หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1312 ว่านอนสอนง่าย
เมื่อได้ยินคำถามของชายขี้เมา หวังเป่าเล่อนัยน์ตาลึกล้ำไม่ได้ตอบกลับ เขามองชายขี้เมาและโลกที่กำลังจางหายไปตรงหน้าด้วยแววตาราบเรียบ จนกระทั่งผ่านไปหลายอึดใจ ทั่วทั้งคูเมืองก็ราวกับฟองอากาศที่แตกละเอียด สลายลงกลายเป็นความว่างเปล่า
และขณะเดียวกับที่มันแตกสลาย พริบตาที่มิติมายากับความเป็นจริงตัดสลับ วิชาเต๋าแห่งฝันของหวังเป่าเล่อก็เริ่มเคลื่อนตัวขึ้นอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ คว้าโอกาสตัดสลับสายนั้นพร้อมปิดตาลง
ในขณะเดียวกัน ร่างหลักของหวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่ใต้สะพานดินแดนเซียนในเวลานี้ ร่างกายค่อยๆ เลือนราง คล้ายกับการคงอยู่ของเขาเป็นดั่งภาพวาดที่ตอนนี้กำลังถูกคนลบไปทีละนิด
เมื่อถูกลบจนเลือนหายไปหมด ในมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด หวังเป่าเล่อที่อยู่ที่นี่ค่อยๆ เปิดตาขึ้นช้าๆ ร่างกายเขาเริ่มมีเลือดมีเนื้อขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งพริบตาที่ดวงตาทั้งสองของเขากะพริบเปิดและปิดอย่างเต็มที่…
เขาไม่ได้อยู่ในมิติฝันแล้ว
สิ่งที่เห็นตรงหน้า…กลายเป็นโลกแปลกตาทันที!
ท้องฟ้าที่นี่ราวกับเปลวเพลิง แดงก่ำไร้ใดเปรียบ คล้ายกับชโลมด้วยเลือด ให้ความรู้สึกชั่วร้ายยากจะบรรยายแก่ผู้คน
ส่วนพื้นดินเต็มไปด้วยความแห้งแล้ง ไม่มีแม้แต่ต้นหญ้าและแทบจะไร้ร่องรอยของสิ่งมีชีวิต ถึงขนาดที่ว่าแม้แต่ซากปรักพังก็ไม่มีเข้าสู่สายตาเลยสักนิด
ราวกับที่นี่เป็นเขตหวงห้ามของสิ่งมีชีวิต
เปล่าเปลี่ยว แห้งขอด คล้ายเป็นท่วงทำนองหลักของที่แห่งนี้ กระทั่งสายลมที่โชยมาก็ให้ความรู้สึกหยาบกร้านแก่ผู้คนยามกระทบกาย ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกคล้ายกับกำลังถูกพัดสลาย
“ลมที่นี่…แฝงด้วยกฎพิเศษบางอย่าง คล้ายกำลังดูดพลังชีวิตของข้า” หวังเป่าเล่อสัมผัสอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง มองไปรอบๆ อีกครั้งก่อนปล่อยดวงจิตเทพออกไปอย่างรวดเร็ว แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ
เขาอยากจะดูว่าที่นี่เป็นเขตแดนแบบใดกันแน่ แต่ชัดเจนว่าในจักรวาลนี้มีแรงยับยั้งอยู่ แม้แต่พลังปราณของหวังเป่าเล่อก็ปล่อยออกมาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
แม้จะเป็นเพียงบางส่วน แต่ก็กว้างพอแล้ว ขนาดพอๆ กับโลกแห่งศิลา
และในเขตจิตของเขา พื้นดินยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีสิ่งมีชีวิตปรากฏขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
