หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 785 ยื่นไมตรีจิต!
บทที่ 785 ยื่นไมตรีจิต!
รูม่านตาของหวังเป่าเล่อหดแคบลงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและพูดตอบ โดยไม่สนใจสายตาของผู้คนมากมายที่กำลังมองมา ชายหนุ่มพูดด้วยท่าทีเคารพสุดใจ
“ถวายบังคมจักรพรรดิผู้สูงส่ง! ขอให้หนึ่งรัชสมัยของท่านเจริญรุ่งโรจน์ ให้สองมังกรยอมสยบอยู่ใต้บัญชาท่าน ให้สามดินแดนยอมกำราบในความองอาจ ให้สี่ทิศของโลกยอมจำนนเป็นข้ารองบาท ให้นิ้วทั้งห้าของท่านลงทัณฑ์บัญชา! ขอให้ท่านหลุดพ้นจากสังสารวัฏหกวิถี ให้วิญญาณของท่านคงอยู่ตราบนานเท่าที่เจ็ดดาวฤกษ์ยังส่องสว่าง ให้จิตใจของท่านแข็งแกร่งเหนือการยั่วยุจากหมู่มารทั้งแปดแคว้น ให้สติปัญญาของท่านแจ่มชัดปราดเปรื่องในเก้าอารมณ์ และขอให้ระดับดารานิรันดร์อยู่ห่างจากท่านแค่เพียงสิบก้าว!”
คำพูดที่หวังเป่าเล่อเคยพูดในการประชุมสามัญของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก่อนหน้านี้ หลั่งไหลออกจากริมฝีปากของเขาอีกครั้ง และดังสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ คำสรรเสริญยาวเป็นหน้ากระดาษของเขาทำให้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู หันมามองหน้ากันอย่างจนด้วยคำพูด จิตใจเนืองแน่นด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ทุกคนมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไร ตอนนั้นเขากำลังดึงสีหน้าเคารพถึงขีดสุด ดวงตาโชติช่วงด้วยความรักใคร่สรรเสริญ จนทำให้จักรพรรดิแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ที่กำลังจะถอดจิตจากที่แห่งนั้นไป กระแอมกระไอออกมาและเปิดปากพูดอีกครั้ง
“พอได้แล้ว เจ้าไม่จำเป็นจะต้องแสดงความเคารพข้าเช่นนี้อีกในอนาคต”
“ข้าน้อมรับบัญชาของท่านขอรับ ท่านจักรพรรดิ ท่านช่างแสนยอดเยี่ยมหาใครเทียม ท่านเป็นที่เคารพรักของพวกเราทุกคน ทั้งที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่สุดในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ท่านก็ยังถ่อมตัวได้อย่างน่านับถือ ท่านเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ทุกคน ท่านทำให้พวกเราได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย ต้องขอบคุณท่านที่ช่วยประสิทธิ์ประสาทวิชาให้พวกเรา ข้า หลงหนานจื่อคนนี้ จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน ข้าสัญญาว่าจะทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ยิ่งใหญ่ที่สุดในปฐพี!”
หวังเป่าเล่อตบอกตนเองดังป้าบด้วยความตื่นเต้นขณะประกาศเสียงดังลั่น
จักรพรรดิแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อับจนด้วยคำพูดเมื่อได้ยินคำสรรเสริญยกต่อไปของหวังเป่าเล่อ จึงทำได้เพียงเงียบและกระแอมกระไออีกครั้งเท่านั้นก่อนจะถอดจิตจากไป ส่วนหวังเป่าเล่อก็หันไปมองหน้าคนอื่นๆ อย่างยินดีปรีดา ในขณะที่ทุกคนรอบกายจ้องมองชายหนุ่มราวกับเขาเป็นเทพยดา เขาถูมือทั้งสองเข้าด้วยกัน จากนั้นก็หันไปหาฝูงชนและทำมือคารวะ
“สหายเต๋าร่วมสำนักทั้งหลาย พวกเราทุกคนล้วนอยู่ใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรเดียวกัน หากข้าได้ทำอะไรให้พวกท่านไม่สบายใจ ข้าหวังว่าท่านจะไม่ขุ่นข้องเคืองใจกับการกระทำของข้า ข้าเป็นชายที่ใจกว้างราวแม่น้ำใหญ่ และไม่เคยคิดจองเวรต่อใคร แม้บางทีข้าจะเซ่อซ่าไปบ้าง แต่ข้าก็รักสหายของตนเองสุดหัวใจ ข้าหวังว่าพวกท่านทั้งหลายจะไม่รังเกียจข้า ทั้งยังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเราจะเป็นสหายกันได้ในอนาคต”
หลังจากที่ฟังคำพูดของหวังเป่าเล่อจบ สีหน้าของผู้คนรอบกายเขาก็เปลี่ยนเป็นแปลงแปร่ง นั่นเพราะว่า หวังเป่าเล่อมีชื่อเสียงโด่งดังมาจาก…การตามจองเวรแก้แค้นกองทหารมังกรหยดหมึกจนสุดขอบโลก
การที่ชายบ้าบิ่นเลือดขึ้นตาเช่นนี้ มาประกาศปาวๆ ว่าตนเองเป็นคนใจกว้างเหมือนแม่น้ำไม่เคยคิดจองเวรใคร คงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อลงไปได้ แม้กระทั่งคนโง่ก็อาจเฉลียวใจไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำ!
