หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 801 อย่าทำตัวให้เป็นจุดสนใจ!
- Home
- หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting
- บทที่ 801 อย่าทำตัวให้เป็นจุดสนใจ!
บทที่ 801 อย่าทำตัวให้เป็นจุดสนใจ!
“อาณาจักรพิภพทมิฬหรือ” สีหน้าของมนุษย์ศิลาขั้นจิตวิญญาณอมตะเปลี่ยนไปขณะสูดหายใจลึกหลังจากได้ยินสิ่งที่จักรพรรดิศิลากล่าว แม้พวกเขาจะเคารพยกย่องเฉินชิง แต่ก็คิดว่าบุคคลในตำนานเช่นนั้นอยู่ห่างไกลจากพวกตนและเลือกที่จะไม่เชื่อตามที่หวังเป่าเล่อพูด
แต่อาณาจักรพิภพนั้นต่างออกไป เป็นอาณาจักรใหญ่ที่นอกจากจะลือกันว่ามีตัวตนกล้าแกร่งระดับดาราจักรแล้ว ยังมีตัวตนระดับจักรวาลอยู่ด้วย ขณะเดียวกันจำนวนผู้ฝึกตนใต้บังคับบัญชาก็มีอยู่มาก จึงกล้าที่จะประกาศตัวเป็นอิสระจากการปกครองของตระกูลไม่รู้สิ้น แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในพละกำลังของตนเอง!
สิ่งสำคัญที่สุดคือ…น้ำเสียงหนักแน่นที่จักรพรรดิยืนยันว่าคนผู้นั้นคือสายเลือดแท้ของอาณาจักรพิภพทมิฬ แม้อาณาจักรพิภพทมิฬจะกว้างใหญ่ แต่กลับมีผู้สืบสกุลชายสายเลือดแท้เพียงไม่กี่คน อาณาจักรพิภพทมิฬจะต้องคลุ้มคลั่งขึ้นมาแน่หากรู้ว่าหนึ่งในนั้นตกอยู่ในอันตราย
ขณะกำลังสูดหายใจ เหล่ามนุษย์ศิลาขั้นจิตวิญญาณอมตะก็เลิกไม่พอใจ พวกเขารู้สึกโชคดีที่จักรพรรดิตื่นขึ้นมา มิเช่นนั้น ทั้งตระกูลคงพบกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่เป็นแน่
ระหว่างที่เหล่ามนุษย์ศิลากำลังถอนใจ ด้านนอกระบบดวงดาวของอาณาจักร ภายในเรือบินรบเวทครึ่งสมบูรณ์ ผู้สืบสกุลสายตรงของอาณาจักรพิภพทมิฬ…กำลังมองไปทางหวังเป่าเล่อด้วยสายตายำเกรง
“ท่านบิดา ท่านยอดเยี่ยมที่สุด!” เจ้าอู๋น้อยเอ่ยชมหวังเป่าเล่ออย่างจริงใจ ไม่ว่าตระกูลมนุษย์ศิลาจะคิดอย่างไร ตอนนั้นเขาคิดว่าตนเองจะต้องตายลงจริงๆ เสียแล้ว พอรอดชีวิตมาได้และนึกถึงการกระทำของหวังเป่าเล่อ เจ้าอู๋น้อยก็รู้สึกยกย่องชายหนุ่มมากขึ้นไปอีก
หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะที่กำลังเพลิดเพลินใจกับสายตายกย่องของเจ้าอู๋น้อย “หวังว่าเจ้าจะได้เรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ครั้งนี้บ้าง อย่าเที่ยวประกาศว่าตัวเองเป็นองค์ชาย ถ้าเจ้าพูดบ่อยคนอื่นจะเลิกเชื่อเช่นนั้น หากมีแค่ตัวเองที่เชื่อไปคนเดียวจะไม่น่าอับอายแย่หรือ”
“ผู้ที่มีความสามารถแท้จริงจะไม่อวดอ้าง เช่นตัวข้า เจ้าเคยเห็นข้าโอ้อวดภูมิหลังตนเองไหม มีแค่ยามจำเป็นเท่านั้นที่ข้าจะเผยตัวตน เขาเรียกว่าทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจ!”
