หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 739 ทุกคนหยุด!
บทที่ 739 ทุกคนหยุด!
ชั้นบรรยากาศของดาวเอกดวงเนตรสวรรค์คล้ายคลึงโลกในบางแง่ แต่ก็แตกต่างในหลายๆ ด้าน สภาพแวดล้อมหรือห้วงเหวแห่งความว่างเปล่าที่ขนาบรอบระบบดวงดาวเอาไว้อาจมีส่วนให้เป็นเช่นนี้ ชั้นบรรยากาศของดาวเอกหนาแน่นกว่าโลกมาก หากไม่ได้อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ ขอบเขตของประสาทสัมผัสก็จะถูกจำกัดลงอย่างมาก
เป็นเหตุให้บรรดาเรือบินรบที่เทียวไปเทียวมาอยู่บนดวงดาวนี้มีจุดบอดร่วมกันอย่างหนึ่ง คือพวกเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกเรือบินรบได้ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แม้จะดำรงอยู่ได้ด้วยการปล้นชิง พร้อมด้วยวัฒนธรรมการปล้นและเข่นฆ่าพวกเดียวกันเอง แต่การกระทำเช่นนั้นมักจะเป็นความลับอยู่เสมอ และส่วนมากก็เกิดขึ้นกับผู้ฝึกตนตัวต่อตัวเท่านั้น การปล้นเรือบินรบนั้นเกิดขึ้นอยู่บ้าง แต่มักตามมาด้วยการตอบโต้ที่รุนแรงและหมายจับมากมาย ส่งผลให้พบเจอได้ไม่บ่อยนัก
หวังเป่าเล่อขณะนี้เร้นกายอยู่ภายในชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ เป็นการยากสำหรับชายหนุ่มที่จะคาดคะเนว่าในบรรดาเรือบินรบตรงหน้าลำใดมีมูลค่าสูงสุดกันแน่ เรือบินรบของแต่ละสำนักมีรูปลักษณ์แตกต่างกัน มีผ้าคลุมปกปิดสิ่งของที่อยู่ภายในเอาไว้ หากไม่ได้แยกชิ้นส่วนออกมาหรือใช้ประสาทสัมผัสสำรวจอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าเรือบินรบเหล่านั้นขนสิ่งใดมาหรือทำขึ้นมาจากวัสดุประเภทใด
เรื่องนี้ทำให้งานของหวังเป่าเล่อยากขึ้นไปอีก แม้ว่าชายหนุ่มจะเป็นนักสู้มากพรสวรรค์ แต่ประสาทสัมผัสของเขายังไม่เฉียบคมพอที่จะตรวจสอบอาณาบริเวณนี้ทั้งหมดในคราวเดียว ยิ่งไปกว่านั้น เขายังต้องคอยหลบซ่อนตัวขณะที่ทำการค้นหาอีกด้วย ดูเหมือนว่าความพยายามในการปล้นของหวังเป่าเล่อในครั้งนี้คงต้องพึ่งโชคชะตาอย่างหนักทีเดียว
ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้เจ้าลาจะช่วยได้มาก เจ้าอสูรตนนี้กลืนกินมาแล้วทุกสิ่งสรรพและยังมีชีวิตรอดมาได้จนวันนี้ แถมยังกินทรัพยากรมามากมายหลายชนิด ซึ่งน่าจะช่วยให้ประสาทสัมผัสในการเลือกเรือบินรบที่มีของเยอะที่สุดของมันเฉียบคมยิ่งขึ้น
ตามหลักแล้ว โอกาสที่เรือบินรบซึ่งเพิ่งจะกลับมาสู่ดาวจะมีทรัพยากรเต็มลำนั้นสูงมาก แม้ว่าจะต้องพึ่งโชคชะตาอยู่มาก แต่ก็ไม่ควรดูเบาทักษะในการเลือกเป้าหมายของหวังเป่าเล่อในครั้งนี้
“ทั้งโชคชะตาและทักษะต่างอยู่ข้างเราทั้งสิ้น เจ้าลูกข้า คงต้องหวังพึ่งเจ้าเสียแล้ว เร็วเข้า เลือกเรือบินรบมาลำหนึ่ง!” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะยกมือขึ้นลูบเจ้าลาผู้ซึ่งเพิ่งจะออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บและกำลังงุนงง