หวังเป่าเล่อหรี่ตา ไหวร่างระเบิดพลังบินไปที่ห่างไกลด้วยความรวดเร็ว เมื่อบินไปได้สองชั่วยามคิ้วก็ค่อยๆ ขมวดมุ่น
เพราะด้วยความเข้าใจก่อนมาของเขา ในมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิดมีจักรวาลที่เกิดจากผู้เยี่ยมยุทธ์ 108 ท่านอยู่ ตามหลักการแล้ว เวลานี้ตนควรจะอยู่ที่ใดสักแห่งในจักรวาลนี้ แต่การบินด้วยความเร็วสองชั่วยาม แม้ดวงจิตเทพจะถูกยับยั้งจากที่แห่งนี้อยู่บ้าง ทว่าก็เพียงพอแล้วที่จะบิยวนจักรวาลได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพื้นดินผืนเดียวแห่งนี้เลย
ทว่าจวบจนถึงตอนนี้ สิ่งที่รับรู้ก็คือ ที่แห่งนี้ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย และก็ไม่ถึงสุดเขตพื้นดิน สิ่งมีชีวิตที่นี่ยังคงไร้ร่อยรอยใดๆ
“ไม่ค่อยถูก ที่นี่ไม่ควรไร้สิ่งมีชีวิต…ไม่เช่นนั้นที่ข้าเห็นในเต๋าแห่งฝันทั้งหมดก่อนหน้านั้น ดวงแสงมากมายมหาศาลนั่นจะเป็นใคร?”
หวังเป่าเล่อยืนอยู่ใต้ท้องฟ้าสีแดงก่ำ ก้มหน้ามองพื้นดิน ผ่านไปอึดใจก็แหงนหน้ามองฟ้า ในเมื่อผืนดินแห่งนี้ราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด เช่นนั้นเขาจะลองไปดูท้องฟ้าแทน
คิดได้ดังนี้ หวังเป่าเล่อก็ลอยขึ้นสูงทันที มุ่งไปยังท้องฟ้าที่แดงก่ำด้วยความรวดเร็ว ทว่าท้องฟ้าผืนนี้ก็ช่างประหลาดอย่างยิ่ง คล้ายกับไม่มีจุดสิ้นสุดเช่นกัน ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะไปต่ออย่างไร แม้จะเข้าไปในท้องฟ้าจนลึก รอบด้านเต็มไปด้วยแสงสีแดง แต่ก็ไม่สามารถทะลุออกไปได้อยู่ดี
ราวกับโลกใบที่เขาอยู่นี้เหมือนไม่มีขีดจำกัด ทุกๆ ที่ล้วนเป็นที่ที่ยากจะก้าวออกไป
ถึงขนาดในตอนท้าย เหตุเพราะแสงสีแดงเข้มข้นเกินไปจนเกิดการเปลี่ยนแปลงน้อยๆ กลายเป็นหมอกสีแดง แต่เขาก็ยังคงติดอยู่ข้างในหาทางออกไม่เจอ
นี่ทำให้หวังเป่าเล่อคิ้วขมวดมุ่นยิ่งขึ้น นัยน์ตามีประกายเยียบเย็นพาดผ่าน หยุดนิ่งครู่หนึ่ง มือขวายกสูง เต๋าแปดปกมัตถ์ในร่างปะทุ ขณะที่พลังแห่งธาตุทั้งห้าไหลเคลื่อน ขณะที่เขากำลังจะระเบิดโลกใบนี้อย่างไม่อ่อนข้อ
ตอนนั้นเอง สีหน้าหวังเป่าเล่อก็เคร่งขรึม ภายในเขตดวงจิตเทพของเขาเกิดระลอกคลื่น หากเปรียบดวงจิตเทพเป็นดั่งผืนน้ำ เช่นนั้นระลอกคลื่นตอนนี้ก็เหมือนกับมีก้อนหินตกลงไป เกิดระลอกคลื่นเล็กๆ ขึ้นมา
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่รู้สึกถึงระลอกคลื่นนี้ ดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อก็เล็งเป้าหมายไว้อย่างรวดเร็ว รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าในหมอกแดงแห่งนั้น ตอนนี้มีเงาร่างหนึ่งอยู่ก่อนพุ่งเข้าไปหาอย่างเร็วรี่
