หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 841 สุสานหลวง!
ผลึกสีชาดสามพันผลึกนั้นแพงเหลือเชื่อสำหรับหวังเป่าเล่อ ทั้งตอนนี้และในอดีต อันที่จริงแล้ว หากบอกราคานี้ออกไป ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะก็คงต้องคลั่งไปตามๆ กัน
แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ก็ยังต้องหวั่นไหว นั่นจึงเป็นเหตุให้หวังเป่าเล่อปฏิเสธเซี่ยไห่หยางไปก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มคิดว่าเซี่ยไห่หยางพยายามขูดเลือดขูดเนื้อตน แต่ตอนนี้ หวังเป่าเล่อคิดว่าโอกาสการได้บรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะนั้น หากเทียบกับทรัพย์สินเล็กน้อยเช่นผลึกสีชาดสามพันผลึกก็นับว่าคุ้มค่า!
เมื่อข้าบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะเมื่อใด ข้าก็จะสามารถต่อกรกับกูโม่ได้หากมีคำสาปของหน้ากากช่วย… แม้อาจจะเห็นได้ชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้ชนะ แต่ข้าก็คงจะพอป้องกันตัวเองจากเขาได้บ้าง! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ในใจพลางรอคอยคำตอบจากเซี่ยไห่หยาง
สิบห้านาทีต่อมา น้ำเสียงแปลกใจของเซี่ยไห่หยางก็ดังมาจากอีกฟากหนึ่งของแผ่นหยกสื่อสาร
“ศิษย์พี่เป่าเล่อหรือ ฮะฮ่า ในที่สุดเจ้าก็ติดต่อข้ามาจนได้ พวกเรานั้นอย่างไรก็เสมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน ข้าจะโกงเจ้าได้อย่างไรเล่า ข้าจะบอกให้ เคล็ดลับของข้านี้มีโอกาสที่จะช่วยให้เจ้าบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ แต่ต้องขอเตือนเอาไว้ก่อนเลย ว่ามันเป็นเพียงโอกาสเท่านั้น เจ้าจะคว้าเอาไว้ได้หรือไม่…ก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง
“แน่นอนว่า หากเจ้าอยากจะจ่ายผลึกสีชาดเพิ่มอีกสักหน่อย ข้าก็จะพยายามหาช่องทางแล้วส่งโอกาสนั้นไปให้เจ้าโดยตรง ทุกอย่างนี้สามารถพูดคุยกันได้”
หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงความลิงโลดใจของเซี่ยไห่หยางผ่านแผ่นหยก หลังจากที่บ่นอุบอยู่ในใจ หวังเป่าเล่อก็ถามราคาที่ต้องจ่ายเพื่อจะได้โอกาสนั้นเอาไว้ในกำมือ
“ห้าหมื่นผลึกสีชาด!”
เซี่ยไห่หยางกระฉับกระเฉงขึ้นทันตาพลางพูดด้วยน้ำเสียงคาดหวัง
บัดซบ…เมื่อได้ยินราคานั้น คำนี้ก็เป็นคำเดียวที่ปรากฏขึ้นในใจหวังเป่าเล่อ ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มยังคิดว่าเซี่ยไห่หยางช่างเป็นพ่อค้าหน้าเลือดเสียจริง เขาได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในอกก่อนจะกล่าวว่า “ตกลง ข้าจะขอติดเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน”
“ฮะฮ่า อย่าล้อข้าเล่นเลย ศิษย์พี่เป่าเล่อ ขอให้ข้าได้บอกเคล็ดลับราคาสามพันผลึกกับเจ้าก่อน” เซี่ยไห่หยางกระแอมกระไอ เลี่ยงที่จะตอบประเด็นก่อนหน้า ก่อนจะเริ่มพูดเรื่องเคล็ดลับที่ว่า
“ว่าไปสิ” หวังเป่าเล่อพูดด้วยความรู้สึกรำคาญใจ
“ข้าเกรงว่า…เจ้าคงต้องจ่ายเงินต้นมาก่อน” เซี่ยไห่หยางรีรอ
“ศิษย์น้องไห่หยาง! เจ้าไม่เชื่อใจข้ากระนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อกำแผ่นหยกสื่อสารแน่นพลางพูดเน้นทุกถ้อยคำ
