หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1320 ปลุกผู้พิทักษ์
เมล็ดพันธุ์เต๋าไม่ใช่ของแปลกหน้าสำหรับหวังเป่าเล่อ
ตอนที่เขาอยู่ที่โลกแห่งศิลาคราวนั้น ในกระบวนการฝึกฝนเต๋าแปดปรมัตถ์ เขาต้องเสาะหาสิ่งของหลายอย่างที่สามารถบรรจุเมล็ดเต๋าได้ กล่าวให้ถูกก็คือ สมบัติชั้นเลิศที่มีกฎเกณฑ์ต่างกันพวกนี้นับว่าเป็นแค่ของกึ่งสำเร็จรูปเท่านั้น จำเป็นต้องมีวิชาเต๋าของเขาร่วมบรรจุลงไปด้วย จึงจะถูกเรียกว่าเป็นเมล็ดพันธุ์เต๋าได้
แต่ตอนนี้ เสียงอันแหลมคมของหญิงชุดเขียวกลับคาดไม่ถึงว่าจะทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเช่นนี้ ถึงขั้นกล่าวได้ว่า เสียงในตอนนี้ไม่ใช่เมล็ดพันธุ์เต๋ากึ่งสำเร็จรูปอีกแล้ว แต่เป็นเมล็ดพันธุ์เต๋าที่แท้จริง
“ผู้หญิงคนนี้เป็นวัตถุดิบที่เหมาะจะบรรจุเต๋าปรารถนาเสียงที่สุด เมื่อกฎแห่งปรารถนาเสียงที่นางมีอยู่ผสานรวมกับตัวนางโดยสมบูรณ์แล้ว ก็จะทำให้นางกลายเป็นเมล็ดพันธุ์เต๋า!”
“นี่ไม่น่าจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ วิธีการเช่นนี้…น่าจะถูกคนเพาะปลูกเอาไว้!”
ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายประกายแปลกประหลาด ด้วยพลังฝึกตนและความรู้ของเขา มองปราดเดียวก็เห็นถึงข้อบกพร่องแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างของหญิงชุดเขียวผู้นี้จะต้องถูกคนสร้างไว้ หรือกล่าวให้ถูกคือ นาง…เป็นแค่เตาหลอม
เตาหลอมไว้เพาะเลี้ยงเมล็ดพันธุ์เต๋า
และผู้ฝึกตนที่มีความสามารถจะทำให้นางกลายเป็นเตาหลอมนั้น เห็นได้ชัดว่าก็เป็นผู้ฝึกตนในสายปรารถนาเสียงเช่นกัน เจ้าปรารถนาเสียงผู้นั้นย่อมมีความเป็นไปได้มากที่สุด
แน่นอนว่าผู้ฝึกตนปรารถนาเสียงคนอื่นก็เป็นไปได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร อีกฝ่ายจะต้องเป็นคนระดับยอดในเมืองปรารถนาเสียงแน่นอน
“น่าสนใจนี่”
หวังเป่าเล่อหรี่ตา ในใจเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว การใช้คำว่าสมบัติชั้นเลิศมาบรรยายเมล็ดเต๋าก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง ถึงขั้นที่ว่าในแง่หนึ่งนั้น หากมีคนได้มันไปแล้วหลอมรวมเข้าสู่ร่าง ก็สามารถบรรลุถึงระดับอันน่าเหลือเชื่อด้านการตระหนักรู้กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้เลย
ส่วนหวังเป่าเล่อนั้น หากเขาได้มันมาแล้วให้เวลาพักหนึ่ง เขาถึงขั้นสามารถสั่นคลอนตำแหน่งของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงผู้นั้นแล้วกลายเป็นแหล่งกำเนิดของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเองได้เลย
เมล็ดพันธุ์เต๋าก็เหมือนกับกุญแจดอกหนึ่ง
กุญแจสู่แหล่งกำเนิด
“แต่ก็ยังมีความเสี่ยง…” สายตาของหวังเป่าเล่อฉายแววลังเล ถ้าเขาลงมือโจมตี อาศัยแค่กฎเกณฑ์เต๋าสุขที่ตระหนักรู้ได้ไม่กี่เดือน ไม่มีทางจัดการกับหญิงชุดเขียวผู้นี้แล้วหลอมเมล็ดพันธุ์เต๋าได้แน่
เขาจำเป็นต้องใช้พลังของตัวเองจึงจะทำเรื่องนี้ได้ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงสองอย่าง
