หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 842 เวลาเหมาะเหม็ง!
หวังเป่าเล่อเพิ่งจะมาปรากฏตัวภายในสุสานหลวงและกำลังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ในตอนนั้นเอง บนจักรพิภพที่ห่างไกลออกไปจากระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ ที่ชั้นบนสุดของร้านค้าหนึ่งในตลาดแห่งหนึ่ง เซี่ยไห่หยาง ผู้ซึ่งเพิ่งจะเคลื่อนย้ายหวังเป่าเล่อเสร็จสิ้นกำลังนั่งอยู่ เขาเอื้อมมือไปคว้าถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบ รอยยิ้มพาดผ่านบนใบหน้าขณะที่ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เซี่ยไห่หยางคนนี้เป็นบุรุษที่จะต้องทำงานให้ลุล่วงและลุล่วงไปด้วยดี ราคาสามพันผลึกสีชาดที่เจ้าจ่ายนั้น ไม่ใช่เพียงเพื่อข้อมูลทรงคุณค่า หรือการเปิดประตูให้ หรือกระทั่งการเคลื่อนย้ายเจ้าไปที่นั่น…แต่ยังรวมไปถึงการส่งเจ้าไปในเวลาที่เหมาะเหม็งอีกด้วย!
“และเวลา…เป็นสิ่งที่ล้ำค่าเหนืออื่นใด การที่เจ้าไปปรากฏตัวในตอนนี้จะทำให้เจ้าได้ข้อมูลบางอย่าง…และให้โอกาสเจ้าได้เปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างต่อไปในอนาคต”
“ในฐานะนักลงทุนของเจ้า ข้าได้ทำให้เจ้าไปหมดแล้ว!” เซี่ยไห่หยางยิ้มแล้ววางถ้วยชาลง
ในวินาทีนั้นเอง หวังเป่าเล่อกำลังลอยเท้งเต้งอยู่กลางอากาศภายในสุสานหลวงแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ประกายกล้าส่องสว่างอยู่ในแววตาขณะที่ชายหนุ่มกวาดตามองสิ่งรอบข้าง
เทพีแห่งโชคชะตาอำนวยพรให้ข้าแล้ว หวังเป่าเล่อคิดกับตนเองขณะที่มองไปรอบข้างอย่างเงียบงัน เซี่ยไห่หยางพูดอย่างมั่นใจว่าพลังการขวางกั้นอันรุนแรงนั้นจะรอหวังเป่าเล่ออยู่แน่นอน แต่คำเตือนนั้นขณะนี้ฟังดูเหมือนการพูดเกินจริง เมื่อชายหนุ่มเข้ามาอยู่ในสุสานนี้ เขากลับไม่รู้สึกถึงพลังใดๆ แม้สักนิด
หวังเป่าเล่อเข้าใจการที่พลังต่อต้านนั้นไม่ปรากฏ แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มสับสนคือความรู้สึกที่เขามีต่อสุสาน ในทุกๆ ใบหญ้า สรรพสัตว์ แม้กระทั่งในอากาศ…หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยและอบอุ่นอย่างไม่อาจอธิบายได้
ใบหญ้าบนท้องทุ่งตรงหน้าเขาโยกโอนอยู่ในสายลมราวกับว่ากำลังต้อนรับชายหนุ่มอย่างอบอุ่น สายลมหมุนวนอยู่ตรงเท้าเขาขณะที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ราวกับเป็นแท่นเหยียบที่ทำมาจากลม ราวกับว่าโลกนี้เป็นห่วงว่าหวังเป่าเล่อจะใช้พลังวิญญาณมากเกินไปกระนั้น
มีประกายแสงสะท้อนอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อขณะที่เขาทอดสายตาไปยังโลกเบื้องหน้า คำอธิบายที่เป็นไปได้อย่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาในใจ
หรือจะเป็นเพราะว่า…ข้าเป็นผู้ใช้วิชาดวงเนตรปีศาจ พวกมันจึงเข้าใจว่าข้าเป็นเชื้อพระวงศ์กระมัง หรืออาจเป็นเพราะ…การมีสายเลือดราชวงศ์ไม่เกี่ยวข้องเลยตั้งแต่ต้น ผู้ที่ฝึกวิชาดวงเนตรปีศาจทุกคนสามารถเข้ามาที่นี่ได้อยู่แล้ว หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าการคาดเดาของตนถูกต้อง