“เข้าใจหรือไม่” หวังเป่าเล่อมองเจ้าอู๋น้อยด้วยแววตาลุ่มลึกที่ตนเองก็ไม่เข้าใจ เจ้าอู๋น้อยตัวสั่นเหมือนเห็นสายตาที่จ้องมา ราวกับว่าได้ตื่นรู้และเข้าใจหลักการบางอย่างในทันที
โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงตอนแรกที่ได้พบหลงหนานจื่อ ตอนนั้นเอง นอกจากสายตาของเด็กหนุ่มจะเต็มไปด้วยความยำเกรงแล้ว เขายังรู้สึกเลื่อมใสขึ้นมา หลงหนานจื่อพูดถูก ผู้เก่งกาจไม่จำเป็นต้องอวดอ้างตนเอง
“ขอบคุณ ท่านบิดา ข้าเข้าใจแล้ว!” อู๋น้อยพยักหน้ารัว รู้สึกว่าการได้เรียกบุคคลแกร่งกล้าว่าเป็นบิดาช่างเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เขาคิดว่าตนช่างโชคดีที่ได้พบหลงหนานจื่อ
หวังเป่าเล่อพึงพอใจเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นสายตาของเจ้าอู๋น้อย เขาแอบคิดว่าควรจะหาโอกาสให้เจ้าอู๋น้อยได้สัมผัสบทสวดแห่งเต๋า ถึงตอนนั้นเจ้าอู๋น้อยต้องยกย่องเขามากกว่าเดิมแน่นอน
ข้าช่างหล่อเหลาและโดดเด่น ทำอะไรก็มีคนมาตามเป็นข้ารับใช้ เห็นตัวข้าที่เป็นแบบนี้…แม้แต่ข้าก็นึกอิจฉาตัวเอง หลังจากถอนใจอยู่ภายใน เขาก็ปล่อยจ้าลา หลังจากนั้นก็สั่งการให้เรือบินรบเวทครึ่งสมบูรณ์เดินหน้าไปเรื่อยๆ ก่อนจะนั่งขัดขัดสมาธิ จัดแจงข้าวของที่ได้มาจากการเดินทาง
การเดินทางไปยังอารยธรรมมนุษย์ศิลาแม้จะน่ากลัวแต่ก็ไม่เป็นอันตราย พอได้เห็นข้าวของที่ได้มา หวังเป่าเล่อก็ใจเต้นรัว
ต้นไผ่ศิลาสี่ต้น! ชายหนุ่มเลียริมฝีปาก ดวงตาส่องแสงเป็นประกาย หลังจากประเมินมูลค่าของที่ได้มา เขาก็รู้สึกว่าแค่ต้นไผ่ศิลาสี่ต้นนี้ก็ถือว่าได้ทรัพยากรมาจำนวนมากแล้ว
ข้าจะมอบต้นหนึ่งให้แมลงปอยักษ์นี่… เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็ขยายดวงจิตไปรอบๆ เรือบินรบเวทครึ่งสมบูรณ์ที่ขโมยมา และคิดว่าเรียกมันว่าตั๊กแตนน่าจะเหมาะกว่า
เขาแยกส่วนต้นไผ่ศิลา โยนส่วนหนึ่งขึ้นไปและพูดขึ้น “เหลืองใหญ่ นี่ของเจ้า!”
เมื่อพูดจบ ผนังเรือบินรบเวทด้านบนก็เปิดเป็นรูกว้าง ก่อนจะปล่อยแรงสูบออกมาดูดต้นไผ่วิญญาณเข้าไป เรือบินรบเวทสั่นไหว ก่อนจะส่งข้อความมาแสดงความขอบคุณและความตื่นเต้นดีใจ
เสร็จจากนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา เขายกมือขวาสร้างผนึกฝ่ามือ คุมเรือบินรบเวทครึ่งสมบูรณ์ให้เร่งความเร็วพุ่งข้ามห้วงอวกาศไป
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า พ้นไปสามเดือน!