“อ่า…ก็ได้ๆ ไหนๆ เจ้าก็ติดต่อข้ามาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงที่เจ้ามี ข้าจะไม่ปิดเจ้าอีกต่อไป เจ้าไม่ต้องจ่ายก่อนก็ได้ ข้าจะบอกแหล่งที่มาของโอกาสนั้นให้” เซี่ยไห่หยางถอนหายใจ
“มีคนไม่กี่คนในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ของเจ้าที่ล่วงรู้เรื่องนี้ จะว่าไปอาจมีเพียงราชวงศ์เท่านั้นกระมัง ข้อมูลนี้นับเป็นความลับที่รู้กับแค่ในแวดวงเท่านั้น”
“เป็นเพราะว่า เคล็ดลับนี้พูดถึงสุสานราชวงศ์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!” เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เซี่ยไห่หยางก็จงใจลดเสียงลงเพื่อเพิ่มความลึกลับเข้าไป
“สุสานหรือ” หวังเป่าเล่อนิ่งขึง
“ใช่แล้ว สถานที่ฝังศพราชนิกูลทุกหมู่เหล่า ตั้งแต่ผู้ก่อตั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นต้นมา ที่รู้จักกันในนามจักรพรรดิพระองค์แรกแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ จนกระทั่งถึงจักรพรรดิพระองค์ก่อน”
“ภายในสุสานหลวงนั้นคือโอกาสที่เจ้าตามหา มันเป็นที่ต้องการของราชวงศ์แห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์รุ่นก่อนๆ แต่พวกเขาก็ยังคว้าเอามาครองไม่ได้ หากเจ้าสามารถทำได้ ข้าขอรับรองว่าเจ้าจะต้องบรรลุไปสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ทันทีอย่างแน่นอน!” เซี่ยไห่หยางพูดไปแล้วจู่ๆ ก็หยุด กระดกลิ้นหนึ่งครั้ง ก่อนจะหยุดพูดไปโดยปริยาย
หวังเป่าเล่อรออยู่ครู่หนึ่ง หลังจากที่เห็นว่าอีกฝ่ายหยุดพูดไปจริงๆ ชายหนุ่มก็รู้ว่าเซี่ยไห่หยางต้องการเงินต้น หวังเป่าเล่อกัดฟันก่อนจะถามว่า “ข้าจะจ่ายผลึกให้เจ้าได้ทางใดบ้าง”
“เจ้าเพียงแค่วางผลึกลงบนแผ่นหยกเคลื่อนย้ายเท่านั้น แต่เจ้าพูดอะไรกันศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าจะไม่ไว้ใจเจ้าและอยากให้เจ้าจ่ายเงินต้นมาให้ขณะที่กำลังให้ข้อมูลเจ้าได้อย่างไรกัน ที่ข้าหยุดพูดไปเพราะมีธุระสำคัญจะต้องไปสะสางเท่านั้น” เซี่ยไห่หยางพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองใจเล็กน้อย
หวังเป่าเล่อคร้านเกินจะใส่ใจ ชายหนุ่มเพียงแต่หยิบผลึกสีชาดออกมาแล้วส่งไปให้อีกฝ่ายสามพันก้อนตามตกลง
“เจ้าช่วยเล่าต่อได้หรือยัง” เมื่อชำระเงินเสร็จ หวังเป่าเล่อก็พูดต่ออย่างใจเย็น
“ฮะฮะฮ่า ศิษย์พี่เป่าเล่อ เจ้าช่างเถรตรงเสียจริง ไม่ต้องห่วงไป จากตอนนี้จนถึงเมื่อข้าพูดจบ ข้าจะนับว่าผู้ที่ขัดคอข้าเป็นศัตรูทุกคนไป ข้าจะตั้งสมาธิอยู่กับเจ้าตลอดช่วงเวลานี้” แม้จะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่เซี่ยไห่หยางก็เริ่มจริงจังมากขึ้น แถมยังพูดจาออดอ้อนทันทีก่อนจะเล่าทุกสิ่งที่เขารู้ให้หวังเป่าเล่อฟัง
“สุสานหลวงเป็นอาณาเขตหวงห้ามของราชวงศ์แห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ สถานที่นั้นมีพลังเทพแห่งสายโลหิต แปลว่าจะไม่ต้อนรับผู้ที่ไม่มีเลือดขัตติยะเด็ดขาด ดังนั้น หากเจ้าเข้าไปแล้ว ศิษย์พี่เป่าเล่อ เจ้าจะต้องรู้สึกแน่นอนว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้อนรับ ราวกับว่าสุสานหลวงทั้งหมดรังเกียจเจ้าเสียเต็มประดา ฉะนั้นแล้ว เจ้าจะต้องว่องไว!
