หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 815 เจ้ากล้าด่าข้าหรือ
บทที่ 815 เจ้ากล้าด่าข้าหรือ
เสียงร้องนั้นดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว นกตัวนั้นสยายปีกบินขึ้นบนฟ้า ทำทีเป็นว่าตกใจจนต้องผวาบินขึ้นไป หลังจากที่ผละออกจากต้นไม้ มันก็ทำให้นกตัวอื่นๆ ในบริเวณนั้นตกใจไปตามๆ กัน นกจำนวนนับไม่ถ้วนพากันบินหนีไปหมด
“บัดซบ!” สีหน้าของบุรุษร่างกำยำเปลี่ยนไปทันที นัยน์ตาของเขาเบิกโพลงขณะเงยหน้าไปมองนกหวังเป่าเล่อ แม้จะมีจิตสังหารอยู่ในดวงตา แต่หัวใจเขาก็เริ่มโอดโอย เห็นได้ชัดว่ากระบวนท่าหลบซ่อนของเขามีขีดจำกัด และไม่สามารถใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานได้ ตอนนั้นเอง บุรุษในหน้ากากกระทิงก็พลิกตัวก่อนจะเร่งความเร็วหนีไป
แต่ก็สายเกินไป…ทันทีที่เสียงร้องดังลั่นของนกหวังเป่าเล่อกระจายไปทั่ว ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ห่างออกไปก็ได้ยิน ก่อนจะรีบเร่งความเร็วมุ่งมาตามเสียงทันควัน
ไม่นานนัก กลุ่มตระกูลไม่รู้สิ้นก็ตามบุรุษร่างกำยำทันและเริ่มต่อสู้กันเสียงดัง ขณะนี้บุรุษในหน้ากากกระทิงที่ทำตัวโอหังอยู่ก่อนหน้านี้เพราะคิดว่าตัวเองก็มีฝีมือพอตัวกำลังรับมือกับการโจมตีจากขั้นเชื่อมวิญญาณสามคน เขาทำได้แค่ปล่อยกระแสรบกวนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ออกมาเท่านั้น แต่ฝีมือการต่อสู้ของเขาก็ไม่ใช่ย่อยๆ บุรุษในหน้ากากกระทิงเพียงเสียเปรียบเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถสังหารผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นไปได้ห้าคนด้วยกัน
บุรุษร่างกำยำมีกลเม็ดเด็ดพรายมากมายและดูเหมือนว่าจะรอดชีวิตมาได้ด้วยการหยิบวัตถุเวทชิ้นเล็กชิ้นน้อยออกมาใช้ ในที่สุด เมื่อหยิบรูปปั้นออกมาและส่งให้มันระเบิดตัวเอง เขาก็หลุดออกจากวงล้อมและรีบหนีไปในทันที ต่อให้หวังเป่าเล่อไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่ด้วยลูกไม้ต่างๆ เหล่านี้ บุรุษในหน้ากากกระทิงก็คงหนีไปได้ด้วยตนเองอยู่ดี แต่เขาก็โชคไม่ดีนัก…
ขณะที่บุรุษร่างกำยำกำลังทิ้งห่างบรรดาผู้ที่ติดตามออกไปนั้น เขาก็ซ่อนตัวอีกครั้ง ทว่างูตัวหนึ่งกลับขู่ฟ่อไปยังตำแหน่งที่เขาซ่อนอยู่ราวกับมีใครสักคนไปรบกวนการหลับใหลของมัน
ผลของการที่งูส่งเสียงทำให้…กลุ่มผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นรู้ตัวอีกครั้งก่อนจะแห่กันมาในทันที
บุรุษร่างกำยำแทบจะสิ้นสติ เขารู้สึกว่าสถานการณ์นี้แปลกประหลาดเกินไป ดวงของเขาซวยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับว่าดาวเคราะห์ทั้งดวงต่อต้านเขา และทุกสิ่งทุกอย่างก็ต่อต้านเขาไปเสียหมด