“แต่ทำไมข้าจึงยังมีความรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ กันนะ…” ความเคลือบแคลงสงสัยปรากฏขึ้นในแววตาของหวังเป่าเล่อขณะที่ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เขาก็กระโจนมาบนพื้นที่ที่มีหญ้าปกคลุม หวังเป่าเล่อจ้องมองใบหญ้าโบกไหวตามสายลม ก่อนจะหันไปมองต้นไม้ที่รายรอบ จนในที่สุด ชายหนุ่มก็เดินไปถึงต้นไม้ใหญ่ยักษ์ที่มีผลลูกเล็กๆ ห้อยอยู่บนกิ่ง เขายืนอยู่หน้าต้นไม้ก่อนจะพูดออกมา
“หากมีผลไม้ลูกใหญ่กว่านี้ก็คงจะดี”
ต้นไม้สั่นไหวทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดจบ ผลไม้ที่ห้อยอยู่บนกิ่งเหี่ยวแห้งไปทันตา มีเพียงลูกเดียว ลูกที่ห้อยอยู่ใกล้มือชายหนุ่มที่สุดเท่านั้นที่ยังคงอยู่ แทนที่จะหายไป ผลไม้นั้นกลับเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่วินาที มันก็โตจากขนาดเท่าเล็บมือจนใหญ่เท่ากำปั้น
หวังเป่าเล่อถึงกับผงะเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงตรงหน้า
อย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด มีบางอย่างผิดปรกติ แม้ว่าข้าจะเป็นผู้ฝึกวิชาดวงเนตรปีศาจ ก็ไม่ควรจะทำให้เกิดเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ได้ ประกายเย็นยะเยือกพาดผ่านดวงตาของหวังเป่าเล่อ ปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดทำเอาใจของหวังเป่าเล่อตื่นเต้น ชายหนุ่มพอจะมีความเข้าใจเรื่องนี้อยู่เลาๆ แต่เป็นความเข้าใจที่ผุดโผล่ขึ้นมาเพียงชั่วครู่ก่อนจะจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของจิตใจ เขาทำกระทั่งปิดบังความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยในใจไปเสียสิ้น หวังเป่าเล่อพยายามจะลบความคิดทุกสิ่งออกไปจากใจ เหลือเอาไว้เพียงใบหน้าเรียบเฉยเท่านั้น
กลับกัน ชายหนุ่มกระแอมกระไอ และปล่อยให้ความรู้สึกพึงใจนั้นไหลบ่าท่วมกายใจของตน ให้ความอบอุ่นมาจากภายใน
เทพีแห่งโชคชะตาต้องอำนวยพรให้ข้าด้วยตัวเองเป็นแน่แท้ หวังเป่าเล่อทอดถอนใจ ชายหนุ่มไม่อาจทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ เขาพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่ทำตัวเด่น แต่แล้วโชคชะตาก็ดูเหมือนจะตกหลุมรักเขาเข้าเสียได้ เทพีแห่งโชคชะตาได้ปรากฏตัวขึ้นและติดตามหวังเป่าเล่อไปในที่ต่างๆ ก่อนจะอำนวยพรให้เขาไม่ว่าเขาจะไปอยู่ที่ใดก็ตาม
ถ้าเป็นเช่นนั้น…กำหนดเวลาก็ไม่น่าจะมีผลกับข้าเช่นกัน…หวังเป่าเล่อยกมือตบท้องเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจแล้วจึงเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ชายหนุ่มเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วด้วยความช่วยเหลือจากลมที่ใต้ฝ่าเท้า สัมผัสเทพของเขาแผ่ออกไปขณะที่ตัวเขาเองพุ่งทะยานไปข้างหน้า
ในใจของหวังเป่าเล่อขณะนี้เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งผยอง มีความไม่แน่นอนเหลืออยู่บางๆ เท่านั้น ต่อให้มีใครสักคนสามารถอ่านใจชายหนุ่มได้ ก็คงไม่พบอะไรผิดปรกติ สิ่งที่แตกต่างกับฉากภายนอกที่มั่นใจและสงบ…ก็คือฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ในกายเขา ซึ่งถูกหล่อเลี้ยงอยู่ด้วยเปลวเพลิงดารานิรันดร์ ฝ่ามือนั้นพร้อมจะปลดปล่อยพลังออกมาทุกขณะจิต
แปลว่าแท้จริงแล้วหวังเป่าเล่อก็พร้อมต่อสู้…อยู่ลับๆ!
