หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1363 ค่ำคืนอันมืดมิด
“กฎที่มีบางอย่างแตกต่างกัน…” หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นปัดผ่านความว่างเปล่าตรงหน้าและสัมผัสถึงสิ่งต่างๆ ในอากาศอันแปลกประหลาดที่การรับรู้ของเขาไม่อาจเข้าถึงได้
ร่างกายของเขาไม่ขยับ เขายังคงยืนอยู่กลางอากาศ แต่มือขวาที่เหยียดออกไปนั้นนิ้วมือกำลังขยับช้าๆ หากมองจากที่ไกลๆ มือที่ปราดเปรียวของเขาเหมือนกับผีเสื้อโบยบินอยู่ในความว่างเปล่า
เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไปอย่างเชื่องช้า สีหน้าหวังเป่าเล่อกลับมาเป็นปกติ นิ้วมือยังคงขยับไหวจนกระทั่งอึดใจถัดมา ดวงตาเขาก็วาววับ เพราะมีเสียงกระพือปีกดังมาจากใบหูของเขา
เสียงนั้นอยู่ตรงหน้า แต่ในสายตาของเขาก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ ไม่มีอะไรปรากฏขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่พลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงกำลังบอกเขาว่ามีสิ่งมีชีวิตบินได้ตัวหนึ่งกำลังเข้ามาใกล้ และจากเสียงกระพือปีกนั่น หวังเป่าเล่อก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตัวใหญ่มาก
หรือกล่าวให้ชัดเจนก็คืออีกฝ่ายมีขนาดเล็กมาก อีกทั้งพื้นที่ปีกยังใหญ่กว่าลำตัว คล้ายกับว่าเวลาบินจะเกิดฝุ่นตลบเล็กน้อย ทำให้ในหัวหวังเป่าเล่อค่อยๆ จินตนาการรูปร่างของผีเสื้อขึ้น
เห็นได้ชัดว่าผีเสื้อตัวนี้ถูกมือขวาของเขาดึงดูดให้บินเข้ามาใกล้ๆ จนกระทั่งพริบตาต่อมามันก็ค่อยๆ ร่อนลงบนนิ้วของเขา สัมผัสแผ่วเบาเกิดขึ้นบนปลายนิ้ว ก่อนที่ดวงตาหวังเป่าเล่อจะเผยแสงประหลาด แล้วค่อยๆ ดึงมือกลับมาตรงหน้า
การมองเห็นยังคงเป็นเช่นเดิม แต่สัมผัสนั้นก็ชัดเจน และการได้ยินก็รุนแรงขึ้นด้วย
“ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะมองเห็น…” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด แต่ก็ไม่ได้คำตอบ สิ่งเดียวที่เขาคิดได้คือบางทีอาจต้องศึกษากฎเกณฑ์ปรารถนารูปร่างของโลกใบนี้
“เป็นไปได้ไหมว่าหลังจากฝึกฝนกฎปรารถนาทั้งหกแล้วจะสัมผัสได้ถึง…ความจริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้โลกใบนี้อย่างแท้จริง” ขณะครุ่นคิด จู่ๆ หูของหวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงบางอย่าง เสียงนั้นทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างกำลังแยกเขี้ยวและกำลังจะโจมตีเขา
หวังเป่าเล่อดวงตาวาววับ พริบตาที่ได้ยินเสียงนั้น สองนิ้วมือข้างขวาก็บีบไปในอากาศ ประสาทสัมผัสกำลังบอกเขาว่าสองนิ้วของเขาจับอีกฝ่ายได้สำเร็จ ประสาทการได้ยินยิ่งทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่เขาจับได้ก็คือผีเสื้อที่เพิ่งบินมาเกาะนิ้วตัวนั้น