บ้าบอสิ้นดี! บุรุษในหน้ากากกระทิงคำรามอยู่ในใจ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกัดฟันสู้ ในที่สุด หลังจากที่สังหารสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นไปจำนวนหนึ่ง ก็เหลือเพียงผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณสามคนเดิมอีกครั้ง บุรุษร่างกำยำสู้สุดใจแม้จะบาดเจ็บหนัก และกระอักเลือดออกมาเป็นระยะ เขาทำกระทั่งยอมใช้คำสาปในหน้ากากเพื่อลดระดับปราณของคู่ต่อสู้ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ลง หลังจากนั้นพักหนึ่ง บุรุษในหน้ากากกระทิงก็โยนกระดูกสีขาวออกมากองหนึ่ง กระดูกเหล่านั้นประสานตัวกันเป็นผนึก บุรุษร่างกำยำพลิกกลับมาได้เปรียบในการต่อสู้ก่อนจะหนีไปได้อีกครั้ง
เมื่อเขาออกมาจากบริเวณนั้นได้สำเร็จก็เตรียมจะเคลื่อนย้ายหนี แต่ผืนแผ่นดินบริเวณนั้นก็ถูกผนึกเอาไว้โดยตระกูลไม่รู้สิ้นตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เมื่อเคลื่อนย้ายไม่ได้ บุรุษร่างกำยำก็เห็นหนองน้ำที่ไม่มีต้นไม้ปกคลุม จึงดึงผ้าคลุมออกมาคลุมตัวเพื่อพรางตัว
เจ้านี่มีของเล่นเยอะเสียจริง หวังเป่าเล่อผู้ยืนอยู่บนกิ่งไม้ห่างออกไปเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายเมื่อบินร่อนไปลงใกล้ๆ
ขณะเดียวกัน ผนึกที่บุรุษร่างกำยำใช้กระดูกสีขาวสร้างขึ้นก็ถูกผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณของตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งสามคนทำลาย พวกเขาเพิ่งตระหนักได้ว่าบุรุษในหน้ากากกระทิงนั้นรับมือยากเอาการ ต่างคนก็ต่างทำหน้าเหยเกก่อนจะพุ่งตัวออกไปตามหาอีกฝ่ายต่อ ดูจากสายตาที่ดุร้ายของพวกเขาแล้ว คงไม่ยอมให้เรื่องนี้จบง่ายๆ เป็นแน่
เมื่อทั้งสามออกควานหาตัวอีกฝ่ายอีกครั้ง บุรุษร่างกำยำก็กลั้นหายใจก่อนจะขยับร่างกายอย่างระมัดระวัง เขาหวังจะฉวยโอกาสหลบหนีออกไปจากบริเวณนี้เพื่อจะได้เคลื่อนย้ายหนีได้
บุรุษในหน้ากากกระทิงค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังเพื่อหลบผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายของตระกูลไม่รู้สิ้นที่เพิ่งเหาะผ่านเขาไป แต่จู่ๆ เขาก็ยกขาขึ้นและหยุดค้างอยู่กลางอากาศเช่นนั้น… ที่ใต้เท้าเขานั้น มีกบสีดำคลานออกมาจากบึง ดวงตาเบิกโพลงของเจ้ากบจับจ้องไปที่บุรุษร่างกำยำไม่กะพริบ
