หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 862 สหายร่วมสำนักเต๋า!
ทันทีที่หวังเป่าเล่อออกคำสั่งไป นิ้วระดับดาวพระเคราะห์ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะเขาก็ส่องประกายสว่างจ้าออกมาทันที มันส่องประกายราวกับเป็นดวงตะวัน แสงสว่างไหลบ่าท่วมจักรวาล ส่งเอาแสงแรงกล้าเข้าไปทิ่มแทงลูกตาของผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะหรือต่ำกว่า ดวงตาของพวกเขาแสบร้อน วิสัยทัศน์พร่ามัว
หวังเป่าเล่อหล่อเลี้ยงนิ้วระดับดาวพระเคราะห์นี้มาเป็นเวลานานมาก มันติดไฟขึ้นมาทันทีที่ปล่อยพลังออกมา เป็นการเสริมความแข็งแกร่ง ความเจิดจ้าของแสง และพลังที่มันปล่อยออกมาในคราวเดียว
ก่อนที่ทุกคนจะกลับมามองเห็นอีกครั้ง นิ้วหักๆ นิ้วนั้นก็พุ่งออกไปราวกับเป็นดาวหาง เดินทางข้ามจักรวาลราวกับว่ากำลังไหลข้ามไป มันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนแทบไม่น่าเชื่อ มาปรากฏอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ระดับดาวพระเคราะห์ระหว่างปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และคู่ปรับของเขาจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
นิ้วนั้นเล็งเป้าไปยังผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและมุ่งตรงไปหาหน้าผากของอีกฝ่ายทันที ทุกสิ่งเกิดขึ้นในพริบตา ก่อนที่ผู้ฝึกตนรอบกายผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายจะทันเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องจากผู้อาวุโสและเสียงระเบิดที่ดังสนั่นก้องจักรวาล
สาเหตุของการกรีดร้องนั้นก็เพราะนิ้วหักๆ ระดับดาวพระเคราะห์นั่นเอง พลังระดับดาวพระเคราะห์ที่นิ้วนั้นมีช่างรุนแรงและเพิ่มพูนขึ้นเพราะการแผดเผาตนเอง ราวกับว่ามีคู่ต่อสู้ระดับดาวพระเคราะห์อีกคนแอบเข้ามาในการต่อสู้และลอบโจมตีพวกเขากระนั้น
พลังทำลายของการลอบโจมตีย่อมต้องน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่กำลังส่งเสียงกรีดร้องเริ่มขยับตัวอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะสร้างผนึกฝ่ามือเป็นชุดๆ และปล่อยพลังเทพออกมาพร้อมๆ กัน ประมุขสำนักของเขาก็กำลังขยับตัวเพื่อป้องกันไม่ได้การโจมตีนั้นมาโดนกาย แต่ก็ช้าเกินไป ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ย่อมไม่ยอมให้โอกาสทองนี้หลุดมือไป ชายวัยกลางคนปล่อยพลังปราณออกมาเต็มที่และเมินประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาปล่อยพลังปราณเต็มขั้นเข้าใส่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายทันที
ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายถูกต้อนจนมุม นิ้วหักๆ ระดับดาวพระเคราะห์ของหวังเป่าเล่อมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาในพริบตา แต่ชายชราก็ยังเป็นผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ การดูถูกความสามารถของเขาไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ ในวินาทีเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนั้น แววตาเปื้อนเลือดของผู้อาวุโสก็ปรากฏประกายแห่งความบ้าคลั่งและมุ่งมั่นขึ้นมา เขาตัดสินใจเรียกใช้ดาวเคราะห์ของตน แต่จะไม่เรียกกายมายาของดาวเคราะห์ออกมา เขา…จะเรียกร่างจริงของดาวเคราะห์ให้มาปรากฏ!
ดาวเคราะห์สีแดงฉานปรากฏออกมาจากกายผู้อาวุโส แม้จะมีขนาดเท่ากำปั้นแต่ก็เป็นดาวเคราะห์จริงๆ ภาพเงาอันยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นหลังผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย ทำให้ทุกคนบนสนามรบถึงกับตื่นตะลึง เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสตัดสินใจทุ่มทุกอย่างลงไปในการต่อสู้ครั้งนี้
ในการต่อสู้ระดับดาวพระเคราะห์ทั่วๆ ไป มากสุดผู้ที่ต่อสู้ก็เรียกเพียงกายมายาของดาวเคราะห์ของตนออกมาเท่านั้น พวกเขาจะเรียกร่างจริงดาวเคราะห์ออกมาก็ต่อเมื่อ…เป็นสถานการณ์ที่จะถึงชีวิต การต่อสู้กันของสามผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ดำเนินมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครในสามคนที่ต้องเรียกร่างจริงของดาวเคราะห์ของตนออกมา ทว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว…ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายรู้ดีว่าหากไม่ทำเช่นนั้น โอกาสรอดชีวิตของตนก็จะเท่ากับศูนย์!
