หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1361 เป่าเล่อ เล่อเป่า
“ร่างต้นแบบ เจ้าทำเกินไปแล้ว!” ดวงจิตหวังเป่าเล่อร่างแยกในตอนนี้เริ่มโมโหและเกิดอาการขัดขืน ทว่าการอยู่ต่อหน้าร่างต้นแบบกลับทำให้เขาไร้กำลังต่อสู้ไปโดยปริยาย
“ตอบข้าสิ เจ้าอยากเป็นอิสระหรือไม่” ร่างต้นแบบของหวังเป่าเล่อไม่ได้ขยับ เขาจ้องมองดวงจิตร่างแยกในมือก่อนจะเอ่ยช้าๆ
“อิสระบ้าบออะไรกัน อิสระคือสิ่งที่ตนสร้าง ไม่ใช่ผู้อื่นมอบให้!” ร่างแยกส่งเสียงคำรามต่ำ
“รู้อย่างนี้แสดงว่าเจ้าก็ยังไม่ถือว่าหมดหนทางเยียวยา เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็ต้องคิดให้ถี่ถ้วนอีกครั้งใช่ไหม” หวังเป่าเล่อในร่างต้นแบบหรี่ตา แล้วเอ่ยเสียงเบา
ทันทีที่เสียงนี้ดังขึ้น ดวงจิตของร่างแยกพลันสั่นสะท้าน เลิกต่อต้านและเงียบเสียงทันที เขาเข้าใจความหมายของร่างต้นแบบ หลังจากหวนคิดถึงสิ่งที่ประสบมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงเอ่ยขึ้นบ้าง
“เจ้าจะบอกว่าพวกเขากำลังเล่นละครอยู่หรือ”
“จะเล่นละครอยู่หรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ข้าว่า…การมาของเจ้าปรารถนาเสียงผู้นั้นดูจะง่ายเกินไปหน่อย อีกอย่างนางก็ดูเหมือนจะเรียกผู้พิทักษ์ไม่สำเร็จ แต่ว่า…ร่างหลักอีกสองร่างของนางไม่ได้ถูกตัดขาด แม้จะไม่เคยมาที่เมืองปรารถนารส แต่การเรียกผู้พิทักษ์มาก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”
เมื่อได้ฟังคำพูดของร่างต้นแบบ ดวงจิตร่างแยกก็จมสู่ห้วงความคิด
“ดังนั้นเป็นไปได้ไหมว่า…นี่คือกลอุบายของเจ้าปรารถนาเสียงและเจ้าปรารถนารส เจ้าคือผู้ชม ผู้พิทักษ์นั้นก็คือผู้ชม” น้ำเสียงของร่างต้นแบบเรียบนิ่ง แต่คำพูดของเขาทำให้ดวงจิตร่างแยกปั่นป่วนเล็กน้อย
“หากเป็นกลอุบายจริง เช่นนั้น…จุดประสงค์ของพวกเขาคือต้องการให้ข้าเป็นฝ่ายไปเมืองปรารถนาเสียง…” ดวงจิตร่างแยกครุ่นคิด เขานึกย้อนไปอย่างละเอียดตามการชี้นำของร่างต้นแบบ และต้องยอมรับว่าความเป็นไปได้ข้อนี้ยังคงมีอยู่
“แท้จริงจะเป็นอย่างไรเจ้าไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง” หวังเป่าเล่อร่างต้นแบบเผยยิ้ม
“จุดประสงค์ที่เจ้ามาที่นี่ก็คือแบบนี้ไม่ใช่หรือ ต้องการให้ข้ามอบเมล็ดพันธุ์เต๋าปรารถนาเสียงให้เจ้า ขณะเดียวกันก็ช่วยเจ้าสะกดกฎเกณฑ์ปรารถนารสไว้เพื่อไม่ให้มันกลืนกินปรารถนาเสียงในช่วงแรกเริ่ม แบบนี้ปรารถนาเสียงก็จะเพิ่มขึ้นและอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล”
“เรื่องนี้ข้าทำให้เจ้าได้” ขณะที่พูด หวังเป่าเล่อร่างต้นแบบก็ยกมือขวาขึ้น ปลายนิ้วส่องสว่าง ตอนนั้นเองราวกับมีเสียงอันน่าอัศจรรย์ดังออกมาจากปลายนิ้วของเขา ก่อนจะค่อยๆ กลายเป็นอักขระดนตรีตัวหนึ่ง