สถานะของชายหนุ่มในตอนนี้คล้ายคนที่เพิ่งจะสะกดจิตตนเองเสร็จ ในตอนนั้นเขาหลอกกระทั่งตนเอง เป็นวิธีเดียวที่จะเตรียมพร้อมต่อสู้อยู่เสมอโดยไม่แสดงความระแวดระวังออกมา อันที่จริงแล้ว ท่าทีที่หวังเป่าเล่อแสดงให้คนอื่นเห็นก็คือความมั่นอกมั่นใจจนเกินตัวนั่นเอง
หวังเป่าเล่อยังคงมีท่าทีหยิ่งผยองต่อไป พลางเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง สุสานหลวงกินพื้นที่มหาศาล ต่อให้วิ่งด้วยความเร็วเท่านี้ ชายหนุ่มก็ยังต้องใช้เวลาราวๆ ครึ่งชั่วโมงในการเดินทางไปจนทั่ว ถึงกระนั้น เพียงไม่กี่อึดใจตั้งแต่ที่เขาเริ่มเคลื่อนไหว หวังเป่าเล่อก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนประกายแสงแรงกล้าจะสะท้อนวูบอยู่ในแววตา เขาเอียงศีรษะไปทางขวาก่อนที่ร่างจะค่อยๆ พร่าเลือนและหายไปในพริบตา
เพียงยี่สิบวินาทีหลังจากที่หวังเป่าเล่อหายไป กลุ่มคนราวเจ็ดถึงแปดคนก็พุ่งทะยายออกมาจากทิศทางที่ชายหนุ่มมองไปเป็นครั้งสุดท้าย พวกเขาไม่ได้เคลื่อนที่เร็วนัก พลังวิญญาณที่ปล่อยออกมาก็อยู่ในขั้นจุติวิญญาณเท่านั้นทุกคนในกลุ่มต่างแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา ดวงตาของพวกเขาต่างส่องประกายด้วยความยโส มีรัศมีจางๆ ของวิชาดวงเนตรสวรรค์แผ่ออกมาจากตัวขณะที่วิ่งผ่านบริเวณที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัวเป็นครั้งสุดท้าย
ขณะที่ผู้ฝึกตนคนสุดท้ายวิ่งผ่านไป เศษเสี้ยวหมอกสีดำก็ปรากฏขึ้นบนไรผมของเขา ก่อนจะไถลผ่านไรผมเข้าไปในหูของผู้ฝึกตนวัยกลางคน ชายคนนั้นตัวสั่นขึ้นมาในทันใด อากาศรอบกายบิดเบี้ยวไปชั่วขณะ ไม่มีใครในกลุ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ
ไม่มีใครเบื้องหน้าผู้ฝึกตนวัยกลางคนสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ไม่มีใครเห็นการบิดเบี้ยวชั่วขณะซึ่งเป็นผลมาจากการที่หวังเป่าเล่อแปลงกายเป็นผู้ฝึกตนวัยกลางคนๆ นั้น ก่อนจะผนึกเจ้าของร่างแล้วขังเอาไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ
อีกทั้งชายหนุ่มยังค้นวิญญาณอย่างลวกๆ จนสำเร็จลุล่วงไปแล้วด้วย
ราชวงศ์หรือ…หวังเป่าเล่อในคราบผู้ฝึกตนวัยกลางคนเร่งฝีเท้าตามบรรดาผู้ฝึกตนเบื้องหน้าของเขาข้ามท้องฟ้าไป นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายแวววาวอยู่เงียบๆ การค้นวิญญาณทำให้เขารู้ว่าผู้ฝึกตนกลุ่มนี้มาจากราชวงศ์ ทั้งยังรู้อีกด้วยว่าพวกเขามาทำอะไรและจะทำสิ่งใดต่อไป
จักรพรรดิดวงเนตรสวรรค์องค์ปัจจุบันจะปลดผนึกประตูสู่สุสานหลวง ผู้ฝึกตนทุกคนจากราชวงศ์กำลังมุ่งหน้าไปยังสุสานหลวง น่าสนใจดีนี่ โอกาสทองที่เซี่ยไห่หยางมอบให้นี้ช่างดีเกินจริง…หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ผู้ฝึกตนคนที่ถูกชายหนุ่มค้นวิญญาณไปไม่รู้อะไรมากนัก เพราะเหตุนั้นหวังเป่าเล่อจึงรู้เรื่องต่างๆ เพียงผิวเผินเท่านั้น แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร เขาตามกลุ่มนั้นไปเงียบๆ ขณะที่ทุกคนพุ่งทะยานผ่านเขตสุสาน ครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเขาก็มาถึงใจกลางของสุสานหลวงเป็นที่เรียบร้อย!
หวังเป่าเล่อมองเห็นรูปปั้นขนาดมหึมาทั้งๆ ที่พวกเขายังอยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่ง รูปปั้นนั้นยืนตระหง่านเหนือพื้นดิน ลูกตาเพียงดวงเดียวมองลงต่ำจากใบหน้าที่ไม่มีองค์ประกอบอื่นใดอีก!