เมื่อเห็นว่าฝูงชนไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับกับคำพูดที่จริงใจของเขา หวังเป่าเล่อก็รู้สึกละอายขึ้นมาบ้างในใจ เขาทำมือคารวะอีกครั้ง หันหลังกลับและรีบเหาะไปยังค่ายประจำกองทหารวิหคน้ำแข็ง
ทันทีที่เขาออกจากสนามรบไป ผู้ฝึกตนจากทั้งสองฝ่ายที่อยู่รอบกายชายหนุ่มก็สูดหายใจเข้าลึก ก่อนเริ่มแสดงความคิดเห็นของตนเองออกมา
“หมอนี่มันขี้ประจบในแบบที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ไอ้หลงหนานจื่อคนนี้มันช่างไร้ยางอายเสียจริง!”
“เงียบปากเสีย ต่อให้หมอนี่หน้าด้านหน้าทนจริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีความสามารถจริง อย่าริอ่านไปขัดใจหมอนี่เชียว!”
“บัดซบที่สุด หากข้าเป็นแบบมันละก็ ป่านนี้คงได้เป็นผู้บัญชาการกองทหารไปแล้ว…”
ไม่ใช่เพียงผู้ฝึกตนทั่วไปเท่านั้นที่อิจฉาหวังเป่าเล่อ แม้แต่ผู้บัญชาการกองทหารหลายคนที่ได้ยินคำพูดนี้มาหลายครั้งแล้วก็พากันตกใจเช่นกัน พวกเขาเคยได้ยินคำสรรเสริญที่ไม่ผิดเพี้ยนนี้จากปากหวังเป่าเล่อมาครั้งหนึ่งแล้วในการประชุม แม้เขาจะโด่งดังมาก่อน แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก จึงไม่ได้เป็นคู่แข่งที่อยู่ในสายตา
แต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาได้เห็นความสามารถทางการยุทธ์ของหวังเป่าเล่อใน ซึ่งทำให้ทุกคนต้องหันมามองเขาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างเสียมิได้ นอกจากนี้ชายหนุ่มยังมีความสามารถในการประจบประแจงที่ยอดเยี่ยมเสียจนหากยังทำเช่นนี้ต่อไป การที่เขาจะไต่เต้าขึ้นมามีตำแหน่งสูงในสำนักก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
กระทั่งศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงยังมุ่นคิ้ว แม้เขาจะไม่ชอบหวังเป่าเล่อ แต่ก็ต้องยอมรับว่าบทสนทนาระหว่างหวังเป่าเล่อและจักรพรรดิเมื่อครู่นี้ ทำให้ความโกรธเคืองในตัวของชายหนุ่มเบาบางลงมาก
หากมีใครกล้าดูแคลนผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่สามารถพูดจากับจักรพรรดิได้เช่นนั้นละก็ คนผู้นั้นก็อาจจะมีปัญหาได้ในอนาคต ศิษย์แห่งเจ๋ามังกรแดงมองดูหวังเป่าเล่อที่กำลังจะเข้าไปยังฐานทัพวิหคน้ำแข็งด้วยความเงียบงัน ดวงตาทอแสงวาบ เขายิ้มก่อนตะโกนหาชายหนุ่ม “สหายเต๋าหลงหนานจื่อ เจ้าอยากมาทำงานให้กองทหารมังกรแดงของข้าหรือไม่”
เมื่อได้ยินดังนั้น แววตาของเทพธิดาหลิงโยวก็สว่างวาบ นางทำท่าฮึดฮัด
ส่วนหวังเป่าเล่อก็หยุดชะงักอยู่กลางทางเมื่อได้ยิน เขาหันไปมองศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า โค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพพร้อมทำมือคารวะ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงของชายหนุ่มกลับเคร่งขรึมจริงจังยิ่ง
“ผู้บัญชาการหลิงโยวมอบความไว้วางใจให้ข้าแล้ว ตอนที่ข้าเข้าร่วมกองทหารวิหคน้ำแข็งเป็นครั้งแรก นางสนับสนุนข้ามาตลอด ข้าหวังว่าศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงจะเข้าใจ หลงหนานจื่อคนนี้จะจงรักภักดีกับกองทหารวิหคน้ำแข็งตราบชั่วกัลปาวสาน นอกเสียจากว่าจะเป็นคำสั่งจากเบื้องบนที่ข้าขัดไม่ได้เท่านั้น นี่เป็นทางเดียวที่ข้าจะตอบแทนน้ำใจของผู้คนเหล่านี้ได้!”
