หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1302 พิสูจน์เต๋า
นับแต่สะพานสู่สวรรค์ถือกำเนิดขึ้นความลึกลับและความยิ่งใหญ่ของมันล้ำลึกถึงขีดสุด ในมหาจักรวาลผืนนี้สิ่งที่สามารถพิสูจน์ระดับการก้าวสู่สวรรค์ได้นั้นมีเพียงหยิบมือ และสะพานสู่สวรรค์ที่มีฐานะอยู่ในหนึ่งนั้นจึงย่อมน่าอัศจรรย์
ขณะเดียวกันสะพานสู่สวรรค์นี้ยังมีจุดที่พิเศษอย่างยิ่ง มันไม่เพียงสามารถพิสูจน์การฝึกตนระดับการก้าวสู่สวรรค์ได้ แต่ยังเป็นเหมือนเครื่องขยายเสียง ทำให้วิถีเต๋าของผู้ฝึกตนที่ก้าวข้ามสะพานและเต๋าหมื่นวิถีก่อตัวเป็นปราณกังวาน ส่งผลให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ก้าวข้ามสะพานนี้มีพลังต่อสู้เพิ่มขึ้นมหาศาล
ตามหลักการแม้จะไม่ใช่ว่าไม่มีใครรู้ แต่ต่อให้เข้าใจก็ยากที่จะลอกเลียนแบบได้อยู่ดี ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพียงหนึ่งเดียวมีเพียงบิดาของหวังอีอี
เพราะสะพานที่ครั้งหนึ่งเคยพังทลายถูกเขาสร้างขึ้นใหม่ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังสร้างเพิ่มขึ้นอีกสองสะพานบนฐานรากเดิมด้วย
การทำสิ่งแรกได้นั้นก็ไม่ธรรมดาแล้ว การทำอย่างหลังจึงนับว่าน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่า
ดังนั้นในมหาจักรวาลผืนนี้ ความเข้าใจในสะพานสู่สวรรค์ของหวังโหม่วจึงไม่มีใครเทียบได้
เขารู้ดีว่าการข้ามสะพานแห่งแรกคือทำให้ผู้ฝึกตนรู้แจ้งเต๋าทั้งหมดในจักรวาลเหมือนเป็นการเปิดทาง ทำให้ตัวผู้ฝึกตนยิ่งสมบูรณ์ขึ้น สะพานนี้ ใครก็ตามที่มีระดับการฝึกตนในระดับหนึ่งก็มีคุณสมบัติที่จะเหยียบมันได้
แต่ตั้งแต่สะพานที่สองเป็นต้นไปนั้นจะแตกต่าง เฉพาะผู้ที่มีสายเลือดดินแดนเซียนเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติก้าวต่อได้ ดังนั้นจุดสำคัญของสะพานแห่งที่สองก็คือการทดสอบ หรือจะเรียกว่าธรณีประตูก็พอจะคล้ายคลึงกัน
ดังนั้นก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อจึงถูกต่อต้านอย่างรุนแรง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คนของดินแดนเซียนจะต้องถูกสกัดอยู่ตรงนี้เป็นแน่ แต่หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
ดังนั้นภายใต้เจตจำนงและฝีเท้าของเขา แม้สะพานที่สองจะพังทลายก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งได้ จนต้องยอมรับในคุณสมบัติของเขาในท้ายที่สุดและเปิดทางก้าวสู่สวรรค์อย่างแท้จริงให้หวังเป่าเล่อ
นี่จึงเกิดการ ‘สำรวจจิตใต้สำนึก’ เป็นครั้งแรกของสะพานสู่สวรรค์
เมื่อหัวใจเต๋าสมบูรณ์จึงจะสามารถเดินลงจากสะพานที่สองและเดินขึ้นสะพานที่สามได้ และมีเพียงผู้ที่หัวใจเต๋ามั่นคงเท่านั้นจึงจะเดินข้ามสะพานที่สามไปยังสะพานที่สี่ได้
นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องให้หัวใจเต๋าอยู่บนพื้นฐานของความสมบูรณ์และมั่นคงจึงจะสามารถก้าวลงจากสะพานที่สี่และไปยังสะพานที่ห้าได้เช่นกัน
ทั้งหมดนี้หวังเป่าเล่อทำได้แล้ว ระดับการฝึกตนของเขาหลังจากก้าวข้ามสะพานมาอย่างต่อเนื่องก็ปะทุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พลังการต่อสู้ก็เช่นกัน พลังปราณบนร่างยิ่งทะยานขึ้นฟ้า จนเรียกได้ว่าหากเทียบระหว่างเขาในขณะนี้กับเขาตอนก่อนหน้าจะก้าวข้ามสะพาน มันอาจไม่ต่างกันมาก แต่ตอนนี้แม้จะยังไม่ถึงขนาดบดขยี้ได้ ทว่าก็สามารถสยบได้
เพราะก่อนจะข้ามสะพานมีเพียงพลังของคนคนเดียว ทว่าตอนนี้สามารถยืมพลังจากเต๋าหมื่นวิถีในจักรวาลและปราณกังวานจากมหาจักรวาลมาใช้ได้ แม้ว่า…การยืมพลังเช่นนี้จะยากลำบากอยู่บ้าง แต่…นี่ก็ไม่ใช่เคล็ดวิชาทั่วไปของขั้นที่สี่แล้ว นี่คือขั้นที่ห้า!
