หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1298 ไม่อาจเอ่ยคำ
มองจากระยะไกล ไม่ว่าจะเป็นสะพานแห่งที่สองหรือว่าสะพานแห่งที่สามหรือสี่ด้านหลัง และสะพานที่สิบเอ็ดซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกนั้น บนนั้นล้วนมีเงาร่างมายาจำนวนหนึ่ง ทว่า ยิ่งออกเดินไปเรื่อยๆ ก็จะเงาร่างพวกนี้น้อยลง ในบรรดานั้นบนสะพานแห่งที่เก้ายังมีเงาร่างสิบสาย แต่เมื่อมาถึงสะพานแห่งที่สิบ กลับมีเพียงสองเท่านั้น และในสะพานสุดท้าย…กลับมีเพียงเงาร่างเดียว! เงาร่างเหล่านี้สภาพเลือนรางนัก ยิ่งเดินไปด้านหลังมากเท่าไรก็ยิ่งพบว่ามองไม่ชัดเจนขึ้นเท่านั้น หลังเพ่งมองเงาร่างเหล่านี้ หวังเป่าเล่อก็เข้าใจ คนพวกนี้…บางทีอาจเป็นเหล่าคนที่เคยข้ามผ่านสะพานนี้มาก่อน จึงเหลือเงาร่างของแต่ละคนทิ้งไว้ “หลังผ่านไปแล้ว สะพานนี้…บางทีอาจเหลือเงาร่างของข้า” หวังเป่าเล่อพึมพำ เงาร่างกลายเป็นเส้นรุ้งสียาว ควบตะบึงไปเบื้องหน้า ระหว่างสะพานสู่สวรรค์เส้นที่หนึ่งละสองนั้น ดูแล้วไม่ได้ตั้งอยู่ห่างกันมาก ทว่าความเป็นจริงนั้น ระยะห่างระหว่างทั้งสองกลับไพศาลนัก อีกทั้งระยะห่างนี้ยังแฝงไปด้วยพลังของเต๋าแห่งมิติ ดังนั้นต่อให้เป็นพลังฝึกปรือระดับหวังเป่าเล่อก็ยังคงต้องบินไปอีกหลายวันถึงจะลุมายังสะพานแห่งที่สองได้ หลังจากเข้าใกล้แล้ว หวังเป่าเล่อก็เห็นสะพานแห่งที่สองชัดเจนเบื้องหน้าตน เมื่อเทียบกับแห่งแรกไปแล้ว สะพานแห่งที่สองใหญ่กว่ามาก ทั้งยังมีระดับสูงมากกว่าหลายเท่า ในเวลาเดียวกันก็ดูกว้างใหญ่กว่า หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่หน้าสะพานนั้นเทียบกับขนาดของสะพานแห่งนี้ ตัวเขาช่างเล็กจ้อยไม่อาจเทียบได้ แต่การที่เขายืนอยู่ตรงนี้ก็สัมผัสได้ว่าพลังปราณที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกลับเหนือล้ำกว่าสะพานที่สองมากทีเดียว เพราะว่า…ตัวเขาไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่มายังสะพานแห่งที่สอง เมื่อผู้อื่นมาที่นี่ ตัวของผู้นั้นยังไม่ได้ข้ามสู่สวรรค์ จึงต้องอาศัยพลังของสะพานช่วยให้บรรลุขั้นสุดท้าย แต่หวังเป่าเล่อนั้นแตกต่าง พลังการต่อสู้ของเขา แท้จริงแล้วถือว่าได้ข้ามผ่านระดับสวรรค์แล้ว หากแต่สิ่งที่เขาต้องการคือแรงหนุนจากสะพานแห่งนี้ เพื่อให้พลังการต่อสู้ของตนแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นแล้ว เงาร่างของหวังเป่าเล่อที่อยู่เบื้องหน้าสะพานแห่งที่สองจึงยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าดิน และโดยไม่รู้ตัว พลังปราณบนร่างของเขาที่สำเร็จการข้ามผ่านสะพานแรกมาได้ ก็ทำให้สะพานที่สองบังเกิดเสียงก้องดังสะเทือนเลื่อนลั่น “ที่แท้ก็ไม่สามัญ” ท่านพ่อหวังที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าสะพานแห่งแรกแหงนหน้ามองหวังเป่าเล่อ ดวงตาฉายแววชื่นชม ส่วนด้านข้างนั้นมีเงาร่างเพิ่มมาอีกหนึ่งคือหวังอีอี