หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 876 ความคิดที่ซ่อนอยู่!
การสังหารกับการจับกุมนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงสำหรับหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้ดีว่าอารยธรรมครามทองคำไม่ได้สนใจสามสำนักใหญ่เป็นสำคัญ แต่สนใจเรื่องทางเข้าสุสานดวงดารามากกว่า ตราบใดที่ชายหนุ่มไม่ไปทำลายแผนนั้น เรื่องอื่นๆ ก็สามารถต่อรองได้เมื่อเขาจับตัวอีกฝ่ายได้
วิธีการนั้นยังถือว่าละมุนละม่อม แม้ว่าจะดูเสี่ยง แต่หากกระทำอย่างระมัดระวังและขัดขวางการเคลื่อนย้ายระลอกที่สองได้ มันก็มีโอกาสสำเร็จค่อนข้างสูง
แต่หากหวังเป่าเล่อสังหารพวกเขาแล้วล่ะก็…
การสังหารหมู่เชื้อพระวงศ์ก็เหมือนเป็นการทำลายแผนของอารยธรรมครามทองคำ ตัวข้าถูกเปิดโปงไปแล้วเพราะเหตุการณ์ที่สุสานหลวง เป็นไปได้มากว่าพวกมันกำลังหมายตาข้าอยู่ นี่ขนาดยังไม่ได้คิดเรื่องที่ว่าข้าไม่รู้เรื่องเครื่องหมายตำแหน่งนะ หวังเป่าเล่อคิดในใจ ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยปากพูดเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นมุมปากของปรมาจารย์มหาทัณฑ์กระตุก หลังจากมองเห็นรอยยิ้มลุ่มลึกของอีกฝ่าย หัวใจของหวังเป่าเล่อก็เต้นโครมครามขึ้นมา
เจ้าจิ้งจอกเฒ่า เขาทดสอบข้าอยู่นั่นเอง! หวังเป่าเล่อเข้าใจแล้วว่าตนเองติดกับ เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์ล่วงรู้ข้อตกลงเรื่องสุสานดวงดาราระหว่างอารยธรรมครามทองคำกับราชวงศ์ ในขณะเดียวกัน เขาก็สงสัยหวังเป่าเล่อ จึงใช้คำว่า ‘ฆ่า’ เพื่อทดสอบปฏิกิริยาของชายหนุ่ม!
หากหวังเป่าเล่อเห็นด้วย ก็แปลว่าเขาไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับราชวงศ์ แต่อาการอึกอักและหยุดคิดของชายหนุ่มเมื่อครู่เท่ากับเป็นการบอกปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไปตรงๆ ว่าหวังเป่าเล่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในสุสานหลวง แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้ตั้งใจปกปิด แต่การถูกจับได้ก็ทำให้หวังเป่าเล่อลำบากใจอย่างยิ่ง
เหมือนว่าทุกสิ่งที่เขาพูดในวันนี้ก็เพื่อจะขุดเอาคำตอบออกมาจากปากข้า! หวังเป่าเล่อส่งเสียงคำรามอยู่ในใจ
ปรมาจารย์มหาทัณฑ์มองเห็นความฉุนเฉียวของหวังเป่าเล่อก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อย ในเมื่อเขาไม่ได้ซ่อนรอยยิ้มเมื่อครู่ ชายวัยกลางคนจึงไม่มีความจำเป็นต้องทดสอบหวังเป่าเล่ออีกต่อไป เขาพูดออกมาอย่างแช่มช้า
“การสังหารเชื้อพระวงศ์ทุกคนยังมีประโยชน์อยู่อีกข้อหนึ่ง นั่นคือสิทธิ์ในการควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์…อาจจะตกอยู่ในมือเจ้าก็เป็นได้!” เมื่อพูดจบ นัยน์ตาของปรมาจารย์ก็หรี่ลงเล็กน้อยขณะที่เฝ้ามองหวังเป่าเล่อเขม็ง ราวกับว่าเรื่องนี้สำคัญยิ่งสำหรับชายวัยกลางคนผู้นี้
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงคิดว่าเรื่องนี้สำคัญ ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์เป็นเสมือนวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขนาดมหึมา เมื่อใดก็ตามที่ได้สิทธิ์ในการควบคุมวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายนี้ สามสำนักใหญ่ก็จะสามารถบุกหรือถอยได้อย่างคล่องตัวในการรบ พวกเขาสามารถควบคุมไม่ให้ศัตรูเคลื่อนย้ายเข้ามา และสามารถเคลื่อนย้ายหนีการติดตามของศัตรูได้หากต้องการ อันที่จริงแล้ว พลังของการเคลื่อนย้ายนั้นอาจเคลื่อนย้ายดาวเคราะห์หลายดวงพร้อมๆ กันได้หากว่าใช้งานได้อย่างถูกต้อง
ความคิดเหล่านี้ปรากฏขึ้นในใจหวังเป่าเล่อพร้อมๆ กัน ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็อยู่ในสภาวะมึนงงเพราะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดปรมาจารย์จึงต้องทดสอบเขา ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะสิทธิ์ในการควบคุมดารานิรันดร์นั่นเอง
หวังเป่าเล่อทำได้แค่ถอนใจอยู่เงียบๆ เขาต้องยอมรับว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์นั้นเจ้าเล่ห์เป็นอย่างยิ่ง แถมยังคิดเรื่องต่างๆ ออกมาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ช่างเป็นคนที่น่ากลัวยิ่งนัก!
เพราะการควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์นั้นเป็นเพียงการคาดเดาของหวังเป่าเล่อเท่านั้น ชายหนุ่มคิดว่าเขาน่าจะทำได้ แต่ก็ไม่เคยได้ทดลองมาก่อน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าผิดบังไปอย่างไรก็คงไม่มีผล จึงกล่าวออกมาอย่างใจเย็น
“ข้ารับรองเรื่องนั้นไม่ได้ แต่ในเมื่อเรามาถึงจุดนี้กันแล้ว ข้าขอสนับสนุนการรบในครั้งนี้!”
ปรมาจารย์มหาทัณฑ์จ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างล้ำลึก ราวกับว่ากำลังวิเคราะห์ความจริงใจในถ้อยคำของชายหนุ่ม สีหน้าที่ชายวัยกลางคนแสดงออกมาก็ไม่ต่างจากสิ่งที่คิด แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ทันสังเกตเห็น แต่สิ่งที่ปรมาจารย์หมายตาเอาไว้ในใจนั้นไม่ใช่สิทธิ์การควบคุมดารานิรันดร์แต่อย่างใด!
ไม่มีใครรู้ว่าชายวัยกลางคนคิดสิ่งใดอยู่นอกจากตัวเขาเอง ดังนั้นหลังจากที่จ้องมองจนแน่ใจว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้ล่วงรู้ถึงแผนการของตน ปรมาจารย์ก็หยิบแผ่นหยกออกมาติดต่อไปยังปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำทันที ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังพูดคุยถึงคำตอบที่รีดออกมาจากหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อยืนอยู่ข้างหนึ่งและกำลังคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ชายหนุ่มไม่เคยตกเป็นฝ่ายตั้งรับในสงครามน้ำลายมาก่อน ดังนั้นเขาจึงต้องกลับมาวิเคราะห์ว่าสถานการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
แต่หวังเป่าเล่อก็วิเคราะห์อยู่ได้ไม่นานก่อนที่ปรมาจารย์จะวางแผ่นหยกลง เมื่อชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมา ความเด็ดเดี่ยวและแข็งกร้าวก็สะท้อนอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย
“สหายร่วมสำนักเต๋าหลงน้อย ไม่ว่าเจ้าจะสามารถควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ได้หรือไม่ เราก็จำเป็นต้องใช้มันในสงครามที่กำลังจะมาถึง เมื่อถึงเวลา สมาชิกทุกคนของสองสำนักใหญ่จะเคลื่อนย้ายออกไป ข้าจะนำกำลังของเราร่วมกับปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเพื่อดึงความสนใจจากกำลังหลักของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ เจ้าจะยอมนำกลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์จากทั้งสองสำนักเพื่อไปทำภารกิจยึดครองดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ให้สำเร็จลุล่วงอย่างเต็มกำลังหรือไม่”
“หากเจ้าตกลง เรื่องนี้ก็ต้องทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในอีกสามวัน…การรบจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง!” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์สูดลมหายใจเข้าลึก และเมื่อชายวัยกลางคนจ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาของเขาก็เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ เขาพูดว่าให้ทำภารกิจอย่างเต็มกำลังแต่ไม่ได้บอกให้ชัดว่าให้สังหารหรือจับกุม เป็นนัยว่าให้หวังเป่าเล่อตัดสินใจได้ด้วยตนเอง
วิธีนี้เหมือนเป็นการแสดงความจริงใจออกมา หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง แม้ว่าชายหนุ่มก็เป็นฝ่ายตั้งรับในวันนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร สถานการณ์ก็เป็นไปตามแผนของเขาแทบทั้งหมด ดังนั้นนัยน์ตาของชายหนุ่มจึงส่องประกายขณะที่เขาผงกศีรษะรับทราบก่อนจะจากมา
หลังจากกลับถึงบ้าน หวังเป่าเล่อก็ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ ขณะที่ทั้งสำนักกำลังเตรียมตัวทำสงคราม ชายหนุ่มก็ยังครุ่นคิดเรื่องที่ตนได้ไปทำสงครามน้ำลายกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์มา
จากการวิเคราะห์ของเขา ตั้งแต่ต้นจนจบนั้นดูเหมือนไม่มีอะไรมากมาย แต่ในไม่ช้า นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็เบิกโพลง ลมหายใจขาดช่วง
ไม่ใช่แน่!
ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าช่วยเหลือสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ สัญญาณที่ข้าแสดงออกไปก็ชัดเจนมากอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นหุ่นเชิดสิบสองจักรพรรดิ ดวงวิญญาณจำนวนมาก หรือเคล็ดวิชาการฝึกปราณของข้า…ข้าไม่ได้คิดจะแอบซ่อนหรือถึงอยากทำก็คงทำไม่ได้ ดังนั้นปรมาจารย์มหาทัณฑ์จึงไม่มีความจำเป็นต้องทดสอบข้าแม้แต่น้อย!
เช่นนั้นแล้วเขาจะยังทดสอบข้าไปทำไมกัน เพียงเพื่อจะพิสูจน์ว่าข้ามีสิทธิ์ในการควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์หรือไม่น่ะหรือ หรือว่า….เป็นเพราะเหตุอื่น
หวังเป่าเล่อรู้สึกว่ามีบางอย่างในการกระทำของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ที่น่าสงสัย และสัญชาตญาณของชายหนุ่มก็บอกเขาว่าปรมาจารย์เหมือนจะตั้งใจมาก่อกวนความคิดของเขา ชายวัยกลางคนทำให้เขาฟุ้งซ่านและมองไม่เห็นเป้าหมายที่แท้จริง เพื่อเป็นการซ่อนจุดประสงค์หลักเอาไว้
แต่ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะครุ่นคิดเพียงใดก็ไม่อาจหาคำตอบพบ ชายหนุ่มตอนนี้เริ่มระวังตัวแจ และเวลาก็ผ่านไปเช่นนั้นสามวัน
สำหรับอารยธรรมอื่น การเตรียมการรบในสามวันอาจเร่งรีบเกินไป แต่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มีความเชี่ยวชาญในการออกปล้นเช่นโจรอยู่แล้ว พวกเขาจึงค่อนข้างถนัดเรื่องการเคลื่อนย้าย ดังนั้นหลังจากที่ปรมาจารย์ทั้งสองออกคำสั่ง สำนักทั้งสองก็เริ่มลงมือทำงานทันที
สามวันผ่านไป ทุกคนก็มุ่งหน้าตรงไปยังดารานิรันดร์ราวกับเป็นผึ้งแตกรัง!
หากมองจากที่ไกลๆ ก็จะเห็นผู้ฝึกตนในกองทัพยืนเรียงรายพร้อมรับคำสั่งอยู่บนดารานิรันดร์ หวังเป่าเล่อเองก็อยู่ในนั้นด้วย ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิงอยู่ในเรือบินรบเวทในกระเป๋าคลังเก็บของชายหนุ่ม
ตอนที่กองทัพเปิดใช้งานวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายจำนวนมาก ลำแสงเคลื่อนย้ายก็แผ่กระจายเต็มท้องฟ้าดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ แสงนั้นห้อมล้อมโลกตรงหน้าหวังเป่าเล่อรวมถึงดวงจันทร์บริวารในบริเวณนั้นเอาไว้ในพริบตา จักรวาลที่รายล้อมอยู่นั้นเต็มไปด้วยเรือบินรบพิเศษ จุดประสงค์ของเรือบินรบเหล่านี้คือการเผาตนเองเพื่อเพิ่มพลังการเคลื่อนย้ายให้ไปถึงจุดสูงสุด เพราะปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่เพียงต้องการเคลื่อนย้ายกองทัพเท่านั้น แต่ยังต้องการเคลื่อนย้าย…ดาวเคราะห์มหาทัณฑ์และดวงจันทร์บริวารทั้งเจ็ดไปด้วย!
ดวงจันทร์บริวารทุกดวงเปรียบดั่งปราการศึก การนำดวงจันทร์เหล่านี้มาใช้ในการต่อสู้ก็เหมือนเป็นสัญญาณว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์กำลังเอาจริง!