ต่อให้เป็นต้นกำเนิดแห่งเต๋าแล้วอย่างไร พลังเต๋าหมื่นวิถีที่ยืมมาจากมหาจักรวาลก็ย่อมสยบได้ทั้งสิ้น
แต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนที่อยู่บนสะพานที่ห้าจะทำได้ โดยปกติแล้วการเหยียบสะพานที่ห้าก็แค่ทำให้เกิดดวงอาทิตย์ขึ้นบนดินแดนเซียนเท่านั้น อิงจากชื่อของดินแดนเซียนแล้วก็เป็นเพียงมหาจักรพรรดิสวรรค์
ไม่ใช่ขั้นที่สี่ แต่เป็นระดับใกล้เคียง
แต่เนื่องจากรากฐานร่างกายหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งเกินไป สะพานที่ห้าของเขาจึงแตกต่างจากผู้อื่น ไม่เพียงแต่ปรากฏดวงอาทิตย์ดวงที่สิบเอ็ดขึ้นในดินแดนเซียนเท่านั้น ทว่ารัศมีร่างกายของเขายังน่าทึ่งจนคาดไม่ถึงด้วย
นี่ก็คือเหตุผลที่หวังโหม่วเอ่ยคำพูดไม่ธรรมดานั่นออกมา
เพราะผู้ที่สร้างสะพานสู่สวรรค์ขึ้นใหม่เองกับมืออย่างเขารู้ดีว่า จะความสมบูรณ์ของร่างกายในสะพานแรกก็ดี การรับรองคุณสมบัติในสะพานที่สองก็ดี หรือจะการสำรวจจิตใต้สำนึกในสะพานที่สามถึงห้า ทั้งหมดนี้…ในความเป็นจริงเป็นเพียงการยกระดับรายละเอียดข้างในของผู้ฝึกตนเท่านั้น
ยิ่งรายละเอียดลึกซึ้งก็ยิ่งยกระดับได้มาก!
บทบาทของการขยายจริงๆ ได้เริ่มขึ้นนับจากนี้ และการยกระดับรายละเอียดทั้งหมด การขยายทั้งหมด ท้ายที่สุดแล้วก็มีไว้สำหรับ…การระเบิดของสะพาน!
ห้าสะพานแรกล้วนเป็นการสั่งสมพลัง!
หกสะพานหลังถึงจะเป็นการก้าวสู่สวรรค์!
ยิ่งสั่งสมพลังได้ลึกซึ้งเท่าไร การก้าวสู่สวรรค์ก็จะยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น!
“อย่างแรกสำรวจจิตใต้สำนึก อย่างหลังพิสูจน์เต๋า หวังเป่าเล่อ ขอข้าดูหน้อยสิ เจ้า…จะไปได้สักกี่สะพาน!” หวังโหม่วมองหวังเป่าเล่อบนปลายสะพานที่ห้าด้วยสายตาเฝ้ารอ
การพิสูจน์เต๋า เริ่มได้!