นางกำลังจ้องมองหวังเป่าเล่อที่อยู่เบื้องหน้าสะพานแห่งที่สองห่างออกไปไกล นัยน์ตาฉายประกายความเป็นห่วง ก่อนจะหันหน้ามามองบิดาของตน “ท่านพ่อ…สะพานแห่งที่สองนี้…” “สะพานแห่งที่สอง สำหรับเขาแล้วไม่เกิดอุปสรรคสิ่งใด ข้าต้องการให้โอกาสเขาบ่มเพาะ ยังไม่ถึงเวลา” ทหวังโหม่วถอนหายใจก่อนจะอธิบาย ระหว่างที่สองพ่อลูกกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่เบื้องหน้าสะพานแห่งที่สองก็ยกเท้าขึ้นเดินไปบนนั้นอย่างรุนแรง ในพริบตาที่ฝ่าเท้ารุดเหยียบลงไป ร่างกายของเขาก็เกิดเสียงดังสนั่นราวกับถูกขุมพลังอันไร้ลักษณ์โจมตีเข้ามา มันกวาดไปทั่วร่างของเขาราวกับจะต้องการตรวจสอบว่าเขามีคุณสมบัติที่จะขึ้นสะพานหรือไม่ แล้วยังมีกระแสจิตเทพระเบิดออกจากสะพานแห่งที่สองนี้ครอบงำทั้งสภาวะจิตของหวังเป่าเล่อ ราวกับจะตรวจสอบว่า เต๋า พลังจิต ร่างกายนี้สมบูรณ์หรือไม่ หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ชอบการถูกตรวจสอบทั้งในและนอกอย่างละเอียดเช่นนี้ แต่เมื่อคิดว่าตนนั้นเป็นแขกของดินแดนแห่งเซียน และสะพานแห่งนี้ก็ไม่ใช่สะพานธรรมดา แต่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนเซียน ดังนั้น ต่อให้ไม่ชอบใจสักเท่าไร แต่หวังเป่าเล่อก็ต้องพยายามสะกดอารมณ์ ปล่อยให้สะพานนี้ตรวจสอบต่อไป ทว่า…หลังจากสะพานตรวจสอบเสร็จสิ้น ด้วยความรวดเร็วก็มีขุมพลังต่อต้านระเบิดออกมาจากสะพานแห่งที่สองทันที นี่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่า แม้ร่างกาย สภาวะจิต และเต๋าของตนจะสมบูรณ์ หากแต่…เพราะไม่ใช่ผู้ฝึกตนของดินแดนเซียน ดังนั้นจึงไม่มีคุณสมบัติจะขึ้นสู่สวรรค์ อีกทั้งกระแสพลังขับไล่นี้ ก็ระเบิดออกมาเป็นพลังน่าหวาดผวาจากสะพานแห่งที่สองพุ่งเข้ามาที่ขาขวาของหวังเป่าเล่อที่กำลังเหยียบย่างบนสะพาน ราวกับต้องการยกขาของเขาขึ้น “เอ๋?” หวังเป่าเล่อคิ้วกระตุก ขาขวาของเขาคล้ายเป็นหินไปแล้ว มันเหยียบอยู่บนนั้นไม่อาจขยับเขยื้อนได้ เห็นดังนี้เขาจึงหันหน้าไปมองสองพ่อลูกที่อยู่หน้าสะพานแห่งแรก “ผู้อาวุโส สะพานนี้…” หวังเป่าเล่อเอ่ยไม่ทันจบ “หากมีอุปสรรค ต้องทำเช่นไร?” คำตอบที่มอบให้หวังเป่าเล่อ ก็คือดวงตาล้ำลึกของหวังโหม่วและน้ำเสียงราบเรียบ “สังหาร!” หวังเป่าเล่อที่ขาเพียงข้างเดียวค้างอยู่บนสะพานนั้น ดวงตาทอประกายวาบ “หากไม่ยินยอม จะทำเช่นไร?” หวังโหม่วถามซ้ำ “สยบมัน!” หวังเป่าเล่อเอ่ยคำนี้ออกมาโดยไม่ลังเล ในเวลาเดียวกันขณะที่เอ่ยปาก แววตาของเขาก็ยิ่งลุกโชน “ผู้อาวุโส ผู้เยาว์เข้าใจแล้ว ทว่า…ก่อนหน้านี้ผู้เยาว์ยังเอ่ยไม่ทันจบ สิ่งที่ต้องการพูดก็คือ หากว่าผู้เยาว์ไม่ทันระวังทำลายสะพานแห่งนี้พัง…ขอผู้อาวุโสอย่าได้โกรธ” หวังโหม่วมื่อได้ยินประโยคนี้กลับยิ้มกว้าง น้ำเสียงอารมณ์ดีกระจายไปแปดทิศ สีหน้าของเขาเป็นสุข ราวกับว่าในหลายขวบปีมานี้ไม่ได้หัวเราะเช่นนี้นานแล้ว “หากว่าเจ้าทำได้ ไม่มีปัญหา!” อีกด้านหวังอีอีที่ได้ยินประโยคนี้เช่นกัน ราวกับนางระลึกถึงความทรงจำบางอย่างได้ ดวงตาพลันเบิกกว้าง รีบคว้าจับแขนเสื้อของบิดาเอาไว้ คิดอยากกล่าวอะไรสักอย่างแต่ดูเหมือนว่าท่านพ่อของตนจะไม่สนใจ หลังจากนางลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา และเพราะคำว่า “ไม่มีปัญหา” นี้ลอยออกมานั่นเอง พริบตานั้นลมปราณของหวังเป่าเล่อก็ระเบิดออก เขาหันกายกลับ ไม่สนใจกระแสขับไล่ของสะพานแห่งที่สองไม่ว่ามันจะต่อต้านแค่ไหน เท้าขวาของเขาในเมื่อเหยียบขึ้นไปแล้วจึงขยับกายกระโจนเข้าสู่สะพานเต็มตัว เมื่อเหยียบเข้าไป ทั้งสะพานก็สั่นสะท้าน ตอบโต้รุนแรงกว่าเก่า ราวคลื่นทะเลซัดโหม แต่กลับไม่อาจทำอะไรหวังเป่าเล่อได้สักนิด ยิ่งแรงสยบรุนแรงขึ้นก็ยิ่งสะท้านสะเทือนขวัญ ทว่าเขาก็ยังเดินไปเรื่อยๆ ออกเดินไปทีละก้าวยังสะพานแห่งที่สองราวกับเดินชมนกชมไม้ หลังจากทุกย่างก้าวนั้น สะพานแห่งที่สองก็สั่นสะท้านรุนแรงขึ้นราวกับย่างก้วาของหวังเป่าเล่อคือแรงกดดันที่มาสู่มัน ตอนนั้นเองก็มีรอยแตกร้าวสายหนึ่ง ปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าหวังเป่าเล่อ! ในเวลาเดียวกัน กระแสขับไล่จากสะพานแห่งนี้พลันระเบิดออกมาราวกับเป็นขุมพลังกดทับขนาดยักษ์ขุมหนึ่ง ทำให้ทั้งร่าง จิตใจ และเต๋าของหวังเป่าเล่อที่สมบูรณ์มาตั้งแต่สะพานแห่งแรกนั้นราวกับถูกหลอมล้าง ลมปราณของเขา ยามที่ออกเดินก็ยิ่งไพศาลมากขึ้น ขยายออก รุนแรงมากขึ้น! และสุดท้าย ท่ามกลางเสียงครืนโครมของฟ้าดิน ทั้งดินแดนเซียนก็เกิดเสียงดังลั่น หากคนปกติข้ามสะพาน จะต้องสูงศักดิ์ แต่หากคนไม่ธรรมดาข้ามนั้น จะต้องเอาชนะ! หากเจ้าไม่ยอมรับข้า เช่นนั้นข้าจะสยบเจ้า! หากเจ้าขัดขวางข้า เช่นนั้นข้าจะสังหารเจ้า! สิ่งใดที่เรียกว่าความสำราญ มิใช่การหลีกเร้น มิใช่การฝากฝัง มีเพียงพลังเท่านั้น จึงจะสามารถมีชีวิตอย่างสุขสำราญได้แท้จริง! นี่สิคือความสำราญ และนี่สิคือเซียน! ท่ามกลางเสียงดังสนั่น พริบตานั้นเงาร่างของหวังเป่าเล่อก็ขยายใหญ่ มันปรากฏอยู่บนท้องฟ้าของดินแดนเซียนแห่งนี้ เหล่าสรรพชีวิตสามารถเห็นร่างของเขาและสะพานใต้ร่างได้ ในพริบตานี้ สะพานแห่งที่สองราวกับต้องการ…ขัดขวาง! แม้จะไม่ยินยอมแต่ก็ไม่อาจอดทนได้ เพราะพลังปราณของหวังเป่าเล่อนั้นสะท้านสะเทือนนัก แต่เจ้าสะพานแห่งที่สองนี้กลับยังคงระเบิดพลังขับไล่ออกมา ในพริบตาดินแดนเซียนก็ปรากฏขึ้นในดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อ นี่คือพลังส่งเสริมทั้งหมดซึ่งสะพานแห่งที่สองมี มันช่วยเพิ่มเสริมดวงจิตเทพ หรือจะกล่าวให้กระจ่างชัดกว่านั้นคือช่วยเพิ่มพูนปณิธาน กระแสจิตครอบคลุมได้มหาศาลเท่าไร ข้อมูลที่ได้รับมาก็ยิ่งมากเท่านั้น อีกทั้งยังต้องการปณิธานอันห้าวหาญเข้มแข็งจึงจะมีจิตเทพอันสงบนิ่งได้ ในยามนี้ดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อ รูปลักษณ์ของดินแดนเซียนนั้นแปรเปลี่ยน