเข้ากับโลกของตน ในยามที่แหงนหน้า หวังเป่าเล่อมองท่านพ่อหวังอีกครั้ง จากนั้นประสานมือพลางโค้งตัวลงต่ำเพื่อคำนับหนึ่งครา “โลกแห่งศิลายังไม่สมบูรณ์ หากอยากให้มันสมบูรณ์ ต้องใช้กาลเวลาอันยาวนานเพื่อชำระล้าง เหตุนี้…วิญญาณของศิษย์พี่เจ้า หากกำเนิดใหม่ในโลกแห่งศิลาคงจะมีอนาคตจำกัด ทว่าเขา…เมื่อถือครองพลังเต๋าหลากชนิด อนาคตคงไม่พบขีดจำกัดใดๆ อีก” บิดาของหวังอีอีมองหวังเปาเล่อก่อนจะเอ่ยปากช้าๆ “เขาจำเป็นต้องอยู่ในโลกที่สมบูรณ์กว่านี้ และกฎแห่งเต๋าสมบูรณ์กว่านี้ อย่างเช่น…บ้านเกิดของข้า” กล่าวถึงจุดนี้ ท่านพ่อหวังต่างเรียกเรือลำนั้นออกมา อีกด้านวานรเฒ่าและจิ้งจอกน้อย แล้วยังมีปรมาจารย์ดาราจันทร์ ทุกคนต่างรีบติดตามไป มีเพียงหวังอีอีเท่านั้นที่ยืนมองหวังเป่าเล่ออยู่ที่เดิม ท่าทางคล้ายกับกำลังคิดว่าจะเอ่ยสิ่งใดออกมา “อีอี” ไม่ทันรอให้นางเอ่ยคำ เสียงของบิดาก็ลอยเข้ามาเสียแล้ว หวังอีอีจมอยู่ในภวังค์ จากนั้นนางจึงก้มหน้าแล้วเดินไปยังนาวาลำนั้น กระทั่งหลังก้าวเท้าขึ้นสู่เรือแล้ว นางจึงรวบรวมความกล้าพันมองไปทางหวังเป่าเล่อทันที “เจ้าอ้วน สุดท้ายแล้วเจ้าจะมาหรือไม่มา!” คำเรียกขานนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อลนลานอยู่บ้าง เขาไม่ได้ยินแม่นางน้อยเรียกตนเช่นนี้มานานแล้ว หลังจากเงียบไปหลายอึดใจ หวังเป่าเล่อก็เผยยิ้ม “บนเรือที่นั่งพอหรือไม่?” แม้จะกล่าวเช่นนี้แต่เท้าก็ก้าวไปก่อนแล้ว เขามุ่งไปทางเรือแล้วกระโจนขึ้นไป จักรวาลแหวกออกราวระลอกคลื่นเปิดทาง นาวาเดียวดายลำนี้ค่อยๆ ขยับมุ่งหน้าเคลื่อนไปยังน่านฟ้าอันห่างไกล แม้มองไปแล้วเหมือนจะช้า แต่เมื่อเคลื่อนไปข้างหน้า ทิวทัศน์รอบด้านพลันบิดเบี้ยว ภาพมายาแต่ละฉากทอแสงเรืองรอง ในบรรดาภาพเหล่านี้ สามารถมองเห็นดาวเคราะห์แต่ละดวง ระบบดาวแต่ละแห่ง รวมถึงจักรวาลแต่ละแห่ง “นี่คือมหาจักรวาลเช่นนั้นหรือ…” หวังเป่าเล่อนั่งอยู่บนเรือลำนั้น หันหน้ามองออกไปด้านนอกเรือ ในดวงตาทอประกายแปลกประหลาด เขาเข้าใจดี เรือลำนี้ไม่ได้ช้าเลยแม้เพียงนิด เพราะว่าความเร็วของมันอยู่ในระดับที่ยากจะจินตนาการออก เร็วหรือช้ายากจะแยกแยะได้ แน่นอนว่ามาตรที่ใช้วัดได้นั้น ย่อมไม่ใช่ตัวเขาเอง หากแต่เป็น…ใช้วัตถุที่เห็น ราวกับว่าท่านพ่อหวังที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือสัมผัสได้ถึงความคิดของหวังเป่าเล่อ เขาเอ่ยปากโดยไม่หันมามอง “เจ้ารู้แจ้งได้เพียงแค่ส่วนเดียว เจ้าลองสัมผัสดูอีกสักหน่อย ที่เคลื่อนไหวนั้น…ที่แท้คือสิ่งใด” หวังอีอีกะพริบตา นางพยายามสะกดความสับสนในหัวใจ ดวงตาเผยประกายครุ่นคิด นางกวาดตามองจักรวาลนอกลำเรือ ส่วนหวังเป่าเล่อเองก็ผงะไป เขาเริ่มจากมองไปด้านนอกก่อน แต่ว่าสุดท้ายก็เบนสายตากลับแล้วมองเรือที่ตนเองโดยสารอยู่นี้ จากนั้นดวงตาก็ค่อยๆ เผยแววตกตะตึง เขาพบว่า เรือลำที่ตนอยู่ ตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ได้ขยับแม้แต่นิดเดียว “ที่เคลื่อนไหวอยู่…ไม่ใช่ลำเรือ แต่เป็น…จักรวาลผืนนี้!!” ระหว่างพึมพำ หวังเป่าเล่อก็แหงนหน้าขึ้น มองไปยังเงาหลังของบิดาหวังอีอี ในใจนั้นพลันบังเกิดแรงสั่นสะท้านรุนแรง เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า สุดท้ายแล้วต้องถือครองระดับพลังมากขนาดไหน ถึงสามารถ…ทำให้จักรวาลพลิกหมุนเบื้องหน้าตนเอง จากนั้นทำให้ความเร็วของตนอยู่ในระดับสูงสุดจนยากจะพรรณนาออกมาได้ “ความเร็วของผู้ฝึกตนก็มีพลังจำกัด