ขณะที่เกิดเสียงครืนดังสนั่น และบรรดาเรือบินรบที่รายล้อมดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ส่องแสงสว่างเจิดจ้าออกมา คลื่นพลังเคลื่อนย้ายก็กระจายปกคลุมทั่วพื้นที่ หากมองจากที่ไกลๆ ก็ดูเหมือนมีแสงสว่างแปลกประหลาดปกคลุมดาวเคราะห์มหาทัณฑ์เอาไว้จนทั่ว ราวกับว่ามีมือยักษ์ที่สร้างจากแสงปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าและกวาดดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ให้ออกจากตำแหน่งเดิมในจักรวาลไป ขณะที่แสงยังส่องสว่างและเสียงยังดังสนั่นอยู่นั้น ดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ ดวงจันทร์บริวาร และกองทัพผู้ฝึกตนก็หายไปในพริบตา
เหลือเพียง…เศษซากเรือบินรบที่พังทลายลงหลังจากปล่อยพลังเสริมการเคลื่อนย้าย เพราะเมื่อดาวเคราะห์มหาทัณฑ์หายไป ซากเรือบินรบก็ถูกดึงมารวมกันอยู่ตรงกลาง
ในเวลาเดียวกันนั้น เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันก็กำลังเกิดขึ้นที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเช่นกัน ปรมาจารย์เต๋าใหม่ครามทองคำตัดสินใจเช่นเดียวกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ดาวเคราะห์ของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเองก็ถูกเคลื่อนย้ายไปเช่นกัน อึดใจต่อมา…ในอาณาเขตสาธารณะของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และในอีกสถานที่หนึ่งซึ่งไม่ไกลจากดารานิรันดร์เท่าใดนัก ก็ปรากฏแสงสว่างขึ้น สำนักใหญ่ทั้งสองมาปรากฏตัวแทบจะพร้อมๆ กัน!
ผู้ฝึกตนจำนวนนับล้าน มีขั้นเชื่อมวิญญาณหลักร้อย ขั้นจิตวิญญาณอมตะหลักสิบ และปรมาจารย์สองคนมาตรึงกำลังกันอยู่ที่นั่น พวกเขาเองก็ถือว่าทรงพลังในระดับหนึ่ง แต่หากเทียบกับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ยังถือว่าห่างไกลนัก
แต่เรื่องที่น่ายินดีก็คือ…ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายบาดเจ็บนัก แม้จะฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ระดับปราณก็ร่วงหล่นจากระดับดาวพระเคราะห์ ถึงจะมีวิธีเพิ่มพลังปราณขึ้นมาได้ชั่วคราว แต่พลังที่เพิ่มขึ้นมานั้นก็ไม่อาจคงอยู่ได้ตลอดไป อย่างมากชายชราก็คงได้พลังยุทธ์กลับคืนมาครึ่งหนึ่งของระดับดาวพระเคราะห์ทั่วไปเท่านั้น
สำหรับผู้อาวุโสฝ่ายขวา แม้เขาจะเจ็บไม่หนักแต่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพเต็มร้อย ดังนั้นจากการวิเคราะห์ของปรมาจารย์มหาทัณฑ์และปรมาจารย์เต๋าใหม่ครามทองคำ พวกเขาจึงยังมีโอกาสชนะได้
อีกทั้งภารกิจของพวกเขาไม่ใช่การสู้ถวายหัวกับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หากแต่เป็น…การถ่วงเวลาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อซื้อเวลาให้กลุ่มของหวังเป่าเล่อ เพราะพวกเขาเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จดอกสำคัญ
ดังนั้นหลังจากที่สองสำนักมารวมตัวกันเรียบร้อย ปรมาจารย์มหาทัณฑ์และปรมาจารย์เต๋าใหม่ครามทองคำก็ก้าวออกมาและมองหน้ากัน ก่อนจะหันไปมองหวังเป่าเล่อที่อยู่ในหมู่ทหารพร้อมๆ กัน
สายตาของคนทั้งสามมาบรรจบกัน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ พวกเขาจึงไม่ได้ใช้ดวงจิตเทพหรือพูดจากัน ทั้งสามเพียงแค่ถอนสายตาออกจากกัน จากนั้นปรมาจารย์มหาทัณฑ์และปรมาจารย์เต๋าใหม่ครามทองคำก็พุ่งตัวออกไปราวกับเป็นปลายกระบี่ นำกำลังร่วมของสองสำนักมุ่งตรงไปยัง…ดารานิรันดร์!