สามเดือนที่ผ่านมา หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าออกไปไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อยู่โข ขณะเดียวกัน หลังจากผ่านอารยธรรมมนุษย์ศิลามาได้ ดวงของเขาก็ดีขึ้น ทำให้ได้ทรัพยากรมามากมายในช่วงสามเดือนนี้
แม้ข้าวของที่ได้เพิ่มมาเรื่อยๆ จะเทียบชั้นกับสิ่งที่ได้จากอารยธรรมมนุษย์ศิลาไม่ได้เลยถึงจะนำมารวมกันแล้วก็ตาม แต่หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกสุขใจ ส่วนหนึ่งมาจากความพึงพอใจจากทรัพยากรทั้งหมดที่ได้มา อีกส่วนหนึ่งมาจากความรู้ที่เพิ่มพูนซึ่งทำให้ชายหนุ่มเข้าใจจักรวาลได้มากขึ้น
ในสามเดือนที่ผ่านมา เขาพบอารยธรรมเจ็ดถึงแปดแห่ง มีอารยธรรมห้าแห่งที่คล้ายคลึงโลก หากหวังเป่าเล่อไปด้วยความมุ่งร้ายก็คงจะสามารถถล่มอารยธรรมเหล่านั้นให้ล่มสลายลงได้
อีกสองแห่งแย่ยิ่งกว่า มีสภาพเหมือนสหพันธรัฐก่อนหน้ายุคกำเนิดวิญญาณ พลังปราณที่เปล่งออกมามีอยู่น้อยนิด หวังเป่าเล่อเพียงแค่ปรายตามอง เลือกที่จะไม่เข้าไปใกล้และจากไป
อารยธรรมดังกล่าวอาจมีมูลค่าในแง่โบราณคดี แต่ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย หากผู้ฝึกตนใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่มีปราณวิญญาณไม่มากพอ เขาจะรู้สึกอึดอัดเหมือนปลาขาดน้ำอย่างไรอย่างนั้น
ถึงเรื่องนี้จะไม่ส่งกระทบต่อชายหนุ่มมากนัก แต่เขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไป หลังจากใช้ดวงจิต ตรวจสอบอารยธรรมเหล่านั้น
นอกจากนี้ยังมีอารยธรรมอีกแห่งที่หวังเป่าเล่อเลือกไม่เข้าไปใกล้ เพราะหลังจากใช้เครื่องตรวจสอบของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เขาก็พบว่ามีตัวตนระดับดาวพระเคราะห์อยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดเข้าไปสำรวจอะไร ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเองได้ข้าวของมาเยอะแล้วและไม่ควรหาเรื่องใส่ตัวอีก
ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็คอยป้อนต้นไผ่ศิลาให้เรือบินรบเวทครึ่งสมบูรณ์ มันจึงพัฒนาไปมากในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา แม้จะยังไม่ถึงขั้นเป็นเรือบินรบเวทที่สามารถหลอมรวมกับชายหนุ่มได้ แต่พลังที่แผ่ออกมาก็มีระดับใกล้เคียงเรือบินรบเวทไม่น้อย
จากการคำนวณของชายหนุ่ม หากป้อนต้นไผ่ศิลาเรื่อยๆ อีกสักครึ่งต้น เจ้าเหลือใหญ่จะกลายเป็นเรือบินรบเวทที่แท้จริงอย่างแน่นอน!