เจ้าลามีสีหน้าสับสน มันเงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่อ ก่อนจะมองไปทางเรือบินรบที่เดินทางเข้าออกชั้นบรรยากาศอยู่ไปมา ในที่สุดมันก็หันกลับมามองหวังเป่าเล่ออีกครั้งด้วยสีหน้าน่าเวทนา จากนั้นก็อ้าปากพร้อมที่จะส่งเสียงร้อง
“ข้ามีส่วนแบ่งให้เจ้าหากเจ้าหาเรือบินรบมาได้ หากหาไม่ได้…เจ้าก็กลับเข้ากระเป๋าคลังเก็บไปและข้าจะไม่ให้ข้าวกิน!” หวังเป่าเล่อจ้องหน้ามันเขม็ง เจ้าลาสูดลมหายใจอย่างตื่นกลัวเมื่อได้ยินคำพูดนั้น นัยน์ตากลมโตของมันรื้นขึ้นด้วยน้ำตา หลังจากนั้นอีกพักหนึ่ง เจ้าลาจึงหันศีรษะกลับ ประกายเจิดจ้าส่องอยู่ในดวงตา มันทำจมูกฟุดฟิดขณะมองไปยังขบวนเรือบินรบตรงหน้า
ราวกับว่าบรรดาเรือบินรบตรงหน้าคืออาหารหลากหลายจาน หน้าที่ของมันคือต้องหาจานที่อร่อยที่สุดให้พบ
“เจ้าได้กลิ่นเรือบินรบแม้ว่าจะอยู่ห่างกันขนาดนี้เชียวหรือ” หวังเป่าเล่อพูดอย่างตื่นใจ ขณะที่ความสนใจใคร่รู้ของชายหนุ่มพุ่งถึงขีดสุด เจ้าลาก็ส่งเสียงร้องอย่างร้อนใจ
“ลูกข้า ลูกข้า!” มันร้องขณะที่ยกขาหน้าขึ้นชี้ไปยังเรือบินรบลำหนึ่งที่เพิ่งกลับมาจากอวกาศ ดูเหมือนเจ้าลาจะกลัวว่าการกระทำของมันจะชัดเจนไม่พอ มันจึงจามออกมาเป็นควันที่แปรสภาพเป็นรูปทรงเดียวกับเรือบินรบที่เพิ่งชี้ใส่
หวังเป่าเล่อผงกศีรษะอย่างเร่งรีบ ประกายความลังเลใจพลันปรากฏขึ้นในแววตา เรือบินรบที่เจ้าลาชี้ไปดูแสนธรรมดา ไม่มีความโดดเด่นแต่อย่างใด ขนาดก็ไม่ใหญ่เท่าเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ แถมยังเล็กกว่าตั้งเท่าตัว
เรือบินรบลำนั้นไม่ได้รวดเร็วแต่อย่างใด มันเคลื่อนที่ช้าๆ ไปข้างๆ เรือบินรบอีกเจ็ดถึงแปดลำโดยไม่มีความพิเศษใดๆ แถมยังมีความเสียหายอยู่เต็มลำ มันไม่ใช่ความเสียหายจากการต่อสู้ หากแต่ดูเหมือนความเสียหายจากการใช้งานหนักที่เกิดขึ้นตามกาลเวลา ซึ่งดูจะสะท้อนถึงการขาดงบประมาณในการซ่อมบำรุง
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังศึกษาเรือบินรบอยู่ห่างๆ ภายในเรือบินรบลำนั้นมีผู้ฝึกตนอยู่สิบกว่าคน มีเพียงห้าหรือหกคนเท่านั้นที่อยู่ในขั้นจุติวิญญาณ ส่วนคนที่อ่อนแอที่สุดอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย พวกเขาดูผ่อนคลายสบายอารมณ์ แววตาส่องประกายกล้าไปด้วยความตื่นเต้น บางคนก็หยิบศิลาสีดำสนิทขนาดเท่ากำมือออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ พลางลูบคลำอย่างนุ่มนวล ราวกับว่ากำลังถือเอาอัญมณีล้ำค่าเอาไว้ในมือกระนั้น
“พวกเราจะรวยกันแล้ว ใครจะไปคิดว่าระบบดาวเคราะห์สายแร่ไหลหลากอันกว้างใหญ่จะซุกซ่อนอารยธรรมที่มีศิลาดารามายาอยู่มากมายถึงเพียงนี้เอาไว้!”
“ศิลาดารามายา! ศิลาเหล่านี้สำคัญยิ่งสำหรับการหลอมเรือบินรบเกราะลำดับห้า ศิลาขนาดเท่ากำปั้นเพียงก้อนเดียวสามารถแลกองค์รักษ์ระดับแปดได้เชียวนะ!”