ภายใน 72 อาณาเขต ได้กลายเป็นยักษ์เกราะทองทั้งสิ้น 72 ร่าง ทุกร่างล้วนมองไปยังท้องฟ้าด้วยสีหน้าเข้มงวด ภายในกายของยักษ์ทั้ง 72 นี้ก็มีจักรวาล 8,000 เคลื่อนไหวหมุนเวียนอยู่ด้านใน และภายในเขตของแต่ละจักรวาล ก็ยังมีอสูรดุดันต่างลักษณ์จำนวน 108 ตัวอยู่ด้วย ในยามนี้พวกมันโห่คำรามมายังหวังเป่าเล่อ หรือจะกล่าวให้ชัดเจนคือ เสียงโห่คำรามนี้เป็นเสียงร้องขอให้ช่วย! คล้ายว่าพวกมันสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสจิตเทพของหวังเป่าเล่อ จึงวิงวอนให้หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพวกมันให้เป็นอิสระ! ในตอนนี้เอง ทุกเมืองในดินแดนเซียนก็สั่นสะท้านรุนแรง ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนจำนวนมากจากทุกแห่งหนทะยานออกมา ยามที่พวกเขามองมาทางเงาร่างของหวังเป่าเล่อ ผืนดินก็ยิ่งสั่นสะท้านรุนแรงกว่าเก่า เงาร่างของอสูรยักษ์แต่ละร่าง พลันปรากฏลักษณ์มายาออกมาจากแต่ละเมือง ล้วนกู่คำรามโหยหวนขอความช่วยเหลือพร้อมกันไปยังฟากฟ้า ฉากนี้ สำหรับผู้ฝึกตนในดินแดนเซียนแล้ว ไม่ได้แปลกประหลาดนัก ในเวลาอันรวดเร็วก็มีผู้ฝึกตนกรีดร้องลืมตัว “มีคน…มีคนกำลังขึ้นสู่สวรรค์!” “คนผู้นี้ ได้เห็นการข้ามผ่านสวรรค์แล้วครั้งหนึ่ง!” “ใครกัน ทำไมถึงรู้สึกแปลกหน้าเช่นนี้” สำหรับผู้ฝึกตนในดินแดนเซียน ฉากนี้แม้ว่าจะหากได้ยาก แต่ก็เกิดขึ้นนับไม่ถ้วนแล้วแล้วในจำนวนขวบปีที่ผ่านมา ทว่าระยะห่างแต่ละครั้งนั้นเนิ่นนานไปหน่อย ดังนั้นหลายคนจึงยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาขึ้นมาในครั้งแรก และในเวลาอันรวดเร็ว เสียงกรีดร้องตกใจก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง มันสะท้อนออกมาจากแต่ละแห่งในดินแดนเซียน หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจความวุ่นวายพวกนั้น ยามนี้เขาสัมผัสได้ว่าดวงจิตเทพของตนกำลังขยาย สามารถสัมผัสได้ถึงปณิธานที่แน่วแน่กว่าเก่า ฝ่าเท้าของเขาก้าวเดินเร็วยิ่งขึ้น ลมปราณก็แสดงพลังจนถึงขั้นสูงสุด แววตาทอประกายคมปลาบสะเทือนฟ้าดิน จิตใจเบิกบานอย่างมาก และในขณะที่เขากำลังจะกู่ร้องนั่นเอง พริบตาถัดมา… หลังจากที่เท้าเหยียบย่าง ท่ามกลางเสียงอื้ออึงซึ่งสะท้อนไปทั่วดินแดนนั้น สะพาน ก็พังทลาย สรรพชีวิตทั้งหลายในดินแดนเซียน พริบตานั้น…เงียบสนิท ทุกสายตาที่แหงนมองท้องนภาพลันเบิกกว้าง ท่าทางเหม่อลอย กระทั่งเหล่าอสูรที่ร้องขอให้ช่วยในทีแรกก็พลันเงียบเสียง สีหน้าฉายแววหวาดผวา ต่างพากันหดศีรษะราวกับไม่กล้าส่งเสียงร้องอีก หวังเป่าเล่อส่ายหน้า เขาหันไปมองหวังโหม่วที่อยู่หน้าสะพานแห่งแรกอย่างรู้สึกผิด สีหน้ากระอักกระอ่วน “ผู้อาวุโส…” “เจ้าทำพังเข้าแล้วจริงๆ” หวังโหม่วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ ส่วนหวังอีอีที่อยู่ข้างๆ ได้แต่กะพริบตาปริบๆ นางไอแค่กๆ ออกมา แล้วไม่กล่าวสิ่งใดเลย