น่าเสียดายที่ข้ายังไม่บรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะ…ถ้าบรรลุได้ และเมื่อมันพัฒนาไปเป็นเรือบินรบเวท ข้าก็จะสามารถเปลี่ยนมันให้เป็นชุดเกราะเวท และเพิ่มพลังการรบของข้าจนมีพลังเต็มที่เทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะสองคน! หวังเป่าเล่อรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เริ่มครุ่นคิดถึงการผสานเรือบินรบเวทเข้ากับเกราะจักรพรรดิ และลดข้อจำกัดในการใช้งานโดยไม่ส่งผลต่อความแข็งแกร่งในการต่อสู้
สัญชาตญาณบอกหวังเป่าเล่อว่าแนวคิดนี้มีความเป็นไปได้ ขณะที่กำลังจะเริ่มวิเคราะห์แนวคิดนี้ เรือบินรบเวทครึ่งสมบูรณ์ก็มาถึงระบบดวงดาวแห่งใหม่
จากการตรวจสอบไม่พบสีสันใดๆ ในระบบดวงดาวนี้ แต่ยิ่งเข็มทิศแสดงให้เห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อยิ่งรู้สึกระมัดระวังมากขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้ถอยกลับในทันที เพราะเข็มทิศระบุว่ามีทรัพยากรที่มีมูลค่าสำหรับชายหนุ่ม ทว่าก่อนที่จะเข้าไป เขาจะต้องตื่นตัวและเฝ้าระวังให้มาก
ทันทีที่หวังเป่าเล่อเข้าไปในระบบดวงดาว เขาก็รู้สึกราวกับว่าได้ทะลุผ่านเนื้อเยื่ออีกครั้งเหมือนตอนที่เข้าไปในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ครั้งแรก ชายหนุ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดทันใด รู้ว่าพื้นที่แห่งนี้แยกตัวออกมาจากภายนอก หลังจากขยายดวงจิตออกไปสำรวจรอบๆ สิ่งที่ได้เห็นและรู้สึกก็ทำให้ดวงตาของชายหนุ่มเบิกโพลงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
ที่แห่งนี้เป็นระบบดวงดาวที่พิเศษมาก เป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นมาก่อน อาจกล่าวได้ว่าเป็นการพลิกความเข้าใจเรื่องดาวเคราะห์ของเขาไปโดยสมบูรณ์
นั่นเพราะ…ในระบบดวงดาวนี้มีเถาไม้สีเขียวยาวสุดลูกหูลูกตาอยู่เถาหนึ่ง มีผลไม้ลูกกลมขึ้นอยู่บนเถาไม้ขนาดมหึมาที่เลื้อยไปทั่วระบบดวงดาว
ผลไม้นั้นมีอยู่หลายสิบลูก แต่ละลูก…ก็คือดาวเคราะห์!
ส่วนดารานิรันดร์…หรืออาจเรียกได้ว่า ตัวตนที่ครอบครองพลังระดับดารานิรันดร์อยู่ ก็คือเถาไม้ขนาดมหึมานั่นเอง มันให้พลังชีวิต ช่วยค้ำจุนดาวเคราะห์ และให้แสงสว่างไปทั่วทั้งระบบดวงดาว
ภาพเบื้องหน้าทำให้หวังเป่าเล่อสั่นเทิ้มไปถึงดวงวิญญาณ เจ้าอู๋น้อยที่อยู่ข้างๆ ก็เบิกตากว้างเช่นกัน เขาพูดขึ้นเสียงเบาด้วยความลังเลและแปลกใจเล็กน้อย
“ข้าว่าข้าเคยได้ยินเรื่องอารยธรรมเถาไม้ที่คล้ายคลึงกันนี้มาก่อน…”
หวังเป่าเล่อหันไปมองเจ้าอู๋น้อยด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เมื่อเห็นชายหนุ่มมองมา เจ้าอู๋น้อยก็ตื่นตัวและเริ่มครุ่นคิดอย่างหนัก ไม่นานดวงตาของเขาก็ส่องประกาย
“ท่านบิดา ข้าจำได้แล้ว ข้าเคยได้ยินใครสักคนบอกว่ามีอารยธรรมพเนจรลักษณะนี้อยู่ในอวกาศ ลักษณะเฉพาะของมันคือเป็นเถาไม้ อารยธรรมเหล่านี้ผู้หญิงเป็นใหญ่ คอยท่องไปทั่วจักรวาล ชอบแลกเปลี่ยนสารัตถะชีวิตกับเพศตรงข้าม…” พูดยังไม่ทันจบ เจ้าอู๋น้อยก็กะพริบตาและหยุดพูดไป
……………………….