“ทรัพยากรอันทรงคุณค่าเช่นนี้ แต่ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในอารยธรรมนั้นกลับอยู่เพียงขั้นกำเนิดแก่นใน เพียงเท่านี้ก็รู้ได้ว่า พวกเขาไม่คู่ควรจะเก็บมันเอาไว้ แต่พวกเขาก็ยังกล้าที่จะต่อต้าน สมควรแล้วที่ถูกกำจัดจนสิ้นซาก เสียดายที่โครงสร้างทางกายภาพของคนพวกนั้นแตกต่างจากพวกเรา หาไม่แล้ว ก็อาจจะจับตัวพวกเขามาทำเป็นพาหนะในการหลอมได้”
ทุกคนในกลุ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังสนั่นเมื่อมีการพูดถึงผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในอารยธรรมแห่งนั้น พวกเขานั่งกันอย่างผ่อนคลาย ขณะที่เรือบินรบกำลังลอยอย่างเชื่องช้าเข้าไปใกล้ดาวเคราะห์บ้านเกิดและสำนักมากขึ้นทุกที
“ทุกคน อย่าประมาทเชียวเล่า พวกเราได้สมบัติมามากมายพอดูทีเดียวในคราวนี้ พวกเรารับผิดชอบไม่ไหวแน่หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น อวิ๋นหลินจื่อ คอยควบคุมปริมาณปราณวิญญาณที่หลุดรอดออกไปให้ดี พยายามอย่ากระโตกกระตากไป ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะใช้ความเร็วสูงสุดของเรือบินรบ เราจะเริ่มเร่งความเร็วเมื่อเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ!” ผู้นำผู้ฝึกตนซึ่งเป็นผู้อาวุโสในขั้นจุติวิญญาณขมวดคิ้วและสั่งออกมาเสียงดังท่ามกลางเสียงหัวเราะขรม
“ผู้อาวุโสขอรับ ตอนนี้เราก็มาถึงดาวบ้านเกิดแล้ว จะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นได้อีก ท่านไปพักผ่อนเถอะ ทรัพยากรที่เราได้มาคราวนี้เพียงพอให้ท่านบรรลุการฝึกตนไปยังขั้นต่อไป พวกเรามายินดีให้ผู้อาวุโสล่วงหน้ากันดีกว่า!”
“ถูกแล้ว ผู้อาวุโสโปรดวางใจเถิด การพรางตัวของพวกเรานั้นไร้ที่ติ เรือบินรบของพวกเราดูปกติธรรมดาแถมยังปุโรทั่งเสียขนาดนี้ ไม่เตะตาสักนิด คงไม่มีใครคิดมาปล้นพวกเราเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งสุดท้ายที่มีคนกล้าทำสิ่งบ้าคลั่งเช่นการปล้นเรือบินรบนั้นก็หลายปีมาแล้วด้วย สำนักคงจะส่งคนมารับพวกเราในไม่ช้านี้แน่ โปรดวางใจและสบายใจได้”
ผู้อาวุโสใคร่ครวญอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย ความคิดที่ว่าเขาได้ทรัพยากรมามากเพียงพอที่จะฝึกตนจนบรรลุขั้นได้ทำเอาท้องไส้เขาปั่นป่วนด้วยความลิงโลดใจ
แน่นอนว่า…ผู้ฝึกตนเหล่านี้ที่เพิ่งกลับมาจากการสังหารหมู่พร้อมเรือบินรบซึ่งล้นปรี่ไปด้วยสมบัติ ต่างไม่รู้เลยว่ามีสายตาสองคู่จ้องเขม็งมายังเรือบินรบของพวกเขา ร่างสองร่าง ร่างหนึ่งใหญ่อีกร่างหนึ่งเล็ก ซึ่งกำลังซุกซ่อนอยู่ในปุยเมฆ ต่างจ้องมองเรือบินรบด้วยสายตาแน่วแน่
หวังเป่าเล่อหรี่ตาก่อนจะลุกขึ้นยืนท่ามกลางหมู่เมฆ ชายหนุ่มศึกษาเรือบินรบที่ดูแสนจะธรรมดาก่อนจะถามเจ้าลาออกมาเบาๆ
“เจ้าลูกข้า แน่ใจหรือว่าลำนี้อร่อย”
“ลูกข้า!” เจ้าลาดูมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง กีบขาของมันสั่นเทาด้วยความหิวโหยอันเกินจะควบคุม ดูราวกับว่ามันพร้อมจะพุ่งตัวออกไปได้ทุกเมื่อ
“ก็ได้ ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้งก็แล้วกัน ไปชิงของมากันเถิด!” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ชายหนุ่มเลิกสนใจเรือบินรบลำอื่นไปเสียสิ้นและเริ่มซุกซ่อนตัว พวกเขาลอบติดตามเรือบินรบไปอย่างเงียบเชียบ
ไม่นานนัก เรือบินรบที่ดูเก่าโทรมเหม็นสาบความจนก็เริ่มหันเหออกจากลำอื่นๆ อย่างช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ เข้าไปยังชั้นบรรยากาศของดวงดาว เมื่อเข้าไปได้ เรือบินรบลำนั้นก็หายไปในกลุ่มเมฆหนาทึบ
เรือบินรบลำนั้นจมดิ่งลงไปในชั้นบรรยากาศ ดวงตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย พวกเขาไม่ได้ละสายตาจากเรือบินรบไปแม้แต่น้อย ชายหนุ่มใช้ความเร็วเต็มที่ก่อนจะปล่อยพลังปราณขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์ให้ไหลบ่าท่วมกาย วิญญาณจุติดวงดาราเข้ามาเพิ่มความเร็วให้สูงยิ่งกว่าที่พลังปราณจะทำได้ ทำให้ขณะนี้ชายหนุ่มมีความเร็วเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ หวังเป่าเล่อพุ่งตัวตามเรือบินรบไปด้วยความเร็วราวกับเป็นดาวหาง!