ภัยถึงตายนั้นไม่ได้มาจากนิ้วหักๆ ระดับดาวพระเคราะห์ของหวังเป่าเล่อเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ด้วย ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอันบ้าคลั่ง ผู้อาวุโสก็ส่งดาวเคราะห์สีแดงของตนออกไปอย่างรวดเร็ว จักรวาลสั่นสะเทือนเมื่อดาวเคราะห์นั้นปะทะเข้ากับนิ้วที่หัก ก่อให้เกิดเสียงดังกึกก้อง
เกิดเสียงครืนดังสนั่นชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนกระจายออกไปทั่วจักรวาล นิ้วที่หักนั้นทรงพลังยิ่ง แต่การสวนกลับอย่างสิ้นหวังของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเองก็รุนแรงไม่น้อยเช่นกัน การปะทะกันของทั้งดาวเคราะห์และนิ้วที่หักส่งเอาคลื่นพลังวิญญาณไหลทะลักท่วมสนามรบ นิ้วที่หักบุบทลายก่อนจะสลายไปในพริบตา ทางด้านผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเองก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการตัดสินใจโจมตีกลับเช่นกัน!
ดาวเคราะห์สีแดงฉานสั่นไหวอย่างรุนแรงหลังจากที่นิ้วหักๆ นั้นสลายไปแล้ว เริ่มมีรอยร้าวปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของดวงดาวสีแดง แม้มันจะรอดมาได้แต่ก็เสียหายอย่างหนัก เศษดินและหินหลุดร่วงลงมาจากแผ่นเปลือกโลก ผู้อาวุโสมีเลือดซึมออกมาจากริมฝีปาก
การจู่โจมยังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านั้น ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์คำรามก่อนจะปลดปล่อยพลังปราณสูงสุดออกมาอีกครา ผมทั้งศีรษะที่เคยดกดำจู่ๆ ก็ขาวโพลนไปหมดในพริบตา และมีริ้วรอยปรากฏขึ้นบนใบหน้าด้วยเช่นกัน ดูเหมือนว่าเขาจะแก่ตัวลงอย่างก้าวกระโดด เป็นราคาที่ต้องจ่ายในการจะจับตัวประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เอาไว้แม้เพียงอึดใจ เพื่อซื้อโอกาสที่จะยกมือขวาของเขาชี้ไปใส่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายนั่นเอง!
มีรอยนิ้วมือขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นพร้อมเสียงกัมปนาทดังสนั่น ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายจ้องมองมันด้วยความหวาดผวาขณะที่รอยนิ้วมือนั้นค่อยๆ ร่วงลงมาก่อนจะตกลงไปบนดาวเคราะห์ของเขา
เกิดเสียงดังสนั่นจักรวาล และมีเสียงครืนลั่นสะท้อนไปทั่วทั้งบริเวณ ดาวเคราะห์สีแดงของผู้อาวุโสมือซ้ายไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป ในอีกอึดใจถัดมา…ดาวเคราะห์ดวงนั้นก็ถล่มลงทั้งหมด แตกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่กระเด็นกระดอนไปทั่วสนามรบ
ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายส่งเสียงกรีดร้องดังสนั่นเมื่อดาวเคราะห์แตกสลายไป ร่างกายของเขาเองก็ดูเหมือนว่าจะเหี่ยวและยุบเข้าไปในตัวตามดาวเคราะห์ของเขาไป เหมือนว่าร่างของชายชราเป็นลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมออกจนเกลี้ยง แต่แรงระเบิดที่เกิดขึ้นจากการแตกสลายของดาวเคราะห์ไม่อาจหยุดการโจมตีร่วมของหวังเป่าเล่อและปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ลงได้ ทั้งคู่ต่างก็มุ่งตรงเข้ามาหวังจะทำลายวิญญาณของผู้อาวุโสให้สิ้นไป และดูเหมือนว่าเกือบจะทำสำเร็จเสียด้วย แต่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็แข็งแกร่งใช่ย่อย ประกายแห่งความบ้าคลั่งสะท้อนอยู่บนดวงตาของชายชราเมื่อกายเนื้อของเขาระเบิด!