บุรุษในหน้ากากกระทิงหัวใจแทบหยุดเต้น เขาอยากเหยียบเจ้ากบให้ตายคาเท้าไปเสีย แต่ก็ไม่กล้า เพราะผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสามยังคงค้นหาตัวเขาไปทั่ว อันที่จริงแล้ว ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ที่เขาโจมตีจนบาดเจ็บไปนั้นอยู่ห่างออกไปไม่ถึงสามสิบเมตร หากเขาตัดสินใจเหยียบกบก็ต้องถูกเจอตัวเป็นแน่
ยิ่งไปกว่านั้น ขณะนี้บุรุษร่างกำยำก็บาดเจ็บหนักเสียจนไม่อาจต่อสู้ได้อีก ทันทีที่ถูกพบตัว เขาคงต้องตายอย่างแน่นอน
แต่หากไม่เหยียบมัน…หัวใจของบุรุษในหน้ากากกระทิงเต้นโครมครามขึ้นมาอีกครั้ง ความจริง…เขามองเห็นจากสายตาของกบว่ามันเป็นอสูรกลายพันธุ์ และมันเองก็สังเกตเห็นเขาเช่นกัน
ดังนั้นบุรุษร่างกำยำจึงประกบมือเข้าหากันเพื่อขอร้องไม่ให้กบส่งเสียง ในขณะเดียวกันก็ค่อยๆ หยั่งเท้าไปวางตรงจุดอื่น
ทันทีที่เท้าแตะพื้น เจ้ากบก็อ้าปากและส่งเสียงร้องดังลั่นดึงดูดสายตาจำนวนมากให้มุ่งมา ตอนนั้นเองการพรางตัวของบุรุษร่างกำยำก็เกิดใช้ไม่ได้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น…
จึงเกิดการปะทะกันขึ้นอีกครา
“ว้ากกกกก!” บุรุษร่างกำยำส่งเสียงร้องดังลั่นไปถึงสวรรค์ เขาทั้งโกรธทั้งเจ็บใจ และความรู้สึกไม่ชอบมาพากลนี้ทำให้เขาสงสัยจนแทบคลั่ง อันที่จริงแล้ว…ไม่ใช่เขาคนเดียวที่รู้สึกว่าสถานการณ์นี้น่าสงสัย ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสามเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบุรุษในหน้ากากกระทิงบ้าง แต่พวกเขาก็เห็นว่าบุรุษผู้นี้ถูกอสูรพบเข้าทุกครั้งที่พยายามจะซ่อนตัว หากฉุกคิดสักนิดก็จะเห็นว่ามีบางอย่างแปลกๆ
ดังนั้น…แม้จะเหมือนว่าพวกเขากำลังต่อสู้กันอยู่ แต่ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสามต่างก็สู้ไประแวงสิ่งรอบข้างไป อันที่จริงแล้ว ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์เหล่านี้ได้เปิดแหวนสื่อสารและกำลังจะรายงานเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ
หวังเป่าเล่อมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้
ไม่สนุกอีกต่อไปแล้ว ขณะที่พึมพำอยู่ในใจ หวังเป่าเล่อก็หมุนตัวก่อนจะแปรสภาพเป็นหมอกพร้อมเสียงดัง “ฟุ่บ” ชายหนุ่มแพร่กระจายปกคลุมสิ่งรอบข้างเอาไว้ทันที เขาเข้าล้อมรอบกายผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นสองคนที่หน้าถอดสีและพร้อมจะล่าถอยเอาไว้ ส่วนผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ที่ถูกสาปอีกคนก็เกือบจะหนีจากเงื้อมมือของหมอกไปได้ แต่จู่ๆ ก็มีดวงตาสีดำปรากฏขึ้นภายในหมอกหวังเป่าเล่อ ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์จากตระกูลไม่รู้สิ้นไม่มีเวลากระทั่งจะได้ส่งข้อความเสียงหรือวิ่งหนีด้วยซ้ำ
ดวงตานั้นคือดวงตาปีศาจนั่นเอง!
