หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 900 ถูกไล่ทัน...
พลังของเกราะมหาจักรพรรดิของหวังเป่าเล่อกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แล้ว และอาการบาดเจ็บของเขาก็หายไปหมดสิ้น ในส่วนของพลังปราณนั้น…ก็ระเบิดออกมาในวินาทีนั้นเอง ขณะที่ร่างกายของชายหนุ่มสั่นสะท้าน ก็มีเสียงคล้ายกระจกแตกดังขึ้นในใจเขา จากนั้นพลังมหาศาลที่มากมายกว่าพลังเดิมก็ระอุขึ้นมาในกาย หลังจากที่พลังดังกล่าวไหลล้นไปทั่วกายในพริบตา รัศมีที่มันสร้างขึ้นมาก็รุนแรงกว่าที่หวังเป่าเล่อเคยปล่อยออกมาก่อนหน้านี้มาก
ชายหนุ่มบรรลุขั้นปราณในบัดดล จากขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายสู่…ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์!
สิ่งนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสุดจะควบคุม นัยน์ตาของชายหนุ่มฉายแสงกล้า เขากำลังจะพายต่อเพื่อดูว่าจะสามารถทำให้พลังปราณมั่นคงกว่านี้ได้สักหน่อยหรือไม่ เมื่อกระดาษรูปมนุษย์ที่ยืนอยู่ข้างกายยกมือขวาขึ้น
ความหมายของการยกมือขวาขึ้นนั้นชัดเจน มันต้องการให้หวังเป่าเล่อคืนใบพายกระดาษให้
หวังเป่าเล่อชะงักไปชั่วอึดใจ ชายหนุ่มถามออกมาอย่างเจียมตัวหลังกะพริบตาปริบ
“เอ่อ…ศิษย์พี่ไม่อยากพักอีกสักหน่อยหรือ ข้ายังพายไหว!” ขณะที่พูดไปหวังเป่าเล่อก็ยกใบพายขึ้นแจวครั้งหนึ่ง
“เห็นไหมศิษย์พี่ ทักษะการพายเรือของข้าไม่แย่เลยใช่หรือไม่” หวังเป่าเล่อค้นพบว่ามีแสงประหลาดสะท้อนอยู่ในแววตาของกระดาษรูปมนุษย์ ก่อนที่ชายหนุ่มจะตัวสั่นเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่อยากทิ้งโอกาสนี้ไป หวังเป่าเล่อจึงกัดฟันยิ้มอย่างจริงใจไปก่อนจะจ้วงพายอีกครั้ง
หลังจากจ้วงพายลงไปครั้งนี้ จู่ๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าร่างของตนเองนั้นเย็นขึ้นมาเล็กน้อย ความรู้สึกเย็นยะเยือกส่งผ่านมาจากกระดาษรูปมนุษย์ตัวนั้น แน่นอนว่าสายตาของผู้ถูกเลือกราวสามสิบคนในห้องโดยสารก็มองมาอย่างไม่เป็นมิตรอยู่โดยตลอด พวกเขาอิจฉาริษยา ไม่ว่าจะโจ่งแจ้งหรือลับๆ และทุกคนต่างก็ดูเหมือนอยากให้หวังเป่าเล่อไสหัวไปเต็มแก่แล้ว
ความคิดเช่นนั้นธรรมดายิ่ง เป็นสภาวะที่เรียกว่าตัวจะไม่ได้สิ่งใดแล้ว ก็ย่อมไม่อยากให้คนอื่นได้สิ่งนั้นเช่นกัน
แต่สำหรับหวังเป่าเล่อ คนพวกนี้เป็นเพียงกลุ่มคนโง่เขลาเท่านั้น ชายหนุ่มไม่สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย ภายใต้ความหนาวเย็นนั้น หวังเป่าเล่อกำลังชั่งใจอย่างหนัก แต่เพราะชายหนุ่มเป็นคนที่กล้าหาญและเข้มงวดกับตนเอง เขาจึงแค่นยิ้มออกมาและคงท่าทีจริงใจเอาไว้ อันที่จริงแล้ว หวังเป่าเล่อขณะนี้ดูเหมือนว่ากำลังประจบประแจงเจ้ากระดาษรูปมนุษย์อยู่ก็ไม่ปาน