“อีกอย่างหลังจากที่เข้าไปแล้ว ยิ่งเข้าไปลึกเท่าใด การต่อต้านนั้นก็จะยิ่งรุนแรงเท่านั้น ในส่วนที่ลึกที่สุด ซึ่งเป็นบริเวณที่ตั้งของประตูเข้าสู่สุสานหลวงด้านใน แรงต่อต้านจะรุนแรงเสียจนน่าทึ่งทีเดียว ดังนั้น…ทันทีที่เจ้าก้าวเข้าไปในอาณาเขตหวงห้าม หรือบริเวณด้านนอกของสุสานหลวง เวลาจะเริ่มนับถอยหลัง เจ้ามีเวลาราวๆ สิบห้านาทีเท่านั้น ในทางทฤษฎีแล้ว เจ้าไม่มีทางไปถึงส่วนในของสุสานหลวงได้เลยเพราะเวลาเท่านั้นไม่พอแน่ๆ อีกทั้งเจ้ายังต้องการเวลาเพื่อจะปลดผนึกประตูหลักของสุสานหลวงอีก”
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็เลิกคิ้ว ภาพของสุสานหลวงปรากฏขึ้นมาในใจเขาเรียบร้อยจากคำอธิบายของเซี่ยไห่หยาง เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า สุสานหลวงแบ่งได้เป็นส่วนในและส่วนนอก โดยจุดศูนย์กลางของสุสานคือประตูทางเข้าหลัก
“แต่ศิษย์พี่เป่าเล่อ ไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารับผลึกสีชาดจากเจ้ามาแล้ว แต่ข้าไม่ได้จะขายให้แค่ข้อมูลเท่านั้นหรอกนะ โปรดนำแผ่นหยกสื่อสารที่ข้าให้ติดตัวไปด้วย และติดต่อมาหาข้าทันทีที่เจ้าผ่านส่วนนอกและเข้าไปใกล้ประตูหลักของสุสานหลวงได้ ข้าจะช่วยเคลื่อนย้ายเจ้าเข้าไป” น้ำเสียงของเซี่ยไห่หยางฟังดูมั่นอกมั่นใจ ราวกับว่าพึงพอใจกับการบริการของตนเสียเต็มประดา
“หลังจากที่เจ้าได้เคลื่อนย้ายเข้าไปยังส่วนด้านในของสุสานแล้ว เจ้าจะคว้าโอกาสมาได้ทันเวลาหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เมื่อพูดจบ แผ่นหยกสื่อสารก็เขย่าเบาๆ หวังเป่าเล่อส่งดวงจิตไปตรวจสอบดูด้วยความสงสัย แล้วจึงสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังแทรกจากบนแผ่นหยกสื่อสารนั้น วินาทีต่อมา แผนที่ของสุสานหลวงก็ปรากฏขึ้นในใจเขา
เหตุการณ์นี้ทำให้หวังเป่าเล่อต้องหรี่ตาลง หลังจากที่มองดูแผ่นหยกสื่อสารในมืออย่างถี่ถ้วน ชายหนุ่มก็หลับตาพิจารณาแผนที่อย่างตั้งใจ แม้ว่าแผนที่นั้นจะแตกต่างจากที่เขาจิตนาการไว้ไปบ้าง แต่ก็ยังคล้ายคลึงกันพอสมควร เป็นความจริงที่บริเวณนั้นถูกแบ่งเป็นส่วนด้านในและด้านนอก
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ นอกจากจะช่วยเหลือเจ้าในการเปิดประตูหลักของสุสานหลวงแล้ว ผลึกสีชาดสามพันชิ้นที่เจ้าจ่ายมายังครอบคลุมไปถึงบริการเคลื่อนย้ายไปกลับอีกสองครั้ง เมื่อเจ้าพร้อม ข้าก็จะส่งเจ้าไปยังด้านหน้าสุสานหลวงทันที!