ความเสี่ยงแรกนั้นมาจากคนของเมืองปรารถนาเสียงที่ทำให้หญิงชุดเขียวคนนี้กลายเป็นเตาหลอมและปลูกฝังเมล็ดพันธุ์เต๋าไว้ แม้หวังเป่าเล่อจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ก็มีขอบเขตแคบมาก เพราะต้องเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงแน่นอน
เมื่อตนเก็บผลของอีกฝ่ายไป เหตุต้นผลกรรมกับศัตรูอันตรายถึงตายก็จะเกิดขึ้นทันที อีกฝ่ายจะต้องโมโหและทำทุกอย่างเพื่อตามหาตัวเขาแน่
ความเสี่ยงเช่นนี้ แม้ว่าจะยุ่งยาก แต่หวังเป่าเล่อกลับไม่ได้สนใจนัก สิ่งที่ทำให้เขาลังเลจริงๆ คือความเสี่ยงอย่างที่สอง ซึ่งมาจาก…สัมผัสรับรู้ของวิญญาณจักรพรรดิและสัญญาณการตื่นขึ้นของมหาเทพ
แต่เมล็ดพันธุ์เต๋าปรากฏอยู่ตรงหน้า ทั้งเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเส้นทางเต๋าสายที่สองในการผสานรวมกับโลกใบนี้ของตน ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดดูแล้ว สายตาของเขาก็ฉายแววตัดสินใจออกมาอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดนี้ดูคล้ายจะยาวนาน แต่ความจริงล้วนเป็นความคิดจิตใจของหวังเป่าเล่อทั้งนั้น ทั้งกระบวนการเกิดขึ้นแค่ไม่กี่อึดใจ หลังจากตัดสินใจได้ เมื่อเสียงแหลมคมดังก้องอยู่รอบตัวเขา แววตาของเขาก็ส่องวาบ มองไปยังหญิงชุดเขียว
ยิ่งกว่านั้นยังมีเต๋าแปดปรมัตถ์พลันเคลื่อนโคจรอยู่ภายในร่างของเขา ทำให้ตอนนี้เสียงแหลมคมที่ดังมาจากหญิงสาวใบหน้าบิดเบี้ยวในสายตาของเขากลายเป็นท่วงทำนองแบบรูปธรรม
ท่วงทำนองนี้ทั้งมีรูปร่างคล้ายอักขระ และเหมือนกับแผ่นหลังของหญิงสาว เพียงปราดมองก็ทำให้จิตใจของผู้คนจมดิ่งอยู่ในนั้น ไม่อาจหลุดพ้น ตอนนี้กำลังส่งเสียงหวีดหวิวพุ่งมาหาเขาพร้อมกับอานุภาพทำลายล้างทุกสิ่ง อาบย้อมทุกทิศทาง
เมื่อเข้ามาใกล้ในชั่วพริบตา ท่วงทำนองนี้ก็คล้ายจะแทรกซึมเข้าไปในตัวหวังเป่าเล่อ มันทะยานมายังหว่างคิ้วของเขา ถึงขั้นที่เมื่อท่วงทำนองนี้เข้ามาใกล้ ในสายตาของหวังเป่าเล่อก็คล้ายเห็นมันแผ่เส้นสายจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา กำลังจะเจาะเข้าไปในร่างของหวังเป่าเล่อแล้ว
และเสียงที่มันแผ่ออกมาจนดังเข้าสู่จิตใจของหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้มีแค่ความเคียดแค้นหรือความทรมานจากความเกลียดชังเท่านั้น แต่ยังแฝงไว้ซึ่งความดีงาม เสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ และเสียงของสัตว์ร้าย
ยังมีเสียงของสิ่งแปลกปลอมไร้สัญญาณชีวิตอีกด้วย เสียงนี้คล้ายรวบรวมเสียงของทุกสิ่งทุกอย่างในฟ้าดินมาผสานไว้ด้วยกัน ราวกับเสียงแห่งธรรมชาติ แต่ก็น่าพิศวง มันทะยานเข้ามาใกล้หวังเป่าเล่อ
หากเป็นคนอื่น ตอนนี้คงจะสูญเสียตัวตนแล้วสิ้นสติอยู่ในกฎเกณฑ์ของปรารถนาเสียงแบบนี้ไปแล้ว แต่พลังฝึกตนของหวังเป่าเล่อกำหนดไว้แล้วว่าเป็นเพียงเมล็ดพันธุ์เต๋า มันจึงไม่อาจสั่นคลอนวิญญาณเทพของเขาได้
ดังนั้น ในชั่วพริบตาที่ท่วงทำนองใกล้ถึงหว่างคิ้วนั่นเอง มือขวาของหวังเป่าเล่อก็พลันยกขึ้นแล้วระเบิดกฎเกณฑ์แห่งเต๋าธาตุดินออกมาฉับพลัน ด้วยพลังแฝงรวมและผสานของธาตุดิน เพียงหนึ่งฝ่ามือก็จับท่วงทำนองนั้นอยู่มือได้แล้ว