“ไอ้หยะ ศิษย์พี่ เมื่อครู่นี้ข้าพายไม่ดีเลย ได้โปรดช่วยแก้ไขท่าทางของข้าทีเถิด ช่วยบอกข้าว่าจะพัฒนาตนเองได้อย่างไร” ขณะที่พูดไป หวังเป่าเล่อก็กัดฟัน ชายหนุ่มส่งเสียงคำรามอยู่ในใจ และคิดอยู่ว่าผู้ที่กล้าหาญย่อมต้องสู้จนตัวตาย ฉะนั้น หวังเป่าเล่อจึงจ้วงพายไปอีกครั้งหนึ่ง แต่ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะจ้วงพายลงไปอีกครั้งนั้น…ประกายกล้าในตาของกระดาษรูปมนุษย์ก็ระเบิดออกมา มันยกมือขวาขึ้น ทันใดนั้น คลื่นพลังอันมหาศาลก็กระจายออกมาตรงหน้าหวังเป่าเล่อราวกับเป็นพายุและพัดพาร่างของชายหนุ่มกระเด็นออกไปจากเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทันที…
หวังเป่าเล่อพยายามจะขัดขืนพลางครุ่นคิดว่าจะร้องตะโกน แต่ทุกสิ่งก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลันเสียจนร่างกายของเขากระเด็นออกมาก่อนจะทันได้พูดอะไร…
ส่วนใบพายกระดาษก็ลอยกลับเข้าไปอยู่ในมือของกระดาษรูปมนุษย์อีกครั้ง เมื่อมันคว้าใบพายมาได้ มันก็เลิกสนใจหวังเป่าเล่ออย่างสิ้นเชิง กระดาษรูปมนุษย์กลับไปยืนอยู่ที่เดิมเหมือนตอนที่ได้พบหวังเป่าเล่อครั้งแรก ก่อนจะใช้ใบพายแจวเอื่อยๆ จากไป
เมื่อเห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็วิตกขึ้นมาทันที ชายหนุ่มไม่อยากทิ้งโอกาสที่การพายเรือได้มอบให้ก่อนหน้านี้ ดังนั้นเขาจึงพลิกกายหนึ่งครั้งก่อนพุ่งตัวไล่ตามและส่งเสียงร้องตะโกนออกมา
“ศิษย์พี่ โปรดรอก่อน ข้าผิดไปแล้ว ให้โอกาสข้าอีกครั้งเถิด”
“ศิษย์พี่ ข้าต้องการขึ้นเรือ” หวังเป่าเล่อเร่งความเร็วเต็มที่และใช้พลังทุกหยดในการตะโกนสุดเสียง แต่กระดาษรูปมนุษย์บนเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เมินเขาเสียอย่างนั้น เรือลำนั้นแล่นห่างออกไปทุกทีๆ หวังเป่าเล่อมองเห็นรางๆ ว่าบรรดาผู้ถูกเลือกบนเรือหันหน้ามามองเขาพร้อมๆ กัน มีสีหน้าดีใจฉาบอยู่บนใบหน้าของทุกคน
แววตาพวกนั้นทำให้หวังเป่าเล่อไม่สบอารมณ์อยู่ในใจ ชายหนุ่มรู้สึกว่าคนพวกนั้นใจแคบเกินไป เมื่อพวกเขาไม่ได้รับโอกาส พวกเขาก็ไม่ต้องการให้คนอื่นได้รับด้วย ขณะที่เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล่นผ่านไป มันก็พร่าเลือนขึ้นทุกขณะ หวังเป่าเล่อไล่ตามไปได้ระยะหนึ่ง จนกระทั่งต้องถอนหายใจออกมาในที่สุด เขาทำได้เพียงเฝ้ามองตาละห้อยไปยังทิศทางที่เรือแล่นลับตาไป