หวังเป่าเล่อเงยหน้าก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ตอนนั้นเองสะพานที่ห้าพลันเกิดเสียงร้องคำรามทันที หวังเป่าเล่อซึ่งอยู่ระหว่างสะพานที่ห้าและหกยิ่งเปล่งรัศมีมากขึ้น ผู้ที่มาถึงจุดนี้ได้อย่างเขาย่อมรู้วิธีที่จะไปต่อ
“ทอง!” หวังเป่าเล่อดวงตาวาววับพร้อมเอ่ยเสียงต่ำ
พริบตาที่เสียงเขาดังขึ้น บนร่างก็ระเบิดกฎแห่งทองอันน่าสะพรึงกลัวออกมา กฎนี้ไม่ได้ไร้รูปร่างอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นด้ายสีทองนับไม่ถ้วนพันไปรอบๆ หากมองจากที่ไกลๆ ด้ายพวกนี้กำลังถักทอเป็นโครงสร้างวัตถุหนึ่ง
ซึ่งนั่นก็คือแท่งเงิน
เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นสีเงินแต่กลับเปล่งแสงสีทอง ความขัดแย้งอันน่าประหลาดนี้ทำให้ผู้พบเห็นต่างดวงตาพร่ามัว อีกทั้งยามนี้กฎแห่งทองนับไม่ถ้วนจากมหาจักรวาลที่กำลังสั่นสะเทือนก็ก้องกังวานราวกับได้รับพร ทำให้กฎแห่งทองบนร่างหวังเป่าเล่อทวีความยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น
และท่ามกลางความยิ่งใหญ่นี้เอง หวังเป่าเล่อก็ก้าวไปอีกก้าว เหยียบย่างลงบนความว่างเปล่าและไปปรากฏตัวขึ้นที่กลางสะพานที่หก!
มาถึงตรงนี้พลังปราณของเขาก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง อานุภาพแห่งกฎทองก็ดูเหมือนจะยกระดับขึ้นจนเห็นได้ว่า…แท่งเงินนั่นกำลังหลอมละลาย ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วอึดใจ พริบตาต่อมาแท่งเงินก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับหวังเป่าเล่อไปแล้ว!
ฟ้าดินร้องคำราม จักรวาลปั่นป่วน กระแสน้ำวนขนาดมหึมาปรากฏขึ้นนอกดินแดนแห่งเซียน ส่งผลให้เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ในมหาจักรวาลรับรู้ถึงมันได้จากระยะไกล และทยอยแผ่ดวงจิตเทพมาราวกับกำลังรับชมเต๋า
ขณะที่ดึงดูดความสนใจจากสายตาและดวงจิตเทพมานับไม่ถ้วน หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่กลางสะพานที่หกกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาก้มมองสองเท้าของตนและพบว่ามันไม่สามารถยกขึ้นมาได้
“เต๋าธาตุทอง เพราะข้าไม่ใช่ต้นกำเนิดที่แท้จริง ดังนั้น…เจ้าไม่มีทางช่วยพาข้าข้ามสะพานนี้ไปได้เลยหรือ…”
“ไม่มีปัญหา” ดวงตาหวังเป่าเล่อสว่างวาบ มือขวาสะบัดลงไปหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นหมอกน้ำก็แผ่ขยายไปทั่วทุกสารทิศ แผ่ขยายเต็มท้องฟ้า ปกคลุมดินแดนเซียน หากมองจากระยะไกลมันเป็นรูปทรงหยดน้ำ หรือกล่าวให้ถูกมันก็คือน้ำตาหยดหนึ่ง
เมื่อหมอกน้ำกระจายตัวออก กฎแห่งน้ำก็จุติขึ้นและเสริมพลังทันที มันหลอมละลายรูปแบบดั้งเดิมของตน แล้วหลอมรวมเข้ากับร่างหวังเป่าเล่อเช่นเดียวกับกฎแห่งทอง จากนั้นฝ่าเท้าของเขาก็ยกขึ้นและก้าวไป
ร่างของเขา…ข้ามสะพานที่หกมายืนอยู่ระหว่างสะพานที่หกและเจ็ดในทันที!
“ต่อไปคือเต๋าธาตุดิน!”
……………………………………………………………….