หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 800 อยู่ห่างจะดีกว่า!
บทที่ 800 อยู่ห่างจะดีกว่า!
หวังเป่าเล่อตะโกนออกไปสุดกำลัง เป็นการตะโกนอย่างสุดชีวิต หากยังใช้ขู่ยักษ์ศิลาไม่ได้ ชายหนุ่มก็คาดว่าตนคงจะต้องจบชีวิตลงตรงนี้แน่
เขากังวลว่าตัวเองจะตะโกนไม่ดังพอ จึงตะโกนขึ้นอีกรอบ
“ศิษย์พี่เฉินชิงเป็นผู้ฝึกตนทรงพลังที่สังหารผู้ฝึกตนกล้าแกร่งมานักต่อนัก เขาเป็นผู้ปกครองระบบดาวเคราะห์เต๋าไม่รู้สิ้นและใครหลายคนในหลายส่วนของจักรวาลให้ความเคารพเหมือนเขาเป็นราชา!”
“ศิษย์น้องผู้นอบน้อมบังเอิญหลงมารบกวนการพักผ่อนของท่าน แต่ข้ายังไม่ได้ทำร้ายใคร เหตุใดท่านพี่ผู้สูงส่งจึงเลือกกระทำรุนแรงกับความผิดเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ด้วย” หวังเป่าเล่อพยายามแผ่พลังเคล็ดวิชาสารัตถะออกมาขณะพูด นี่เป็นวิชาที่ศิษย์พี่ให้มา เป็นเคล็ดวิชาที่เขาสร้างขึ้นกับมือ เป็นของที่เฉินชิงเป็นผู้ถือครองเพียงคนเดียว!
การได้ครอบครองวิชานี้จึงเป็นสิทธิ์พิเศษที่ช่วยพิสูจน์ตัวตน หากยักษ์ศิลาอยู่เพียงระดับดาวพระเคราะห์ วิธีนี้คงจะใช้ไม่ได้ผล เพราะผู้ที่อยู่เพียงระดับดาวพระเคราะห์คงไม่เคยพบศิษย์พี่ของตนมาก่อนแน่
แต่ถ้าอยู่ในระดับดารานิรันดร์…ก็ถือเป็นตัวตนที่ต่างออกไป ยิ่งเป็นผู้ที่ปกครองทั้งตระกูลด้วยแล้ว ก็มีโอกาสที่จะเคยได้ยินชื่อเสียงหรือข่าวลือเกี่ยวกับศิษย์พี่มาบ้าง
เจ้าลาตื่นตระหนกอยู่ด้านในกำไลคลังเวทขณะที่หวังเป่าเล่อตะโกนก้องไม่หยุด ส่วนเจ้าอู๋น้อยแอบร้องไห้อยู่ในใจ เขาไม่เชื่อคำพูดของหวังเป่าเล่อแม้แต่คำเดียว แต่ก็ยังพอทำให้มีหวังขึ้นมาริบหรี่ เพราะพลังของยักษ์ศิลานั้นแกร่งกล้าเกินกว่าพวกตนจะต้านทานได้
หวังเป่าเล่อและเจ้าอู๋น้อยจ้องฟากฟ้าตาไม่กะพริบขณะที่มือยักษ์พุ่งตรงลงมาพร้อมจะบดขยี้ทุกสิ่ง ทว่าพริบตาต่อมา…ฝ่ามือก็หยุดชะงักไป!
