หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1393 ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
“นี่…คุณสมบัติการฝึกตนของข้าดีขนาดนี้จริงหรือ” หวังเป่าเล่อผู้หยิ่งยโสมาตลอด ตอนนี้รู้สึกสงสัยกับตัวเองในลักษณะหายาก
เขาอดสงสัยไม่ได้จริงๆ เพราะในช่วงสั้นๆ นี้ จำนวนของทำนองในร่างของเขากลับเพิ่มขึ้นพรวดเดียวถึงเกือบหมื่นกว่าตัว ทำให้ท่วงทำนองที่ซ้อนทับของเขาในปัจจุบันใกล้จะบรรลุถึงสามหมื่นแล้ว
เรื่องแบบนี้ แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยคิดมาก่อน แต่เขาจำเป็นต้องตระหนักรู้อย่างไม่หยุดยั้งถึงจะได้รับมา ทว่าตอนนี้…แค่ยืนอยู่ตรงนั้น ฟังเสียงจอแจในเมือง ทำนองในร่างกายก็คล้ายจะกระโจนออกมาไม่หยุดเหมือนกับเมล็ดถั่วแล้ว
ภาพนี้แม้แต่ตัวเขาก็ยังตกตะลึงมาก
ความรู้สึกแบบนี้เหมือนกับตอนที่เขาอยู่บนโลกและยังไม่ได้สอบเข้าสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ยามที่เรียนอยู่ในบ้านเกิด เขาคิดอย่างมั่นใจว่าตราบใดที่เป็นเรื่องที่เขาอ่านมาแล้ว ก็จะต้องสอบได้ 100 คะแนนแน่นอน
แต่เมื่อการสอบมาถึง เขายังอ่านไม่ทัน แต่ชั่วขณะที่กระดาษข้อสอบวางอยู่ตรงหน้า คำตอบกลับผุดขึ้นมาในหัวของเขาเองเสียอย่างนั้น
เหมือนกับว่า เขาเป็นคนออกข้อสอบเอง…
หวังเป่าเล่อคิดมาถึงตรงนี้ ทันใดนั้นร่างกายก็สั่นสะท้าน ในดวงตาก็มีประกายแสงสาดวาบ ปากเอ่ยพึมพำ
“เหมือนกับว่าข้าเป็นคนออกข้อสอบหรือ” หวังเป่าเล่อนึกถึงงานเลี้ยงล่าสัตว์ ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เหมือนกับแหล่งพลังงานผู้นั้นที่เขาเจอในโลกาชั้นแรกมีความคับแค้นและความบ้าคลั่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าตอนที่อีกฝ่ายเห็นเขา
ขณะเดียวกัน เขาก็นึกถึงใบหน้าภายใต้หน้ากากของวิญญาณจักรพรรดิเหล่านั้น การคาดเดาที่เคยลอยเข้ามาในหัวและถูกเขาสยบเอาไว้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
“เป็นไปไม่ได้!”
แทบจะทันทีที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา มันก็ถูกหวังเป่าเล่อฝืนตัดทิ้งทันที เขายืนอยู่บนถนน นิ่งอยู่นานถึงค่อยเดินกลับโรงเตี๊ยมไปอย่างเงียบงัน
ภายในห้องพักโรงเตี๊ยม เขาเปิดหน้าต่างออก ทำให้เสียงด้านนอกดังเข้ามาไม่หยุด แบบนี้จำนวนของท่วงทำนองภายในร่างของเขาก็จะเพิ่มขึ้นตลอดเวลา
กระทั่งจำนวนรวมมีถึงสี่หมื่นกว่าชิ้น ความถี่ของการเพิ่มพูนถึงลดลงอย่างช้าๆ กระทั่งย่างเข้ายามพลบค่ำ มันจึงหยุดลงโดยสมบูรณ์ และจำนวนรวมของการซ้อนทับทั้งหมด…ก็เพิ่มถึงห้าหมื่น
ท่วงทำนองห้าหมื่นชิ้นซ้อนทับเข้าด้วยกัน อานุภาพที่ก่อเกิดขึ้นมามีมากเท่าไหร่ หวังเป่าเล่อก็ยังไม่รู้แน่ชัด แต่เขาสัมผัสได้ว่า ตัวเขาในตอนนี้…ความแข็งแกร่งของพลังรบโดยรวมได้บรรลุถึงระดับที่น่าตะลึงอย่างยิ่งแล้ว
แม้ว่าจะยังสู้ร่างจริงไม่ได้ แต่…เขาในตอนนี้ ก็มั่นใจว่าด้วยการเพิ่มพูนและการตระหนักรู้ทางกฎเกณฑ์ของตน ไม่ว่าต้องเผชิญกับการโจมตีของเจ้าปรารถนาคนใด เขาก็มีพลังรักษาชีวิตรอดแน่นอน