เรือบินรบเองก็ปล่อยความเร็วสูงสุดออกมาในวินาทีนั้นเช่นกัน ก่อนจะเคลื่อนที่ออกไปด้วยความเร็วอย่างน้อยๆ สามเท่าของความเร็วตั้งต้น
หืม พวกเขาสัมผัสข้าได้อย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อชะงัก ไม่มีเวลาคิดแล้ว ชายหนุ่มเลิกซ่อนตัว ก่อนจะปล่อยพลังปราณและจิตสัมผัสออกไปรอบกายอย่างเต็มที่ ราวกับว่าตัวเขาเป็นพายุที่มองไม่เห็นซึ่งพุ่งเข้าปกคลุมเรือบินรบในทันใด จิตสัมผัสของหวังเป่าเล่อพุ่งทะลุระบบป้องกันของเรือบินรบ ตอนนั้นเองชายหนุ่มก็เห็นผู้ฝึกตนนับสิบบนเรือบินรบ!
สัญญาณเตือนภัยเสียงแหลมสูงดังลั่นขึ้นในเรือบินรบทันทีที่หวังเป่าเล่อตรวจสอบเรือบินรบ ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกตนบนเรือบินรบต่างก็ยังหัวร่อต่อกระซิกและผ่อนคลายกันอยู่ แต่ขณะนี้พวกเขาต่างมีสีหน้าตื่นตกใจ ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณต่างตื่นตะลึง ก่อนจะอ้าปากค้าง
“ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเช่นนั้นหรือ”
“เร็วเข้า มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว!”
พวกเขาเพิ่งได้ยินสัญญาณเตือนของเรือบินรบและสัมผัสได้ถึงจิตสัมผัสแปลกปลอมที่แผ่เข้ามา ผู้ฝึกตนจำพวกเดียวที่สามารถส่งจิตสัมผัสเข้ามาสำรวจภายในเรือบินรบขณะอยู่ในชั้นบรรยากาศรอบนอกได้…ต้องเป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอย่างแน่นอน การทำเรื่องที่โผงผางเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงเจตนาของผู้ฝึกตนผู้นี้ได้อย่างชัดเจน อย่างน้อยๆ ก็ถือว่าชัดเจนสำหรับบรรดาผู้ฝึกตนบนเรือบินรบแล้ว!
ไม่มีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอยู่บนเรือบินรบเลยหรือ แปลว่าพวกเขาไม่ได้เร่งความเร็วเพราะสัมผัสถึงตัวข้าเช่นนั้นสิ หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นระรัวเมื่อมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของบรรดาผู้ฝึกตนบนเรือบินรบ ชายหนุ่มนึกสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ เขาอาจเจอขุมทรัพย์เข้าจริงๆ แล้วก็ได้ในครานี้ มีแกะตัวอ้วนพีตกลงบนตักพร้อมให้เชือดคอแล้ว!
หวังเป่าเล่อผู้ตื่นเต้นตั้งใจเปลี่ยนเสียงเพื่อจะหัวเราะชั่วร้าย พลันหายตัวไปในทันทีราวกับเป็นผีสาง และกระโจนขึ้นไปบนเรือบินรบที่กำลังเร่งความเร็วหนี ชายหนุ่มผ่านทะลุตัวถังเรือเข้าไปขณะที่เสียงของเขาดังกระหึ่มขึ้นในศีรษะของผู้ฝึกตนทุกคนอย่างฉันพลับราวกับเป็นเสียงระเบิด
“ทุกคนหยุด! นี่คือการปล้น!”