ข้าจะขอแจวอีกไม่กี่ครั้ง ไม่ได้จะทำใบพายกระดาษหักเสียหน่อย…ตอนที่ข้าไม่ยอมขึ้นเรือแต่แรก เจ้าก็กลับมาหลายต่อหลายครั้งเพื่อชวนข้าขึ้นเรือ จนในที่สุด เจ้าถึงกับลักพาตัวข้าขึ้นไป…แต่ตอนนี้ จะมาเฉดหัวส่งข้าอย่างนี้หรือ ยิ่งหวังเป่าเล่อคิดเรื่องนี้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งหงุดหงิดใจขึ้นเท่านั้น แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงได้แต่ทอดถอนใจ
ก็แล้วแต่ ข้าเป็นคนใจกว้าง และจะไม่มามัวจมจ่อมกับเรื่องนี้ หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นตบท้องเบาๆ และสัมผัสได้ถึงพลังปราณระดับจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ ชายหนุ่มกลับมามีความสุขอีกครั้ง แม้ว่าจะรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างก็ตาม
เขาไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเพราะโอกาสจบลง แต่หวังเป่าเล่อรู้สึกไม่พอใจกับ…ท้องของตนเอง
ข้าผอมเกินไปแล้ว รู้สึกไม่เหมือนเดิมเลย หวังเป่าเล่อก้มศีรษะลงหยิกกล้ามท้องเป็นลอนอย่างรุนแรง ก่อนจะควบคุมให้สารัตถะก่อตัวเป็นชั้นไขมันมาปกคลุมท้องเอาไว้ ทำให้ท้องของเขาบวมออกมา เมื่อนั้นเองชายหนุ่มจึงรู้สึกสบายใจอีกครั้ง
แต่เรือลำนั้น…ข้าได้ยินเจ้าพวกคนใจแคบเรียกมันว่า…เรือดาวตก…ทูตดาวตกหรือ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง คนเหล่านั้นล้วนพูดภาษาของตระกูลไม่รู้สิ้น หวังเป่าเล่อไม่แปลกใจเลย เพราะตอนนี้เขาอยู่ในดาราจักรไม่รู้สิ้น ฉะนั้น ภาษาของตระกูลไม่รู้สิ้นย่อมเป็นภาษาทางการ
หากคิดในแง่นี้ เป็นไปได้ไหมว่าเรือและกระดาษรูปมนุษย์มีความเกี่ยวข้องกับสุสานดวงดารา เรือกำลังมารับคนที่มีสิทธิ์เพื่อพาเข้าไปยังสุสานดวงดารา นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ข้อมูลที่เขามียังไม่ครบถ้วน ทำให้ยากต่อการหาคำตอบที่แม่นยำ แต่หากคิดตามเบาะแสเหล่านี้ ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าการคาดเดาของเขาอาจจะถูกต้อง
หากการคาดคะเนของข้าถูกต้อง…หรือว่ากระดาษรูปมนุษย์ในแหวนคลังเก็บของข้าก็เคยเป็นทูตดาวตกและมาจาก…สุสานดวงดาราเช่นกัน หวังเป่าเล่อก้มศีรษะลงมองกระเป๋าคลังเก็บ ก่อนจะหรี่ตาลงเมื่อเรียกดวงจิตเทพไปตรวจสอบ
ข้าลืมผนึกมันอีกแล้ว! สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไป ก่อนจะรีบผนึกแหวนคลังเก็บทันที หลังจากนั้นจึงเงยศีรษะขึ้นมองดูสิ่งรอบข้างอย่างระแวดระวัง
เห็นได้ชัดว่า เพราะหวังเป่าเล่อถูกบังคับขึ้นเรือและได้รับโอกาสมา เขาจึงไม่มีเวลาผนึกแหวนและลืมเรื่องผนึกของแหวนไปเสียสนิท แม้ว่าเขาจะเพิ่งมาผนึกมันตอนนี้ หวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าแหวนคลังเก็บนั้นเปิดตัวเองขึ้นมาหลายต่อหลายหนตลอดการเดินทาง และตำแหน่งของเขาก็คงถูกเปิดเผยเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มอาจกำลังตกเป็นเหยื่อการไล่ล่าอยู่ก็เป็นได้