“ถ้าหากฝึกบำเพ็ญอย่างนี้ต่อไป…แล้วมีวันหนึ่งที่ข้าเชี่ยวชาญกฎเกณฑ์แห่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ทั้งยังฝึกฝนจนถึงระดับสูงเหมือนๆ กัน เวลานั้น ข้าจะ…” หวังเป่าเล่อหลับตาลงในความเงียบงัน รอคอยราตรีกาล
ไม่นาน แสงสายันห์ก็ถูกรัตติกาลปกคลุม ชั่วขณะที่ทั้งเมืองปรารถนาเสียงมืดมิด หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น ร่างกายค่อยๆ เลือนรางแล้วกลายเป็นสัตว์ประหลาด ก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียง
เมื่อเขาก้าวเข้ามา สิ่งก่อสร้างรอบตัวก็กลายเป็นเส้นสาย ขณะที่ก้าวออกมาจากห้องพัก พวกสัตว์ประหลาดที่แหวกว่ายไปมานับไม่ถ้วนในคืนมืดมิดด้านนอกก็สั่นสะท้านกันหมด
สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างแปลกประหลาดเหล่านั้น หลังจากที่ตอนนี้พวกมันแทบจะทั้งหมดในขอบเขตนี้สัมผัสได้ถึงหวังเป่าเล่อ พวกมันกลับก้มหัวให้เขา ราวกับว่ากลิ่นอายของร่างหวังเป่าเล่อทำให้พวกมันทั้งหมดยอมจำนน
ภาพนี้ทำให้แววตาของหวังเป่าเล่อเปล่งประกาย เขาเดินออกไปข้างนอกด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ขณะที่เดินอยู่ในโลกแห่งเสียง สัตว์ประหลาดทั้งหมดระหว่างทางก็มีท่าทีเช่นเดียวกัน เรื่องนี้พิสูจน์ได้ถึงความน่าสะพรึงของท่วงทำนองห้าหมื่นชิ้นที่ซ้อนทับกันในตัวของหวังเป่าเล่อได้เลย
ขณะที่หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ ตอนนี้ด้านหน้าของเขามีสัตว์ประหลาดร่างเต่าตัวหนึ่งอยู่ในความว่างเปล่าที่บิดเบี้ยว ขนาดของมันใหญ่เกือบพันจั้ง กำลังค่อยๆ เดินผ่านมา และร่างของมันก็หยุดชะงักราวกับสังเกตเห็นหวังเป่าเล่อ ก่อนคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าขยับ
เมื่อมองดูเจ้าสัตว์ประหลาดร่างเต่า สิ่งมีชีวิตประเภทนี้เป็นพวกที่หวังเป่าเล่อในอดีตเห็นแล้วจะต้องหลบเลี่ยง แต่ตอนนี้คล้ายกับว่ากลิ่นอายของเขาสามารถทำให้อีกฝ่ายเคารพได้
ท่ามกลางความเงียบงัน หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ในใจ สถานการณ์ก่อนหน้านี้ของเขา อย่างมากที่สุดก็แค่สามารถทำให้สัตว์ประหลาดเหล่านี้สนิทสนมกับตนได้เท่านั้น และควบคุมได้แค่ระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้ เขาเหมือนจะควบคุมการเปิดปิดบางอย่างได้
ขณะที่ความคิดเคลื่อนไหว ร่างของสิ่งมีชีวิตร่างเต่ามหึมาเน่าเปื่อยและเต็มไปด้วยตุ่มหนองตรงหน้าก็พร่าเลือนในชั่วพริบตา คล้ายถูกลบหายไปอย่างไร้สุ้มเสียง…
และทั้งกระบวนการนี้ เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นก็ยังคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน
ความคิดของหวังเป่าเล่อหมุนแล่นอีกครั้ง ทันใดนั้นสัตว์ประหลาดที่กำลังจะถูกลบหายไปก็เริ่มย้อนคืนกลับมาเหมือนเดิมแล้ว
หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ก้าวเดินไปพลางสะบัดมือ ทันใดนั้นสิ่งมีชีวิตร่างเต่าก็คล้ายได้รับคำสั่ง มันวิ่งทะยานหนีไปทันที