รูปปั้นนั้นทำมาจากศิลา ดวงเนตรปีศาจในกายหวังเป่าเล่อตื่นขึ้นโดยปราศจากคำสั่งจากหวังเป่าเล่อทันทีที่ชายหนุ่มมองไปยังดวงตาขนาดยักษ์ของรูปปั้น เขาต้องเก็บงำดวงเนตรปีศาจเอาไว้ด้วยความลำบากยากเย็น ไม่แสดงออกสิ่งใดมาทางสีหน้า ก่อนจะเดินตามกลุ่มผู้ฝึกตนกลุ่มเดิมต่อไป พวกเขาเดินเข้าไปใกล้รูปปั้นขึ้นทุกที
ที่นั่น…มีผู้ฝึกตนนับร้อยยืนเรียงรายอยู่แล้ว
เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกตนเหล่านั้นไม่ใช่ชาวบ้านร้านตลาด พวกเขายืนแยกกันเป็นสองกลุ่มอย่างชัดเจน กลุ่มหนึ่งยืนอยู่บริเวณรอบนอก มีอยู่ราวๆ สามสิบคน ทุกคนสวมเสื้อคลุมสีรุ้ง และมีหน้ากากสีม่วงปกปิดใบหน้าเอาไว้ รัศมีอันรุนแรงที่แผ่ออกมาจากกลุ่มนั้นมีเศษเสี้ยวของความบ้าคลั่งปะปนอยู่ ทุกคนมีระดับพลังปราณที่กล้าแข็งยิ่ง นอกเหนือไปจากผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณห้าคน หวังเป่าเล่อก็มองเห็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนหนึ่งในกลุ่มได้แทบจะทันที!
ผู้ฝึกตนในกลุ่มนั้นมีอย่างหนึ่งเหมือนกัน นั่นคือรัศมีของพวกเขามีโลหิตปะปนอยู่ หากมองดูใกล้ๆ ก็จะเห็นจี้หยกสีเลือดในมือของพวกเขาทุกคน!
รัศมีเปื้อนเลือดที่แผ่ออกมาจากจี้หยกนั้นเหมือนจะต่อต้านพลังการขับไล่ของสถานที่นี้ไว้ได้ประมาณหนึ่ง ส่งผลให้ไม่มีการขับไล่เกิดขึ้นในบริเวณนั้น
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงเมื่อเห็นภาพดังกล่าว จากนั้นจึงรีบหันกลับไปมองอีกกลุ่มหนึ่ง
อีกกลุ่มนั้นยืนอยู่ใกล้รูปปั้นมากกว่า ต่างก็สวมใส่เสื้อผ้าหรูหราและมีคลื่นพลังวิชาดวงเนตรสวรรค์แผ่ออกมาจากกาย เห็นได้ชัดว่าเป็นสมาชิกราชวงศ์ จากทั้งกลุ่มนั้น มีผู้ฝึกตนสี่คนที่มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งกว่าที่เหลือ
ทั้งสี่ต่างก็เป็นผู้อาวุโส สามจากสี่คนสวมเสื้อคลุมสีม่วงและดูเหมือนจะอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ แววตาของพวกเขาเย็นชา และต่างก็พากันจ้องมองชายชราในชุดสีเหลืองไม่วางตา บนศีรษะของผู้อาวุโสในชุดเหลืองมีมงกุฎวางอยู่ ชุดที่สวมทำให้ชายชราดูเหมือนเป็นจักรพรรดิหรืออะไรสักอย่างหนึ่ง
“ท่านพี่ผู้เป็นที่รักยิ่งของข้า นี่แปลว่า…ท่านจะไม่ทำอย่างนั้นหรือ” หนึ่งในสามผู้อาวุโสชุดม่วงเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น
ร่างคล้ายจักรพรรดิตัวสั่นเมื่อได้ยินเสียงนั้น เผยให้เห็นสีหน้าไร้ทางสู้ เขาจ้องมองผู้อาวุโสทั้งสามที่อยู่รอบกายด้วยความกลัวในแววตาก่อนจะเอ่ยอย่างขมขื่น “ข้าทำดีที่สุดแล้ว ข้าก็หวังว่าจะเปิดมันออกเช่นกัน…แต่เลือดของข้าไม่บริสุทธิ์พอที่จะปลดผนึกประตูได้ ต่อให้เจ้ากรอกโอสถสายโลหิตลงคอข้าไปก็ไร้ผล ข้าไม่มีทางทำได้แน่นอน”
……………………….