ตอนนี้หากมีคนนอกอยู่ที่นี่ ก็จะเห็นหวังเป่าเล่อยกมือขึ้นคว้าอากาศ แต่พริบตาต่อมา ท่วงทำนองที่คนนอกไม่อาจสัมผัสรู้ได้กลับมาปรากฏอยู่ระหว่างนิ้วมือของหวังเป่าเล่อพร้อมกับดิ้นรนบิดเบี้ยวอยู่
มันอยากจะหลบหนี แต่สองนิ้วของหวังเป่าเล่อกลับแข็งแรงอย่างน่าอัศจรรย์ การโคจรวิชาแห่งเต๋าดินก็ยิ่งผนึกมันไว้แน่นหนากว่าเดิม
ขณะเดียวกัน หญิงชุดเขียวที่ร้องเสียงหวีดแหลมก็พลันหยุดชะงัก ตอนนี้เอง ร่างกายก็คล้ายถูกลมพัดผ่านแล้วสลายหายไปตรงๆ
เมื่อนางสลายหายไป เทือกเขารอบด้านก็กลับเป็นปกติในชั่วพริบตา หวังเป่าเล่อเก็บท่วงทำนองนี้ไว้อย่างไม่ลังเลแม้แต่นิด แล้วสลายพลังแห่งเต๋าดินของตนทันที ก่อนจะส่งพลังแห่งเต๋าสายสุขให้แพร่กระจายไปทั่วร่าง
แต่ก็ยัง…สายไป
ชั่วอึดใจที่เขาใช้พลังของตนออกมา ดวงจิตเทพมากมายก็พุ่งจากจุดที่เหนือกว่าเก้าสวรรค์แล้วตรึงเขาไว้ พริบตาต่อมา ขณะที่พลังสุขของหวังเป่าเล่อแผ่กระจาย รอบกายเขากลับมีเงาร่างของวิญญาณจักรพรรดิหลายร่างปรากฏขึ้นแล้ว
ขณะนี้ท้องฟ้าคำรามลั่น คลื่นผันผวนเทียมฟ้าแผ่ทั่วทุกทิศ ยิ่งกว่านั้นยังมีสายฟ้าสีดำเหมือนฟ้าพิโรธฟาดมายังโลก
“เร็วขนาดนี้เลยหรือ!” สีหน้าของหวังเป่าเล่อนิ่งขรึม รู้ว่าการต่อกรกับวิญญาณจักรพรรดิเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ ร่างกายจึงถอยหลังรวดเร็วโดยไม่ลังเล แล้วพุ่งออกมาทันที ส่วนวิญญาณจักรพรรดิเหล่านั้นที่ด้านหลัง ตอนนี้ต่างพากันเงยหน้าขึ้น สองตาด้านหลังหน้ากากสีขาวเย็นชา กลายเป็นสายรุ้งยาวหลายสายพุ่งตามหลังเขาไป ไล่โจมตีอย่างฉับพลันโดยไม่สนว่าจะทำให้โลกตกตะลึงอย่างไร
เมื่อผ่านไปที่ใด อากาศก็จะส่งเสียงครืนครางออกมาแล้วเกิดรอยแยกขึ้น ก่อนจะพังทลายท่ามกลางเสียงสะเทือนลั่นของแผ่นดิน ทำให้สัตว์ป่ามากมายนับไม่ถ้วนตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ถึงขั้นที่ดึงดูดสัมผัสรับรู้ของผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในโลกใบนี้ได้แล้วด้วย
แต่นี่ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่อันตรายที่สุด
สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกหนังศีรษะชาขึ้นมาในชั่วพริบตาก็คือสายตาที่ราวกับทะลวงท้องฟ้า และมองมาจากโลกอีกใบนั่นต่างหาก
เจ้าของสายตานี้ก็คือชายชุดคลุมดำที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่โลกชั้นแรกบนหัวของรูปสลักนกแก้วผู้นั้น ตอนนี้เขาที่นั่งสมาธิอยู่ตรงนี้พลันลืมตาขึ้น เผยให้เห็นนัยน์ตาสีโลหิต
แต่หากมองดูดีๆ แล้วจะเห็นว่าถึงแม้นัยน์ตาคู่นี้จะเป็นสีแดงชาด ทั้งยังแฝงความบัาคลั่งเอาไว้ แต่กลับคล้ายจะไร้แวว เหมือนกับท่าทางของพวกไม้ตายซากอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้กลิ่นอายน่าสะพรึงบนตัวเขากลับระเบิดออกมาฉับพลัน
ครั้นระเบิดออกมาแล้ว ทั่วทั้งโลกชั้นที่หนึ่งก็เกิดลมพายุโหมกระหน่ำ เมื่อลมพายุนี้มาบรรจบกับ กลับก่อเกิดเป็นมือยักษ์ที่เกิดขึ้นจากลมพายุ มันยื่นไปยังโลกชั้นที่สองด้านล่างด้วยอานุภาพสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน เขย่าขวัญสรรพชีวิต!
…………………………………………..