มือที่หยุดชะงักในทันใดสร้างคลื่นพายุพัดผ่านเรือบินรบเวทของหวังเป่าเล่อกระจายไปทั่วบริเวณ เรือบินรบตั๊กแตนสั่นเทิ้ม พร้อมจะทลายลงได้ทุกเมื่อ แต่…ฝ่ามือกลับไม่ได้ฟาดลงมาใส่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เรือบินรบเวทก็จะยังปลอดภัยดีแม้จะสั่นไหวเหมือนใกล้พังทลายก็ตาม
ได้ผล! หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว รู้สึกใจชื้นขึ้น เขาเงยหน้า สัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องมา สายตานั้นมาจากยักษ์ศิลาที่กำลังมองลงมา
สายตาที่จ้องมองมาอัดแน่นไปด้วยพลัง สามารถมองทะลุผ่านทุกสิ่งได้ สายตาคู่นั้นไม่ได้สนใจเรือบินรบเวทหรือโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา มันจ้องทะลุผ่านชั้นป้องกันเข้าไปเห็นถึงแก่นใน เพียงแค่ปรายตาก็มองเจ้าอู๋น้อยได้ทะลุปรุโปร่ง
หวังเป่าเล่อเป็นกังวลกับการตรวจพิจารณานี้ เขายกมือขึ้นกุมไว้ตลอดเพื่อแสดงความเคารพยำเกรงให้มากที่สุด
เจ้าอู๋น้อยก็ทำเช่นเดียวกัน พร้อมกับก้มหัวลงด้วยความหวาดเกรง
หลังจากมองดูอยู่สองสามรอบ สายตาทรงพลังก็เลื่อนกลับไปพร้อมมือขนาดมหึมาที่ยื่นมาหาเมื่อครู่!
หวังเป่าเล่อใจชื้นเมื่อเห็นมือมหึมาถอยกลับไป รู้สึกเหมือนเพิ่งหนีรอดจากความตายมาได้ ชายหนุ่มตระหนักได้ว่าศิษย์พี่ของตนเองนั้นแข็งแกร่งเพียงใด เมื่อมีศิษย์พี่คอยคุ้มกะลาหัว ไม่ว่าจะไปที่ใด ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ก็จะให้ความเกรงใจตน แต่จะคอยพึ่งพาศิษย์พี่อยู่ตลอดก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะหากไปพบศัตรูของศิษย์พี่เข้า…คงได้จบชีวิตลงตรงนั้นเป็นแน่
เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจลึก จากนั้นก็เงยหน้าพร้อมเอ่ยขึ้น “ขอบคุณมาก ท่านพี่!”
“ออกไป!” ขณะเสียงของชายหนุ่มดังก้องไปทั่วอวกาศ เสียงแหบห้าวก็ระเบิดขึ้นในหัวของหวังเป่าเล่อและเจ้าอู๋น้อย
เสียงนั้นส่งผ่านมาทางสัมผัสสวรรค์ของยักษ์ศิลา ไม่สำคัญว่าจะพูดภาษาใด คำพูดนั้นตราตรึงอยู่ในดวงวิญญาณ เป็นคำพูดอันหนักแน่นและแข็งแกร่ง ส่งความเจ็บปวดรุนแรงใส่ในหัวหวังเป่าเล่อ เขาคงจะทนรับไม่ไหวหากยักษ์ศิลาคิดจะพูดต่อ
ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มไม่มีทางต้านทานเสียงของยักษ์ศิลาได้ แต่กระนั้น ความแตกต่างของระดับการฝึกตนก็ทำให้หวังเป่าเล่อตระหนักถึงความต่างที่แบ่งแยกระหว่างผู้แข็งแกร่งกับผู้อ่อนแอขึ้นมาอีกครั้ง หากเป็นใครคนอื่นที่คิดเหมือนกันก็คงรีบกลับออกจากจักรพิภพนี้ไปในทันที เผื่อว่ายักษ์ศิลาจะนึกเสียดายขึ้นมาทีหลังที่ปล่อยให้เขารอดไปในทีแรก
เจ้าอู๋น้อยเองก็คิดเช่นนั้น เขาเพิ่งจะรอดตายมา ความคิดเดียวในหัวตอนนี้คือรีบออกไปจากสถานที่สุดสะพรึงกลัวนี้ไปให้เร็วที่สุด
แต่หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ในหัวของชายหนุ่มคิดวิเคราะห์อย่างหนัก เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิศิลารู้จักศิษย์พี่ของตน เพราะตอนแรกอีกฝ่ายตั้งใจจะจบชีวิตเขา แต่ก็ปล่อยให้รอดหลังจากได้ยินชื่อศิษย์พี่