ขณะที่อักขระส่องสว่างก็มีเสียงกรุ๊งกริ๊งราวกับเสียงหยดน้ำตกลงบนกระดิ่งซึ่งทำให้จิตใจผู้คนสั่นไหว หลังจากมันปรากฏขึ้นก็ดึงดูดดวงจิตร่างแยกของหวังเป่าเล่อในพริบตา ร่างต้นแบบสะบัดนิ้ว ทันใดนั้นอักขระตัวนั้นก็พุ่งเข้าไปในดวงจิตร่างแยกและหลอมรวมกันทันที ภายในนั้นยังมีพลังสะกดอันแรงกล้าบรรจุอยู่ด้วย
พลังนี้ทำให้หลังจากกลับเข้าร่างแล้ว ดวงจิตร่างแยกของหวังเป่าเล่อสามารถควบคุมสัญชาตญาณของกฎเกณฑ์ปรารถนารสได้ชั่วคราว และพลังสะกดนี้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับร่างต้นแบบ
เพราะหากร่างต้นแบบควบคุมได้อาจเกิดความเสี่ยง
“เช่นนั้น แผนเดิมหรือ” ดวงจิตร่างแยกของหวังเป่าเล่อส่งดวงจิตเทพออกไปเอ่ยถาม
“ทุกอย่างเหมือนเดิม” หวังเป่าเล่อร่างต้นแบบพยักหน้าและมองดวงจิตร่างแยกของตน ก่อนจะถอยหลังรวบรวมหมอกที่กระจายตัวอยู่รอบๆ และหายเข้าไปในถ้ำ
“แม้ความรอบคอบจะเพียงพอแล้ว แต่ในแง่ของการคิดยังไม่ดีเท่าข้า หากอยากเป็นอาวุธที่ยิ่งใหญ่ยังต้องฝึกฝนอีก” เมื่อเห็นดวงจิตร่างแยกสลายไป หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนี้ก็ยิ้มและกำลังจะปิดเปลือกตาลง ทว่าในตอนนั้นเองเขาก็เบิกตาโพลงและมองไปยังจุดที่ดวงจิตร่างแยกจากไป
“ไม่สิ… กลอุบายของเจ้าปรารถนาทั้งสองดูเหมือนจะเฉียบแหลมมาก แต่จากความเข้าใจของข้าเอง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเชื่ออย่างสุดใจในแวบแรก…ถ้าอย่างนั้นทำไมร่างแยกอิสระถึงได้เชื่อขนาดนั้นกันล่ะ” หวังเป่าเล่อร่างต้นแบบหรี่ตา จากนั้นไม่นานก็คลี่ยิ้มอีกครั้ง
“น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ ร่างแยกนี้เล่นละครใส่ข้าแล้ว…”
ในเวลาเดียวกันฝันร้ายแห่งปรารถนาของร่างแยกก็เหาะออกมาจากทะเลทราย ทันทีที่ออกมาจากพื้นทราย ความเร็วของมันก็ระเบิดออก ใช้การเผาไหม้ตัวเองแลกกับความเร็วสูงสุดราวกับต้องการหลบหนี เพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น ฝันร้ายแห่งปรารถนาที่สลายไปกว่าแปดส่วนก็เหาะออกมาพ้นทะเลทรายแล้วพุ่งไปยังกายเนื้อที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ด้านนอก
ก่อนจะแตะหว่างคิ้วและจมดิ่งเข้าไปทันที
ทว่า ไม่ช้าร่างแยกของหวังเป่าก็ตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาเปิดขึ้นทันที ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด
“ร่างต้นแบบอันตรายเกินไป แต่ครั้งนี้ข้าก็บรรลุเป้าหมายแล้ว” นัยน์ตาหวังเป่าเล่อทอประกายระยิบระยับ แท้จริงแล้วเรื่องที่ร่างต้นแบบพูดนั้น เขาจะไม่สังเกตเห็นได้อย่างไร
เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถไตร่ตรองได้ เพราะในความเห็นของเขา ร่างต้นแบบดูเหมือนจะตามใจเขา แต่ตามความเข้าใจของเขาเองเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้
ร่างแยกที่มีดวงจิตอิสระในเมื่อมีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสีย
ดังนั้นเมื่อพบกับร่างต้นแบบ เขาจึงเก็บซ่อนความคิดแท้จริงเอาไว้ แล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราว แสดงละครตบตาแก่ร่างต้นแบบ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่เขาจะไม่สัมผัสกับเส้นจำกัดของร่างต้นแบบ
“แต่ด้วยสติปัญญาของร่างต้นแบบแล้ว วิธีนี้ก็ใช้ได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น” หวังเป่าเล่อร่างแยกยืนขึ้นเงียบๆ มองไปทางทะเลทราย จากนั้นไม่นานร่างก็กะพริบหายไปจากตรงนั้นทันที
“ทางที่ดีข้าจะไม่มาที่นี่อีก ส่วนแผนการของร่างต้นแบบข้าก็จะทำให้สำเร็จ”
“ตามความเข้าใจของข้า ปล่อยร่างแยกอิสระออกมาข้างนอกและทำให้มันมีอิสระโดยสมบูรณ์ ความใจกว้างนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
ขณะคิดครุ่นคิด ร่างหวังเป่าเล่อก็ออกห่างจากทะเลทรายมามากแล้ว กระทั่งมาถึงจุดที่ตนคิดว่าปลอดภัยแล้วจึงหาที่นั่งทำสมาธิและกระตุ้นพลังสะกดที่อยู่ในดวงจิตออกมา ส่งผลให้มันครอบคลุมกฎเกณฑ์ปรารถนารสในทันที
ทันใดนั้นกฎเกณฑ์ปรารถนารสในร่างก็เริ่มทำงานราวกับผ้านวมคลุมบนหลังม้า มันค่อยๆ ผ่อนแรงลง กระบวนการนี้กินเวลาหลายวัน จนกระทั่งหลังจากหวังเป่าเล่อสะกดกฎปรารถนารสได้อย่างสมบูรณ์แล้วจึงลืมตาขึ้น แม้จะมีแววอ่อนล้าในดวงตาแต่ก็ยังสว่างชัด
“ต่อไปก็ผนึกกายเข้ากับเมล็ดพันธุ์อักขระโน้ตดนตรี” หวังเป่าเล่อสัมผัสอักขระโน้ตดนตรีที่อยู่ในดวงจิตอย่างระมัดระวังและค่อยๆ ถ่ายเทดวงจิตเทพเข้าไป ในพริบตาที่ดวงจิตเทพทั้งหมดผนึกกายเข้ากับอักขระ ในหัวหวังเป่าเล่อก็ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง
เสียงนี้ไพเราะมากจนทำให้คนฟังหมกมุ่น ขณะที่มันสะท้อนก้อง สีหน้าหวังเป่าเล่อก็อ่อนลง แม้แต่บริเวณรอบๆ ก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย เสียงกรุ๊งกริ๊งคล้ายจะดังออกมาจากในหัวของเขา แล้วแผ่ขยายออกไปกลายเป็นค่ายกลไม่เสื่อมสลาย
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ในชั่วพริบตา…ก็ผ่านพ้นไปเจ็ดวัน
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ยามที่ดวงตะวันสาดส่อง แสงอาทิตย์ขจัดความมืดออกไปแล้วทอแสงอรุณส่องไปยังร่างของหวังเป่าเล่อ เขาลืมตาขึ้นมา