ผีเสื้อตัวนี้มีเขี้ยว แต่ดูเหมือนฟันของมันเพิ่งจะยื่นออกมาก็เลยถูกสองนิ้วของหวังเป่าเล่อบีบบี้แบนจนสูญเสียร่องรอยของชีวิตไปแล้ว
“สามารถฆ่าให้ตายได้เช่นกัน” หวังเป่าเล่อสะบัดมือโยนผีเสื้อที่มองไม่เห็นทิ้งไป ก่อนจะพินิจที่นิ้วของตนอย่างถี่ถ้วน จึงพบว่ามีรอยเปื้อนสีดำเล็กกำลังแพร่กระจายอยู่บนนั้น
ราวกับพิษกำลังแพร่กระจายแล้วยังมีอาการชาด้วย โชคดีที่พิษไม่รุนแรง อีกอย่างหวังเป่าเล่อก็ร่างกายแข็งแกร่งพอและยังมีอิทธิพลของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงด้วย จึงส่งผลให้รอยเปื้อนนั้นค่อยๆ จางลงจนหายไปในที่สุด
“น่าสนใจ” หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองไปยังทิศทางของเมืองปรารถนาเสียงในการรับรู้ ในใจกำลังคิดว่าการเดินทางอีกหนึ่งเดือนต่อจากนี้คงจะน่าสนใจยิ่งขึ้น
คิดถึงตรงนี้ร่างของหวังเป่าเล่อก็กะพริบวาบพุ่งไปยังที่ไกลแสนไกลท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรีที่มีพระจันทร์สว่างไสว
ค่ำคืนอันมืดมิดอยู่เบื้องหลังเขาราวกับกลายเป็นเสื้อคลุม
พระจันทร์สาดแสงลงบนเสื้อคลุมราวกับกลายเป็นเครื่องประดับ
ส่วนเขาก็สวมเสื้อคลุมประดับพระจันทร์สว่างไสวนี้ เหยียบย่างไปข้างหน้าในท้องฟ้ายามราตรี
นี่เป็นราตรีแรกที่เขาเจอหลังจากการก่อตัวของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง วาระในคืนนี้…มีบางอย่างต่างออกไปและไม่ธรรมดา และหวังเป่าเล่อผู้กำลังเหาะเหินอยู่บนท้องฟ้าก็สัมผัสได้ถึงสิ่งนี้อย่างรวดเร็ว
แม้ว่าดวงตาและดวงจิตเทพจะมองไม่เห็นความจริง แต่กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงกลับทำให้เขารับรู้บางอย่างตลอดเวลา
เขารับรู้ได้ถึงเสียงของปีกซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ควบวิ่งอยู่บนท้องฟ้าแห่งนี้ แต่เขาก็รับรู้ได้ถึงเสียงของคลื่นทะเลยามอยู่บนท้องฟ้าเช่นกัน
ดูเหมือนว่าในโลกที่รับรู้ได้ด้วยกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเท่านั้นจะมีท้องทะเลอยู่บนท้องฟ้าด้วย หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงคลื่นลม และยังได้ยินเสียงคล้ายปลากระโดดพุ่งออกมาจากท้องทะเล แล้วพลิกม้วนตกลงสู่ทะเลอีกครั้ง
ทว่า ทุกอย่างนี้ไม่อาจเทียบเท่าเสียงหายใจที่ดังขึ้นในการรับรู้จากกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงต่อจากนี้ได้เลย…เสียงหายใจนี้มาจากด้านข้างท้องทะเล ทั้งมหาศาลและกว้างใหญ่ราวกับพายุ
แม้แต่ในตอนแรก หวังเป่าเล่อยังคิดว่านั่นคือเสียงพายุ แต่ในไม่ช้าเขาก็ตรวจพบความแตกต่าง เสียงพายุมักจะไม่ขึ้นๆ ลงๆ และมีความต่อเนื่องในระดับหนึ่ง