ชายหนุ่มทำมือคารวะอีกครั้ง ก่อนหันหลังกลับเข้าไปค่ายพักของกองทหารวิหคน้ำแข็ง
มังกรแดงมีสีหน้าเสียใจที่ไม่สามารถเชิญชวนหวังเป่าเล่อมาร่วมกองทหารของตนเองได้ จึงอ้าปากตะโกนไปอีกครั้ง “เจ้าไม่ต้องให้คำตอบข้าในวันนี้ก็ได้ หลงหนานจื่อ ตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองทหารมังกรแดงจะยังรอเจ้าอยู่เสมอ!”
เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและพากองทัพของตนจากไป
กองทหารอื่นๆ ที่มาช่วยเหลือกองทหารอันดับที่สิบเอ็ดก็จากไปด้วยเช่นกัน ความคิดมากมายปั่นป่วนอยู่ในใจเทพธิดาหลิงโยวที่ยังยืนอยู่ตรงนั้น หลังจากกดความคิดเหล่านั้นลงไปได้ หลิงโยวก็แสดงไมตรีจิตต่อกองทหารที่มาช่วยนางรบในครั้งนี้ เมื่อส่งพวกเขาเสร็จเรียบร้อย นางก็กลับไปยังค่ายพักของกองทหารวิหคน้ำแข็ง
สิ่งแรกที่นางทำคือเรียกผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่เข้ามาไถ่ถามว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
เมื่อได้ทราบชะตากรรมของประมุขหลิงเถา รวมถึงความสามารถอันหาตัวจับยากของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของหวังเป่าเล่อ เทพธิดาหลิงโยวก็ตกใจเป็นอันมาก ความคิดของนางก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าหวังเป่าเล่อจะใช้เวลาหลายปีกว่าจะหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาให้ถึงระดับสามหรือสี่ได้ นางจึงไม่ได้ใส่ใจเขาแม้แต่น้อย อันที่จริงแล้ว ตอนที่จักรพรรดิส่งหวังเป่าเล่อมาที่กองทหารของนาง หญิงสาวยังรู้สึกรำคาญใจและคิดว่าเขาเป็นตัวถ่วงเสียด้วยซ้ำ นางไม่ได้คาดคิดเลยว่า อัจฉริยภาพด้านการหลอมอาวุธเวทของหวังเป่าเล่อนั้นจะยอดเยี่ยมเหนือผู้ใดในโลกหล้า
ตอนนี้นางรู้แล้วว่าหวังเป่าเล่อไม่ใช่ตัวถ่วงแม้แต่น้อย แต่เป็นหีบสมบัติที่เคลื่อนที่ได้ต่างหาก! ทั้งยังเป็นหีบสมบัติที่ใหญ่มากเสียด้วย!