ดังนั้นหลายครั้ง ในยามที่เจ้าสัมผัสรู้ได้ว่าความเป็นจริงสามารถกระโจนออกมาได้ เมื่อมองปัญหาจากอีกมุมหนึ่ง เจ้าจะพบว่า…การฝึกตน ที่แท้แล้วง่ายดายนัก” เสียงของท่านพ่อหวังดังเข้าสู่หูของหวังอีอีและหวังเป่าเล่อ รายแรกนั้นดวงตามึนงง แสดงให้เห็นว่าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่รายหลังนั้น…ดวงตาพลันทอแสงรุนแรงเจิดจ้า ราวกับว่าประตูบานใหญ่ได้เปิดออกในสมองของเขาแล้ว หลังจากการไขเปิดนี้ ภายในใจของหวังเป่าเล่อพลันกระเพื่อมรุนแรง พลังแห่งเต๋าห้าวิถีที่อยู่บนร่างของเขาส่องแสงเรืองรอง เต๋าแห่งอดีตและอนาคต แม้จะกลายเป็นหลุมว่างเปล่าไปแล้ว แต่ในยามนี้มันก็ได้กลายเป็นแสงสีขาวดำครอบคลุมไปทั่ว ห้าวิถี ไม่สำคัญ อดีตและอนาคต ไม่สำคัญ หยินมืดมิดและหยางอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่สำคัญ ทุกอย่างนี้คือความคิดคับแคบ การฝึกตนที่แท้จริงแล้วนั่นคือ… “หมื่นสรรพสิ่งทั้งหลายนี้ ทุกสิ่งมีไว้ให้แก่ข้า!” หวังเป่าเล่อพลันแหงนหน้า แล้วเอ่ยปากเสียงเบา “กลายเป็นต้นกำเนิด คือรากฐานของการเหยียบขึ้นสวรรค์ หากสัมผัสได้ถึงจุดที่เจ้าพูดมานี้ และสามารถกระทำได้ถึงขั้นนี้ เจ้าก็จะมาถึงขั้นที่ห้าของการฝึกตน” ท่านพ่อหวังหันหน้าจากนั้นก็มองหวังอีอีที่ยังคงมึนงงอยู่ ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาเผยประกายชื่นชม “แล้วขั้นที่หกเล่า?” หวังเป่าเล่อถามขึ้นทันที “ขั้นที่หก?” ท่านพ่อหวังแววตาล้ำลึก เขามองไปยังความว่างเปล่าอันห่างไกลนั้น “ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ถึงขั้นที่ห้าทั้งหลายนั้น ถือครองขั้นที่หกอันแตกต่างกันไป บางท่านก็สร้างจักรวาลขึ้นใหม่ จากนั้นก็เริ่มต้นก้าวเดินที่หกเจ็ดแปดจากมุมมองนั้นของตน ฉูดฉาดเกินความจำเป็น ข้าไม่ชอบ” “มีบ้างที่กลายเป็นโลกไปเสียเอง จากนั้นใช้พลังพิทักษ์เป็นหัวใจเต๋า ดังนั้นทุกคนจึงอยู่มีเพียงเขาที่หายไป แต่ตราบใดที่เรื่องราวของเขายังคงอยู่ เขาก็จะคงอยู่ตลอดไป มีชีวิตอยู่ในอดีต พลังฝึกปรือไร้ขีดจำกัด” “มีบ้างที่ถือเอาสิ้นสลายเป็นแหล่งพลัง หากสรรพสิ่งคงอยู่นิรันดร์ เต๋าของเขาก็จะไม่สมบูรณ์ แต่ยิ่งไม่สมบูรณ์มากเท่าไร เขาก็ต้องกลับชาติมาเกิดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อแสวงหาจุดบกพร่องนั้น ส่วนตนเองแน่นอนว่าย่อมเดินไปได้ไกลขึ้น” “แล้วยังมีบางคน ใช้เหตุผลต้นกรรมเข้าสู่วิถีเทพ นี่ตรงข้ามกับอดีต เขาอยู่ในอนาคต ไม่มีเริ่มต้นไม่มีสิ้นสุด” “เช่นนั้นมหาเทพเล่า?” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด จากนั้นจึงเอ่ยถาม “มหาเทพ?” ท่านพ่อหวังยิ้ม “หากว่าพวกเรานำจักรวาลอันมากมายเหล่านี้หลอมรวมเป็นมหาจักรวาลอันใหญ่โตไร้ขีดจำกัดของมัน และเปรียบมันเป็นโต๊ะตัวหนึ่ง มีบางคนที่ศึกษาว่าจะสร้างโต๊ะนี้ได้อย่างไร มีบ้างคนครอบครองอดีตของโต๊ะตัวนี้ แล้วยังมีบางคนคิดทำลายโต๊ะตัวนี้ แล้วก็มีบางคนที่ควบคุมความเป็นไปของโต๊ะตัวนี้” “เช่นนั้นมหาเทพ เขาย่อมคิดอยากกลายเป็นโต๊ะตัวนี้ ทำให้ผู้ที่เดิมคิดศึกษาไม่อาจศึกษาได้ ผู้คิดทำลายไม่อาจกระทำได้ ผู้ที่คิดจะควบคุมอดีตและอนาคต ก็ไร้หนทางจะควบคุม ในเวลาเดียวกัน…เขายังคิดจะกลืนเหล่าคนพวกนี้ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง” หวังเป่าเล่อดวงตาหดลีบ หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “เช่นนั้นผู้อาวุโส…ท่านเล่า?” ………………………..