“เช่นกัน หากเจ้าต้องการจะเดินออกมาจากบริเวณด้านใน เพียงกดใช้แผ่นหยก ข้าก็จะสามารถเคลื่อนย้ายเจ้ากลับมาที่เดิมได้ทันทีเช่นกัน!”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า ข้านี่พึ่งได้ใช่หรือไม่!” เซี่ยไห่หยางพูดต่อไปอย่างคึกคัก ส่วนของหวังเป่าเล่อนั้นไม่ได้ตอบคำ แต่กลับครุ่นคิดอย่างหนัก
ชายหนุ่มวิเคราะห์สถานการณ์ในใจอย่างถ้วนถี่ หลังจากผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมง ประกายแสงก็สว่างวาบขึ้นระหว่างดวงตาทั้งสองของหวังเป่าเล่อ
“เคลื่อนย้ายเดี๋ยวนี้!”
“ได้เลย!” เซี่ยไห่หยางหัวเราะก่อนจะใช้กระบวนท่าปริศนาออกมา ในอีกอึดใจเดียว ก็มีแสงสว่างเจิดจ้าระเบิดออกมาจากแผ่นหยกในมือของหวังเป่าเล่อ แสงนั้นกระจายออกไปและห้อมล้อมกายหวังเป่าเล่อเอาไว้ในพริบตาก่อนจะจางหายไป
ดูราวกับว่าเป็นช่วงเวลาครู่เดียวแต่ก็เหมือนผ่านไปเนิ่นนาน เมื่อสายตาของหวังเป่าเล่อกลับมามองเห็นอีกครั้ง เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ที่โลกใบใหม่แล้ว!
ท้องฟ้าเป็นสีแสด และแผ่นดินก็มีสีดำสนิท ห่างออกไป มีภูเขาและพื้นที่เขียวขจีมากมาย แต่ก็ยังมีสายลมสีดำที่พัดโชยเอากลิ่นสาปสางของความตายมาพร้อมกัน สายลมนั้นพัดมาจากทุกทิศทุกทางก่อนจะกรรโชกผ่านร่างของหนุ่มไป จากนั้นก็สลายตัวไปสิ้น ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกแปร่งและความหนาวเย็น!
ห่างออกไป มีเสาสูงใหญ่จำนวนหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ เสาเหล่านั้นดูราวกับว่ากำลังค้ำยันท้องฟ้าเอาไว้ไม่ให้ถล่มลงมา มีสายฟ้าสีดำสนิทที่ไหลไปมาอยู่บนเสา ส่งเสียงครั่นครืนพลางสั่นคลอนวิญญาณของสรรพชีวิตที่มองไปเห็น
สถานที่นั้น…ไม่ใช่ดาวเคราะห์ของกองทหารผ่าวิญญาณอีกต่อไป ทว่า…เป็นดาวเอกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ที่นี่คือสุสานหลวง อาณาเขตหวงห้ามภายในดินแดนปิดตายของราชวงศ์!
เมื่อมองไปยังสิ่งรอบข้าง หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจลึก ชายหนุ่มรู้สึกประทับใจพลังของเซี่ยไห่หยางอยู่ลึกๆ
ข้าจะทิ้งขว้างผลึกสีชาดสามพันชิ้นไม่ได้ โอกาสนี้…ข้าจะคว้ามันเอาไว้ให้จงได้! เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้ตัวว่าเวลามีจำกัด ชายหนุ่มพลิกกายโผทะยานไปอย่างไม่รอช้า เมื่อแผนที่ปรากฏขึ้นมาในใจ เขาก็เร่งความเร็วมุ่งหน้าไปยังประตูหลักของสุสานหลวงในทันที!
เมื่อหวังเป่าเล่อพุ่งทะยานออกไปนั้น จู่ๆ ชายหนุ่มก็หรี่ตาลง เงาของเขาหยุดเคลื่อนไหว หลังจากที่ใช้ประสาทสัมผัสลองควานไปรอบกาย ความเคลือบแคลงสงสัยก็ปรากฏขึ้นในดวงตา
มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล!
………………………