หมายความว่าจักรพรรดิศิลาไม่เคยพบศิษย์พี่ เคยแต่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนาม จึงไม่คิดอยากเป็นศัตรูกับศิษย์พี่ด้วยเรื่องเล็กน้อย มันไม่สำคัญเลยว่าหวังเป่าเล่อจะกุเรื่องขึ้นมาหรือเปล่า เรื่องนี้ไม่ได้สำคัญเลยสำหรับผู้แข็งแกร่งเช่นเขา
การที่ข้าพูดชื่อเฉินชิงออกไปแสดงให้เห็นถึงอะไรบางอย่าง จักรพรรดิศิลาเป็นคนฉลาด ข้ารู้ว่าเขาพยายามจะบอกอะไร เขาจะบอกว่าเขาไม่ได้สนว่าข้าจะพูดจริงหรือแต่งเรื่อง ไม่ได้สนใจอะไรเลยสักนิด ขอแค่อย่ามายุ่มย่ามกับเขาก็พอ หวังเป่าเล่อวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรวดเร็ว…ในที่สุดก็ได้ข้อสรุป
จักรพรรดิศิลาระแวงศิษย์พี่และกลัวจะมีปัญหา ถ้าเช่นนั้นละก็… หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย หัวใจเต้นถี่รัว ชั่งใจว่าจะทำตามที่คิดดีหรือไม่ แต่ถ้าไม่คงต้องนึกเสียใจในภายหลังเป็นแน่ ไหนๆ ก็พูดชื่อศิษย์พี่เฉินชิงออกไปแล้ว คงต้องหาประโยชน์จากการกระทำในครั้งนี้อีกหน่อย
เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้นและส่งสัมผัสสวรรค์ออกไปในห้วงอวกาศ
“ท่านพี่ พวกเราเดินทางกันมาอย่างยากลำบาก ต้องเดินทางมานานและไกลโขกว่าจะมาถึงที่แห่งนี้ เพราะอย่างนั้น…พวกเราขอต้นไผ่ศิลากลับไปเป็นของที่ระลึกได้หรือไม่”
เจ้าอู๋น้อยตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น พลันหันไปมองชายหนุ่มอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง ความตึงเครียดที่เพิ่งจะคลายลงไปทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง ในหัวของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยสัญญาณคุกคามอันตราย หากไม่ใช่เพราะเกรงกลัวหวังเป่าเล่อ เขาคงจะอ้าปากก่นด่าสาปแช่งไปแล้ว
คำขอของหวังเป่าเล่อฟังดูเกินกว่าเหตุสำหรับเจ้าอู๋น้อย เหมือนชายหนุ่มพยายามจะลองวัดดวง
สวรรค์ เขาไม่กลัวจักรพรรดิศิลาจะฆ่าทิ้งหรืออย่างไร เจ้าอู๋น้อยใจเต้นแรง จ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาวิงวอน เหมือนจะพยายามขอร้องให้ชายหนุ่มเลิกทำเป็นเล่นแล้วหนีออกไปเสียที…
แต่เจ้าอู๋น้อยก็ได้บทเรียนในไม่ช้า ในชีวิตคนเรานั้น…ความกล้าจะทำให้ทุกสิ่งแตกต่างออกไป!
จักรพรรดิศิลาเงียบไปเมื่อได้ยินคำขอ ก่อนจะหันมองเจ้าอู๋น้อยที่กำลังสั่นกลัว หวังเป่าเล่อเป็นกังวลมาก แต่ก็รู้สึกมั่นใจพิกล ต่อให้จักรพรรดิศิลาปฏิเสธคำขอ แต่ทางที่แย่ที่สุดที่อาจเกิดขึ้นก็คือโดนสั่งให้ออกไปอีกครั้ง
แต่ถ้าจักรพรรดิศิลายอมทำตาม เขาก็เหมือนถูกหวยอย่างไรอย่างนั้น
สุดท้าย…หลังจากนิ่งเงียบและมองอยู่พักหนึ่ง เสียงแค่นจมูกก็ดังขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อ จากนั้นยักษ์ศิลาก็ยกมือขวาขึ้นโบก…ไม่ได้โบกหัวหวังเป่าเล่อ แต่โบกถอนต้นไผ่ศิลาสามต้นออกจากดาวเคราะห์และส่งให้ชายหนุ่ม
เจ้าอู๋น้อยตาแทบถลนออกมาเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ก่อนจะหันมองชายหนุ่มด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจแต่ก็พยายามสงวนท่าที เขาคุมตั๊กแตนไปรับต้นไผ่ศิลา จากนั้นก็กุมหมัดโค้งคำนับ