เป็นระลอกๆ มีเข้ามีออก บางทีอาจมีข้อสันนิษฐานอื่นอีกมากมาย แต่การรับรู้จากกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของหวังเป่าเล่อที่เชื่อมโยงกับสัญชาตญาณของเขานั้น เขาเดาได้ว่านี่คือเสียงลมหายใจ
มันเป็นสัตว์ร้ายที่มีรูปร่างใหญ่โตอย่างหาที่เปรียบไม่ได้กำลังพ่นลมหายใจออกมา และท้องทะเลแห่งนี้ก็ดูเหมือนว่า…แท้จริงแล้วจะเป็นน้ำลายในปากของเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้
ความคิดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตระหนกเล็กน้อย โดยเฉพาะหลังจากที่จินตนาการถึงขนาดของสัตว์ร้ายตัวนี้เข้า เขาก็แทบไม่ลังเลเลยที่จะดิ่งร่างลงกับพื้นดินอย่างรวดเร็วเพื่อหลบท้องทะเลและลมหายใจนั้นให้ไกล
ไม่ควบเหาะบนฟ้าอีกต่อไป แต่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วบนผืนดินแทน
ทว่า น่าเสียดายที่ค่ำคืนไม่ธรรมดานี้ได้นำพาประสบการณ์ที่ไม่ได้กำจัดอยู่แค่บนท้องฟ้ามาให้หวังเป่าเล่อ บนผืนดิน…ก็เช่นกัน ยามที่วิ่งไปบนนั้น หวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงลากเหมือนกับมีบางอย่างกำลังลากของหนักวิ่งแข่งกับเขา
นอกจากนี้ยังมีเสียงแทะและเสียงเคี้ยวดังขึ้นห้าครั้ง และแต่ละครั้งดูเหมือนจะอยู่ใกล้กับเขามาก
สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อขนหัวลุกมากที่สุดก็คือเขาได้ยินเสียงลมหายใจของท้องฟ้านั่นอีกรอบ และยังได้ยินเสียงคลานนับไม่ถ้วน ราวกับว่าบางอย่างบนนั้นได้เปลี่ยนทิศทางและกำลังเข้ามาใกล้เขาที่วิ่งอยู่บนพื้น
อีกทั้งสิ่งมีชีวิตที่เขาได้ยินบนพื้นดินเหล่านั้นก็ยังคงอยู่เช่นกัน พวกมันทั้งหมดตามเขามาและแผ่ความอาฆาตที่สามารถรับรู้ได้แม้จะไม่ได้อยู่โลกเดียวกับพวกมันก็ตาม
ราวกับว่าพวกมันกำลังรอคอย
หวังเป่าเล่อก็คือเหยื่อของพวกมัน ในแง่หนึ่งก็เปรียบได้กับคบเพลิงในคืนมืดมิดที่ดึงดูดความสนใจ จนทำให้ทุกชีวิตในค่ำคืนนี้อยากเข้าใกล้
แม้ว่ากฎเกณฑ์ปรารถนารสจะถูกผนึกไว้ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังใช้สัมผัสเชื่อมต่อได้ เขาสัมผัสได้ว่าสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นรอบๆ ตอนนี้ต่างแผ่ความกระหายที่แทบจะอดกลั้นไม่ไหวออกมา
ความกระหายนี้เข้มข้นเหลือคณานับ มันทำให้หวังเป่าเล่อคิดจะคลายผนึกและปลดปล่อยกฎเกณฑ์ปรารถนารสออกไปดูดซับอยู่หลายต่อหลายครั้ง
แต่เขาก็ยังคงยับยั้งไว้ได้เพราะ… ตอนนั้นเองสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งก็โผล่มาข้างกายเขาทันที ราวกับซบอยู่ที่ข้างกาย เป่าลมหายใจที่ข้างหูเขาเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่ว
“พี่ชาย เหตุใดเจ้าถึงไม่มีดนตรีล่ะ”
“ข้าอยากฟังมาก”
“เจ้ารีบแสดงดนตรีของเจ้าออกมา ตกลงไหม”
“หากเจ้าไม่แสดงล่ะก็ ตามพันธสัญญา ข้ากินเจ้าได้เลยนะ…”
…………………………………