เงาร่างนี้ประหลาดอย่างยิ่ง ทั้งๆ ที่เมื่อเปรียบกับความเร็วของหวังเป่าเล่อแล้วต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แต่พลังปราณของหวังเป่าเล่อในเวลานี้ กลับมองเห็นเขาไม่ชัดเจน
รู้สึกเพียงรางๆ ในตอนที่สัมผัสได้ ราวกับความรู้สึกของอีกฝ่ายแฝงด้วยความยินดี ถึงขนาดในความรู้สึกของตนยังได้รับผลกระทบ เกิดความสุขลอยขึ้นมา
อีกทั้งข้างหลังของเงาร่างนี้ ก็ปรากฏอีกสองเงาร่างที่เลือนรางเหมือนกันกำลังไล่กวดด้วยความรวดเร็ว เงาร่างสองร่างนี้ยังพิสดารกว่าความรู้สึกยินดีร่างนั้น เพราะหากพูดให้ถูก พวกเขา…ไม่ใช่เงาร่างของมนุษย์ที่สมบูรณ์เสียแล้ว
ในความรู้สึกของหวังเป่าเล่อ ผู้ที่ไล่ตามทั้งสองคนนี้ร่างกายคล้ายกับอยู่ระหว่างจับต้องได้และจับต้องไม่ได้ ขณะที่จับต้องได้ก็พอแยกแยะเป็นร่างคน แต่ยามที่จับต้องไม่ได้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงทำนองเสียงที่หวังเป่าเล่อไม่เคยได้ยินมาก่อนสองเสียง หนึ่งเร็ว หนึ่งช้า ผ่านไปในสัมผัสสวรรค์ของเขา
หวังเป่าเล่อหรี่ตา เมื่อสังเกตอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกได้ว่าเงาร่างทั้งสามที่กำลังรุกไล่ในเวลานี้กำลังจะออกจากเขตดวงจิตเทพของตน ดังนั้นนัยน์ตาจึงทอประกายวาบ ก้าวออกไปก้าวหนึ่งและหายไปทันที
และปรากฏขึ้นอีกครั้งที่ตรงกลางของเงาร่างทั้งสาม การปรากฏตัวของเขากะทันหันเกินไป ทำให้ผู้ที่ถูกไล่กวดตกตะลึง ส่วนผู้ที่ไล่ตามทั้งสองก็ไม่ต่างกัน
เมื่อถึงตรงนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใด ด้วยดวงตา หวังเป่าเล่อก็เห็นพวกเขาได้อย่างชัดเจนแล้ว ผู้ที่ถูกไล่ฆ่าเป็นเด็กหนุ่ม สีหน้าขาวซีด ดูธรรมดา แต่ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อเห็นเขา ความรู้สึกยินดีปรีดาในใจหวังเป่าเล่อก็เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ส่วนผู้ที่รุกไล่ทั้งสอง ดูแล้วเป็นวัยกลางคน สีหน้าเยียบเย็น ให้ความรู้สึกโอหังและถือดีบางอย่าง
ทั้งสองคนดูเหมือนจะเหี้ยมกว่าหน่อย ทั้งๆ ที่หวังเป่าเล่อก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เมื่อผงะไป ความเร็วกลับไม่ตกลงแม้แต่น้อย และพุ่งไปยังหวังเป่าเล่อทันที ขณะที่พุ่งทะยานนั้น เงาร่างทั้งสองก็เลือนรางก่อนจางหายไป มีเพียงทำนองสองเสียงที่พุ่งมาทางหวังเป่าเล่อด้วยความเร็วดังชัดใกล้เข้ามามากขึ้น
“พวกเขาเป็นพลังเทพแบบไหน?” หวังเป่าเล่อประหลาดใจ หันไปมองเด็กหนุ่มที่ถูกไล่ฆ่าพร้อมเอ่ยถาม