“ขอขอบคุณท่านพี่! ศิษย์น้องขอตัวกลับก่อน!” หวังเป่าเล่อตัดสินใจไม่วัดดวงขอต้นไผ่ศิลาเพิ่ม เขาบังคับตั๊กแตนถอยกลับออกจากจักรพิภพของมนุษย์ศิลาอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มปล่อยเจ้าลาออกมาหลังจากเห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว เจ้าอู๋น้อยจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยความชื่นชม เด็กหนุ่มไม่ได้เชื่อเรื่องศิษย์พี่ที่อีกฝ่ายพูดถึงแม้แต่นิด ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อก็สามารถกุเรื่องขึ้นมาในช่วงเวลาคับขันและยังเอ่ยขอสิ่งมีค่ามาเป็นของที่ระลึกอีกด้วย ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงต้องยอมรับในความหาญกล้าของอีกฝ่าย
หวังเป่าเล่อเชิดหน้าขึ้น ไม่ได้สนใจสายตาของอู๋น้อย ถึงภายนอกจะดูสงบเสงี่ยม แต่ภายในเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา สัมผัสของความพึงพอใจไหลเวียนไปทั่วร่าง
ชื่อศิษย์พี่ช่างมีประโยชน์มากจริงๆ ชายหนุ่มคิดอย่างสุขใจ ขณะที่เจ้าอู๋น้อยกำลังจ้องมองมาด้วยความชื่นชม หวังเป่าเล่อก็โบกมือส่งตั๊กแตนพุ่งทะยานไปไกลด้วยความเร็วเต็มพิกัด
ระหว่างที่พวกเขาพุ่งออกจากจักรพิภพของมนุษย์ศิลา จักรพรรดิศิลายังคงยืนอยู่เคียงข้างดารานิรันดร์ หันมองหมู่ดาวไกลห่างออกไป ไล่สายตามองตามตั๊กแตนของหวังเป่าเล่อ ดวงตาฉายแววพินิจพิเคราะห์ราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงความคิด
มนุษย์ศิลาขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งหลายที่ไล่ตามหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ยืนอยู่เคียงข้างจักรพรรดิ ใบหน้าแอบแฝงไปด้วยความขุ่นเคือง มนุษย์ศิลาตนอื่นๆ ในตระกูลที่อยู่บนดาวเคราะห์ก็รู้สึกไม่ต่างกัน
ในสายตาพวกเขา ใครก็ตามที่เข้ามาในจักรพิภพและพยายามขโมยต้นไผ่ศิลาถือเป็นศัตรู ต้องจับกุมและนำมาเป็นของสังเวย นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่จักรพรรดิศิลาตัดสินใจปล่อยใครไป
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่สุด เขายังให้ต้นไผ่ศิลาที่ตระกูลดูแลมาอย่างดีไปถึงสามต้น รวมกับที่ถูกขุดขโมยไปก็เท่ากับเสียไปสี่ต้น ถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของอารยธรรม
จักรพรรดิศิลาสัมผัสได้ถึงความโกรธเคืองของทุกคน หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง สัมผัสสวรรค์ก็ระเบิดขึ้นในหัวมนุษย์ศิลาทุกตน
“ข้าไม่ได้แยแสเจ้านั่นและคำคุยโวของเขา ข้าไม่ได้ปักใจเชื่อว่าเฉินชิงผู้เป็นตำนานคนนั้นจะเป็นศิษย์พี่ของเขาจากเพียงคำพูด แต่…เจ้าหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา พลังของเด็กคนนั้น…บ่งบอกชัดเจนว่าเขาคือบุตรสายเลือดแท้ของอาณาจักรพิภพทมิฬ ข้าเคยพบพลังเช่นนี้มาหลายครั้ง ไม่มีทางที่ข้าจะระบุตัวตนเขาผิดไป…อาณาจักรพิภพทมิฬกำลังต่อสู้เพื่อเป็นอิสระจากตระกูลไม่รู้สิ้น จะเป็นการดีกว่าหากเราจะอยู่ให้ห่างคนระห่ำพวกนั้น!”
……………………………