ทันทีที่มันปรากฏ ร่างของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์แห่งตระกูลไม่รู้สิ้นก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ความคิดของเขาก็เหมือนจะหยุดนิ่งลงไป หากเขาไม่ได้บาดเจ็บมาก่อนหน้านี้ ก็คงสามารถต้านทานพลังนั้นและส่งข้อความเสียงหรือเคลื่อนย้ายหนีไปได้ แต่เพราะถูกสาปและบาดเจ็บหนัก เขาจึงไม่อาจต้านทานดวงตาปีศาจได้ ในขณะที่สายตาเริ่มพร่ามัวและความกลัวในใจระเบิดออกมา ร่างกายก็ถูกหมอกดูดซึมเข้าไป ก่อนที่โลกของเขาจะดำมืด แล้วเขาก็หลับใหลไปตลอดกาล
หลังจากที่สังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสามแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นได้ หมอกก็หดตัวลงกลับเป็นนกสีดำอีกครั้ง ก่อนจะบินมาเกาะศีรษะของบุรุษร่างกำยำ พลางจิกศีรษะเบาๆ แล้วกระแอมกระไอ
“เจ้าวัวน้อย เมื่อกี้นี้เจ้าด่าข้าหรือ”
ร่างกายของบุรุษร่างกำยำกระตุกเมื่อเข้าใจทุกอย่าง หลังจากที่ได้ยินเสียงของนกบนหัว ชายหนุ่มก็เข้าใจเหตุผลทุกอย่างและรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของนกตัวนี้
แม้เขาจะไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อแปลงกายได้อย่างไร แต่ฉากที่อีกฝ่ายกลายเป็นหมอกแล้วสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสามก็ทำเอาบุรุษในหน้ากากกระทิงตกตะลึง ยิ่งไปกว่านั้น อาการบาดเจ็บของเขาก็สาหัสเสียจนไม่อาจต่อสู้ได้อีก จะอยู่หรือตายก็เรียกได้ว่าอยู่ที่การตัดสินใจของหวังเป่าเล่อทั้งสิ้น
ผนวกกับความเจ็บปลาบตรงกะโหลก ทำให้บุรุษร่างกำยำถึงกับต้องก้มตัวร้องขอความเมตตา
“ศิษย์พี่ ข้าผิดไปแล้ว หากท่านยอมให้ข้ามีชีวิตรอด ข้าจะทำตามท่านทุกอย่าง ข้าจะยกทุกสิ่งที่มีให้ท่าน ขอเพียงท่านเมตตาข้าสักครั้ง!” บุรุษในหน้ากากกระทิงเองก็เป็นคนแน่วแน่ แม้ว่าจะตัวสั่นและตกใจกลัว แต่เขาก็โยนกระเป๋าคลังเก็บออกไปอย่างไม่รั้งรอ ตามมาด้วยกำไลคลังเก็บ กระทั่งเลิกเสื้อให้ดูว่าไม่ได้ซ่อนสิ่งใดไว้อีก
ความตรงไปตรงมาของอีกฝ่ายทำให้หวังเป่าเล่อค่อนข้างพอใจ ชายหนุ่มเดินไปดูกระเป๋าและกำไลคลังเก็บตรงหน้าของบุรุษหน้ากากกระทิง เมื่อเห็นวัตถุดิบจำนวนมากบวกกับวัตถุเวทเล็กน้อยภายใน เขาก็เริ่มสำรวจตรวจตราต่อ
สิ่งที่พบมีดังนี้ ใบไม้ที่ซ่อนรัศมีของผู้ใช้ได้อย่างสมบูรณ์แต่สามารถใช้ได้วันละครั้งเท่านั้น หวังเป่าเล่อถามเรื่องผ้าคลุมและสิ่งของอื่นๆ จนกระทั่งชายหนุ่มพบกล่องหยกกล่องหนึ่งในกำไลคลังเวท
กล่องหยกถูกผนึกอยู่และไม่สามารถเปิดได้ เมื่อหวังเป่าเล่อถาม บุรุษร่างกำยำก็ไม่กล้าปิดบัง จึงบอกทุกอย่างออกมาตามตรงว่า เขาได้กล่องนั้นมาโดยบังเอิญแต่เปิดไม่ออก บุรุษร่างกำยำคิดว่า มีเพียงพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะเท่านั้นที่จะเปิดกล่องได้
เมื่อเห็นว่าบุรุษร่างกำยำให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี หวังเป่าเล่อจึงเก็บของทั้งหมดไว้อย่างรื่นรมย์ใจ พลางคิดว่า เขาไม่ได้ทำให้ชีวิตของบุรุษร่างกำยำในหน้ากากกระทิงยากลำบากขึ้นแต่อย่างใด ชายหนุ่มจิกศีรษะอีกฝ่ายหนึ่งครั้งก่อนจะบินจากไป
…………………………