เมื่อถามจบ ด้วยเสียงที่ดังเข้ามาในหูของหวังเป่าเล่อ ร่างกายของเขากลับเกิดอาการถูกควบคุม ถึงขั้นมีพลังประหลาดขุมหนึ่งผุดขึ้นในร่างของเขาอย่างป่าเถื่อน ราวกับจะระเบิดฝังเขา
หวังเป่าเล่อทึ่งเป็นอย่างมาก สำหรับทำนองเสียงทั้งสองแล้วก็เหมือนกับพลังของสัตว์ร้าย เหมือนกับเห็นไส้เดือน เขาสัมผัสมันอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่ง
ขณะเดียวกัน ผู้ที่ถูกไล่นั้น ชัดเจนว่าไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นใคร นัยน์ตาจึงเป็นประกาย ยิ้มเยาะในใจ
“เจอผู้ร่ำร้องแห่งเมืองปรารถนาเสียง กลับให้ท่วงทำนองร่ายไปตามอำเภอใจ คนผู้นี้น่าจะเป็นคนโบราณที่เพิ่งจะฟื้นตื่น ช่างโง่เขลาเสียจริง มีที่ไหนที่เจอหน้าก็ถามแบบนี้ มีแต่คนโง่ถึงจะบอกตามจริง” เด็กหนุ่มแค่นเสียง แววตาเหมือนมองคนตาย คล้ายกับรู้ได้ว่าพริบตาต่อมา ผู้ที่มาอย่างประหลาดนี้จะต้องตกตายอย่างแน่นอน ก่อนหันหน้าเพิ่มความเร็วหนีไป
และในขณะที่เขาไหวร่าง พริบตาที่เหาะไปไม่ถึงสิบจั้ง ทำนองเสียงทั้งสองด้านหลัง…ก็หยุดลง
หลังจากตะลึงงัน เด็กหนุ่มหันกลับไปตามสัญชาตญาณ พริบตาที่เห็นฉากเหตุการณ์ด้านหลังอย่างชัดเจน ดวงตาพลันเบิกกว้างราวกับเห็นผี
“เจ้าเจ้าเจ้า…”
เวลานี้ หวังเป่าเล่อที่เขาเห็นกำลังยืนอยู่ตรงนั้น ในง่ามนิ้วของมือข้างหนึ่งกำลังจับโน้ตดนตรีทั้งสอง สังเกตด้วยความสนใจ ดีดดึงเล่นไม่หยุด
ส่วนโน้ตดนตรีทั้งสอง ตอนนี้มันสั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับหวาดกลัวสุดขีด ส่งเสียงโอดครวญขณะดิ้นรนทำให้ท่วงทำนองเปลี่ยนไป
เมื่อครู่ เสียงดนตรีทั้งสองได้พุ่งชนพลังที่ยิ่งใหญ่ของเขาอย่างดุดันป่าเถื่อน จากนั้น…พวกมันก็เริ่มสั่นไหวอยากจะถอยกลับ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ทันแล้ว
“พวกเขาเป็นพลังเทพแบบไหน?” เมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่โดนไล่ฆ่าหยุดลง หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าถามด้วยความจริงจังอีกครั้งท่ามกลางเสียงโหยหวนดิ้นรนของตัวโน้ตทั้งสอง
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึก หลังจากสับสนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยตอบอย่างเชื่อฟัง
“ผู้อาวุโส พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนของเมืองปรารถนาเสียง ฝึกเคล็ดวิชาเสียง เสียงที่ได้ยินทั้งหมดเป็นสภาพพลังเคล็ดวิชาของพวกเขาทั้งนั้น ผู้ที่ฝึกจนถึงระดับหนึ่งสามารถกลายร่างเป็นเสียงสัมผัสได้ เป็นอมตะ ไม่ตายไม่ดับ”
เด็กหนุ่มตอบอย่างละเอียด
…………………………………