ชายชราใช้พลังที่เกิดจากการทำลายตนเองสะท้อนการโจมตีร่วมออกไป เพื่อซื้อเวลาให้วิญญาณของเขาได้มีโอกาสหนี ในวินาทีต่อมา วิญญาณของเขาก็ดิ้นหนีออกจากเงื้อมมือของความตายและรีบถอยหนีจากสนามรบไปอย่างลนลาน
“หลงหนานจื่อ!” วิญญาณของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายตะโกนด้วยความคั่งแค้นและเกลียดชัง ความเสียหายที่ตัวเขาได้รับนั้นหนักหนาอย่างชัดเจน ในขณะที่วิญญาณของเขายังอยู่เป็นตัวตน กายเนื้อของเขากลับถูกทำลายจนสิ้นซาก ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ…ดาวเคราะห์ของเขาถูกทำลาย ระดับปราณร่วงหล่นลงไปเพราะเหตุนั้น และชายชราก็ไม่อาจกลับขึ้นสู่ระดับดาวพระเคราะห์ได้อีกเป็นครั้งที่สอง!
ความเกลียดชังที่เขามีต่อหวังเป่าเล่อนั้นมากมายเกินจะวัด ชายชราย่อมไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มรอดไปได้แน่ หวังเป่าเล่อยืนอยู่ห่างออกไปขณะที่โทสะและความอาฆาตพยาบาทไหลบ่าเข้าท่วมจิตใจของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายเย็นยะเยือก จากนั้นก็มีบางสิ่งมาปรากฏอยู่เหนือศีรษะเขา…สิ่งนั้นก็คือ นิ้วหักๆ นิ้วที่สองนั่นเอง!
“ลองเรียกชื่อข้าอีกครั้งหนึ่งสิ ข้าขอท้าเจ้า”
เสียงกรีดร้องของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเงียบลงในบัดดล ชายชรารีบกดเอาความเกรี้ยวกราดและเกลียดชังในใจเอาไว้ แล้วล่าถอยไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันหลังกลับมามอง เขาหนีออกไปได้ไกลลิบภายในพริบตา ร่างกายที่พ่ายแพ้และน่าเวทนาของเขาช่างเป็นภาพที่บาดตายิ่ง
ผลกระทบจากการที่ดาวเคราะห์ของผู้อาวุโสถูกทำลายเริ่มจะแสดงออกมา คลื่นพลังวิญญาณอันรุนแรงพลุ่งพล่านขึ้นมาราวกับเป็นพายุยักษ์ก่อนจะกวาดไปทั่วจักรวาล มันดูราวจะสามารถพัดทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าให้ราบเป็นหน้ากลางไปในพริบตา สนามรบดูจะพร่ามัวลงไปในบัดดล ทั้งปรมาจารย์มหาทัณฑ์และประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ต้องล่าถอยไปให้พ้นระยะแรงระเบิดจากดาวเคราะห์ที่ถูกทำลาย ไม่มีทางที่พวกเขาจะต่อสู้กันได้ต่อ ทั้งคู่ต่างพยายามลดทอนพลังทำลายของแรงระเบิดที่มาจากดาวเคราะห์ของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่เพิ่งถูกทำลายไป
เพราะอย่างไรเสีย…ต่อให้พวกเขาสามารถรอดพ้นจากแรงระเบิดไปได้ แต่ผู้ฝึกตนราวร้อยละเก้าสิบบนสนามรบก็คงไม่อาจรอดตาย หากพวกเขาปล่อยให้แรงระเบิดนั้นกวาดไปทั่วสนามรบได้ตามอำเภอใจ
ความเสียหายอันใหญ่หลวงขนาดนั้นเป็นสิ่งที่ผู้นำของทั้งสองฝ่ายไม่อาจยอมรับได้ ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พาศิษย์ในสำนักมาร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น สำนักของเขาเป็นเพียงหนึ่งในสำนักที่เข้าร่วมการรุกราน จะเป็นการดีที่สุดหากพวกเขาชนะตั้งแต่การโจมตีระลอกแรก แต่ชายชราก็ไม่ต้องการได้รับชัยชนะหากต้องจ่ายด้วยชีวิตจำนวนมหาศาลของฝ่ายตนเอง
สายฟ้าฟาดส่งเสียงดังสนั่นสะท้อนไปทั่วสนามรบ เมื่อผู้นำทั้งสองต่างก็ล่าถอยไปพลางและพยายามลดแรงกระแทกที่กำลังกระจายไปทั่วจักรวาลไปพลาง
ตอนนั้นเองคนอื่นๆ ก็เพิ่งจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจน สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือร่างอันพร่าเลือนของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่กำลังหนีออกจากสนามรบไปไกลลิบ