ด้วยความสามารถในการหลอมอาวุธเวทของชายหนุ่ม อาจเรียกได้ว่ากองทหารใดที่ได้ตัวเขาไปครอบครองจะทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดได้อย่างรวดเร็ว เรื่องนี้ทำให้เทพธิดาหลิงโยวหายใจสะดุด ดวงตาสว่างวาบเป็นประกาย นางอยากเรียกหวังเป่าเล่อเข้าพบ แต่เมื่อลองทบทวนดูอีกครั้ง นางก็ปล่อยให้คนอื่นจัดการกิจการที่เหลือ และเดินทางไปหาหวังเป่าเล่อที่ถ้ำที่พักด้วยตนเอง
หญิงสาวมาถึงอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อไม่ได้ตกใจแม้แต่น้อยที่อีกฝ่ายมาเยี่ยม แต่กลับเชิญเขาเข้ามาในบ้านด้วยความเคารพ
นี่เป็นครั้งแรกที่เทพธิดาหลิงโยวเข้ามาในถ้ำที่พักของหวังเป่าเล่อ นางสำรวจบริเวณโดยรอบ มองดูเจ้าอู๋น้อยและเจ้าลา แต่ก็ทำเพียงปราดตาและไม่ได้สนใจทั้งสองมากนัก เมื่อเทพธิดาหลิงโยวหันกลับมามองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง นางก็เงียบไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปากอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
“สหายเต๋าหลงหนานจื่อ ข้ามั่วแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องอื่นในกองทหาร และมองเจ้าผิดไปหลายประการ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่โกรธเคืองข้าที่เคยเมินเฉยเจ้า”
ทันทีที่หวังเป่าเล่อได้ยิน เขาก็พลันรู้สึกประหลาดขึ้นมาในใจ หวังเป่าเล่อเดาได้ว่านางจะมาหาตนยังที่พัก แต่ไม่ได้คาดคิดว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะซึ่งได้รับสมญานามว่า “ราชินีน้ำแข็ง” จะเป็นคนจริงใจ เปิดกว้าง และตรงไปตรงมาได้ถึงเพียงนี้ เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกดีกับนางขึ้นมาในทันที
“ท่านช่างมีเมตตาเหลือเกิน ท่านผู้บัญชาการ เพียงแค่ข้าได้พักอยู่ที่นี่ และได้เรียกกองทหารวิหคน้ำแข็งว่าเป็นบ้าน ก็ถือเป็นโชคดีของข้าแล้ว…เพราะอย่างไรเสียเราต่างก็รู้กันอยู่ว่าตัวข้าเป็นที่ต้องการของโลกภายนอก” หวังเป่าเล่อคิดอยู่สักพักแล้วจึงตัดสินใจเปิดใจเล็กน้อยด้วยเช่นกัน พร้อมฝืนยิ้มออกมา
หลังจากที่หวังเป่าเล่อพูดจบ เทพธิดาหลิงโยวก็เงียบลงอีกครั้ง ราวกับไม่รู้ว่าจะสนทนาต่ออย่างไร หวังเป่าเล่อเองก็ดูงุนงงเช่นกัน เขายืนอยู่ฟากหนึ่งของห้อง กะพริบตาปริบ พลางคิดว่าตนเองควรหาเรื่องมาคุยต่อดีหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ตัดสินใจเงียบด้วยเช่นกัน
ทั้งสองเงียบอยู่สักพัก เทพธิดาหลิงโยวมองจ้องหวังเป่าเล่อ ก่อนพูดด้วยเสียงต่ำอย่างช้าๆ
“หลงหนานจื่อ ข้าขอดูโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของเจ้าได้หรือไม่”
หวังเป่าเล่อคิดอยู่สักพัก ก่อนจะหยิบโล่ของตนออกมา ขณะที่หยิบออกมานั้น แสงสว่างเรืองรองเจิดจ้าก็สาดไปบนร่างกายของชายหนุ่ม แสงนั้นกำเนิดมาจากโล่ที่ซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่า เมื่อเขาหยิบทุกอย่างออกมาเรียบร้อย ทั่วทั้งถ้ำก็สว่างวาบ โล่ทอแสงสีทองอร่ามอยู่บนมือของหวังเป่าเล่อ ก่อกำเนิดเป็นก้อนแสงยักษ์สว่างเจิดจ้า
ชายหนุ่มส่งก้อนแสงต่อให้เทพธิดาหลิงโยว หญิงสาวรับมันไปตรวจดูอย่างถี่ถ้วน สีหน้าของนางค่อยๆ เปลี่ยนไปช้าๆ ประกายความตกใจฉายชัดขึ้นในแววตา หลิงโยวตรวจดูโล่นั้นอยู่นาน ก่อนจะยอมถอนสายตาออกจากมันในที่สุด นางมองหวังเป่าเล่อและเอ่ยออกมาในทันที
“หลงหนานจื่อ ด้วยความสามารถของเจ้า ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่ได้อยู่ในกองทหารวิหคน้ำแข็งของข้าอีกต่อไปแล้ว แต่ข้าต้องการยื่นไมตรีจิตให้เจ้า เห็นได้ชัดว่าสมบัติเวทชิ้นนี้เป็นที่ถูกตาต้องใจของจักรพรรดิเป็นอย่างมาก เช่นนั้นแล้ว…เจ้าต้องการสิ่งใดบ้าง ข้าจะช่วยเจ้าทุกอย่าง ถือเสียว่าเป็นการชดใช้ที่ข้าเพิกเฉยเจ้าก่อนหน้านี้ และถือเป็นการตอบแทนสำหรับความช่วยเหลือของเจ้าในการแข่งขันเมื่อครู่!”
………………………