“ดูเหมือนว่าข้า…จะสามารถควบคุมที่นี่ได้” หวังเป่าเล่อลองดูอีกหลายครั้ง สุดท้ายหลังจากวิเคราะห์ดูแล้ว เขาก็ออกจากโลกแห่งเสียงมาปรากฏตัวในยามค่ำคืน แล้วเดินไปยังสำนัก
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ผสานเข้าไปในโลกแห่งเสียงและเดินอยู่ในยามค่ำคืน อีกทั้งภายในร่างก็ไม่ได้จุดประกายไฟท่วงทำนองขึ้นแม้แต่นิด แต่สัตว์ประหลาดที่อยู่ในโลกแห่งเสียงกลับไม่ได้พุ่งเข้ามาหาเหมือนเมื่อก่อน ทว่าหลบหนีไปไกลเหมือนตอนอยู่ในโลกแห่งเสียง
“น่าสนใจนี่” หวังเป่าเล่อแย้มยิ้ม เขาพุ่งทะยานไปข้างหน้า ค่อยๆ เข้าใกล้ภูเขาไฟของสำนักเหอเสียน
กล่าวได้ว่าพัฒนาการของหวังเป่าเล่อในมิติเต๋าต้นกำเนิดแห่งนี้ราบรื่นอย่างยิ่ง ร่างจริงของเขาเงียบงันอยู่ในส่วนลึกใต้พื้นพิภพ เก็บซ่อนกลิ่นอายทั้งหมด ส่วนร่างแยกเป็นอิสระอยู่ข้างนอก ฝึกฝนกฎเกณฑ์แห่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาทีละกฎเกณฑ์
จนถึงตอนนี้ มหาเทพยังไม่ฟื้นขึ้นมา ผู้พิทักษ์ก็ไม่ได้ตามหาหวังเป่าเล่อ ยิ่งกว่านั้นเขายังสร้างสัมพันธ์กับเจ้าแห่งอารมณ์มากมาย และบรรลุข้อตกลงกับเจ้าปรารถนารสอีก
กล่าวได้ว่าในแง่หนึ่ง หวังเป่าเล่อถือว่ายืนได้มั่นคงในมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด
ขณะเดียวกัน ในโลกแห่งศิลาภายในร่างจริง การฝึกตนของอดีตคนรักและเพื่อนฝูงต่างก็ยกระดับขึ้นตามๆ กันทั้งนั้น สำหรับพวกเขาแล้ว แม้หวังเป่าเล่อจะจากมา แต่ดวงจิตของเขาได้กลายเป็นเต๋าสวรรค์ของโลกแห่งศิลาไปแล้ว
เมื่อมีเต๋าสวรรค์สนับสนุน การฝึกตนของอาจารย์เขาก็ได้ทะลวงระดับแล้ว คนมากมายอย่างพวกเจ้าเยี่ยเหมิงและโจวเสี่ยวหยาก็เลื่อนระดับกันทั้งนั้น เพียงแต่…เมื่อเทียบกับอันตรายที่หวังเป่าเล่อได้เผชิญในปัจจุบันแล้ว พวกเขายังไม่อาจให้ความช่วยเหลือใดได้
ส่วนบนดินแดนแห่งเซียนก็มีสถานการณ์คล้ายกัน แม้ว่าบิดาของหวังอีอีจะยื่นมือมาได้ แต่กลับไม่มีเหตุผลให้ลงมือ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่จับตาดูเท่านั้น
ผู้ที่ให้ความสนใจเหมือนกันยังมีเทพเคารพสูงสุดคนอื่นๆ อีก
ส่วนทางด้านหวังอีอี นางเป็นหนึ่งในสองคนบนดินแดนแห่งเซียนที่เป็นห่วงกังวลต่อหวังเป่าเล่อมากที่สุด นางแทบจะมองไปยังสะพานสู่สวรรค์ทุกวัน คล้ายกับว่าสายตาของนางสามารถยืมกำลังจากสะพานเพื่อมองให้เห็นหวังเป่าเล่อที่อยู่ในส่วนลึกของทะเลดวงดาวพราวระยับได้ ในใจของนางมีภาพใบหน้าและบทสนทนาตอนที่หวังเป่าเล่อจากไปผุดขึ้นมา
“รับปากข้าว่าเจ้าจะกลับมา”
“ข้ารับปาก”
ยังมีอีกคน นั่นก็คือเฉินชิงจื่อ
ความทรงจำในอดีตชาติของเฉินชิงจื่อค่อยๆ ตื่นขึ้นมาแล้ว เขาที่กราบซือถูเป็นอาจารย์มักจะมองไปยังสะพานสู่สวรรค์ที่ปลายขอบฟ้าอยู่หลายครั้ง เขารู้ว่าหวังเป่าเล่อไปเสาะหาสถานที่ต้นกำเนิดของทุกสิ่งผ่านทางสะพานแห่งนี้ เขาอยากช่วยเหลือ แต่กลับไม่อาจทำได้
ดังนั้นจึงทำได้เพียงเอ่ยพึมพำ
“ศิษย์น้อง…”
“พวกเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไรนะ…”
…………