ความหวาดกลัวกระจายไปทั่วกองกำลังสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ คลื่นความตื่นตะลึงท่วมท้นขึ้นภายในใจ จนเกิดเป็นความโกลาหลขึ้นในหมู่ผู้ฝึกตนทันที ทุกคนเริ่มล่าถอยตามสัญชาติญาณ
“ผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย…”
“ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายพ่ายแพ้อย่างนั้นหรือ”
“ดูศิลาสีแดงพวกนั้นสิ…สวรรค์ นั่นคือร่างดาวเคราะห์ของเขาหรือ”
ผู้ฝึกตนสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ต่างก็ตะลึงด้วยความหวาดกลัวเช่นกัน แต่เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายถูกรุกราน ความตื่นตกใจจึงผสมปนเปไปกับความตื่นเต้นอย่างหนัก พวกเขาเดินหน้าใส่คนของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังถอยหนีอย่างไม่เกรงกลัว
กระแสของการรบเปลี่ยนไปในบัดดล ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด นัยน์ตาแดงฉานจ้องเขม็งไปยังปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และหวังเป่าเล่อตาไม่กะพริบ ก่อนจะหรี่ลงเมื่อมองไปเห็นนิ้วหักๆ ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของชายหนุ่ม ประมุขสำนักรีบข่มใจเก็บโทสะและความบ้าคลั่งภายในเอาไว้ ก่อนจะสะบัดข้อมือ เรียกพายุใหญ่ที่ดึงเอากองกำลังที่เหลืออยู่ของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ให้ถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว
ความพยายามในการรุกรานระลอกแรกของอารยธรรมครามทองคำ…ล้มเหลว แถมพวกเขายังเผชิญกับความสูญเสียอย่างหนักอีกด้วย!
สาเหตุของความพ่ายแพ้นั้นมาจาก…การที่หวังเป่าเล่อเข้ามาร่วมศึกด้วย!
ผู้ฝึกตนจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไม่ยอมให้คนของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หนีไปได้ง่ายๆ พวกเขาพากันต่อสู้กับศัตรูอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งเมื่อประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ใช้พลังเทพพาสมาชิกสำนักทุกคนหนีไปได้ เมื่อนั้นบรรดาผู้ต่อต้านจึงได้หยุดต่อสู้ ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเสียงไชโยโห่ร้องดังก้องสนามรบ เสียงนั้นมาจากบรรดาผู้คนที่รอดพ้นเงื้อมมือของพญามัจจุราชมาได้นั่นเอง
ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ผู้ที่ต่อสู้อย่างสุดแรงมาโดยตลอดพยายามอย่างหนักที่จะไม่แสดงอาการอ่อนแอออกมาให้เห็น ชายวัยกลางคนเหลือบมองหวังเป่าเล่อ ก่อนจะกลืนเลือดอึกใหญ่ที่คั่งค้างอยู่ในปากอย่างไม่แสดงสีหน้าใดๆ และยิ้มออกมาอย่างจริงใจ จากนั้นก็หันไปโค้งคำนับต่ำให้หวังเป่าเล่อต่อหน้าบรรดาศิษย์ ไม่สนใจยศถาหรือระดับปราณใดๆ แม้แต่น้อย
“ขอขอบคุณสหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อสำหรับความช่วยเหลือ! ทั้งตัวข้าและสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เป็นหนี้ท่านครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก!”
หากเป็นในอดีต เขาคงไม่เรียกหลงหนานจื่อว่าสหายร่วมสำนักเต๋า
คงไม่กระทำตนเหมือนว่าหลงหนานจื่อนั้นเป็นผู้เท่าเทียม
ความเปลี่ยนแปลงในน้ำเสียงและท่าทางนั้น…แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกภายในของชายวัยกลางคนที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง!
……………………………