แน่นอนว่า ก็เป็นไปได้ว่าเขาอาจยังไม่ถูกค้นพบ เพราะเป็นไปได้สูงที่บนเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะมีเกราะกำบังอยู่
แต่ก็ยังเสี่ยงอยู่นั่นเอง แม้ว่าจะเป็นเพียงการคาดเดาอย่างไร้หลักฐานประกอบของหวังเป่าเล่อ แต่ความระแวดระวังของชายหนุ่มก็ฝังลึกลงไปในใจหลังจากที่ถูกอารยธรรมครามทองคำหลอกเอา เขาจึงรีบคิดคำนวณสถานการณ์ก่อนจะมุ่งหน้ากลับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อย่างเร่งรีบ
ไม่ว่าจะมีคนไล่ตามมาหรือไม่ หวังเป่าเล่อก็ต้องคิดเผื่อไปถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ซึ่งได้แก่ ผู้ที่ไล่ล่าตามเขามา และไปถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ จากนั้นก็ร่วมมือกับอารยธรรมครามทองคำ หากเป็นเช่นนั้นก็คงเป็นงานหินสำหรับเขาในการพยายามพลิกสถานการณ์
“ระวังไว้ก่อนย่อมดีกว่า!” ขณะที่พึมพำอยู่กับตนเอง หวังเป่าเล่อก็พลิกกายและใช้เวลาอีกสองวันในการหาสะเก็ดดาวขนาดเท่าดาวเคราะห์ย่อมๆ ในจักรวาลใกล้ๆ หลังจากที่ชายหนุ่มไปยืนอยู่บนสะเก็ดดาวดวงนั้น เขาก็ขุดถ้ำในนั้นก่อนจะเข้าไปนั่งขัดสมาธิอยู่ภายใน จากนั้นก็เริ่มหลอมวงแหวนปราณครอบทั่วสะเก็ดดาวเอาไว้และหรี่ตาลง
ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็จะรออยู่ที่นี่ก่อนสักสามเดือน ข้าใช้เวลาซุ่มรออยู่ที่นี่ได้สามเดือนก่อนที่จะต้องกลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!
ครั้งนี้ความระมัดระวังตัวของหวังเป่าเล่อไม่ใช่เรื่องผิด การตัดสินใจของเขาแม่นยำเป็นอย่างยิ่ง เพราะในความเป็นจริงแล้ว ด้วงทองคำของชานหลิงจื่อและตันโจวจื่อก็จับตำแหน่งของหวังเป่าเล่อได้จากการเปิดตัวเองของแหวนคลังเก็บหลายครั้งหลายคราก่อนหน้านี้ พวกเขามาถึงส่วนเดียวกันของจักรวาลแล้ว แต่เมื่อหวังเป่าเล่อขึ้นเรือไป พวกเขาก็เสียสัญญาณและต้องขยายรัศมีการตามหาต่อไป
เมื่อหวังเป่าเล่อโดนไล่ลงมาจากเรือสำปั้น แม้ว่าชายหนุ่มจะผนึกแหวนคลังเก็บรวดเร็วเพียงใจ แต่ทันทีที่เขาลงมาจากเรือ ชานหลิงจื่อก็สัมผัสได้ถึงตำแหน่งของแหวนคลังเก็บได้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง
เขาตื่นเต้นขึ้นมาทันที พลางรีบบอกตำแหน่งกับตันโจวจื่อ ด้วงสีทองเร่งความเร็วมุ่งไปหาตำแหน่งของหวังเป่าเล่ออีกครั้งด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์
ใช้เวลาเพียงห้าวัน ด้วงสีทองก็มาปรากฏบริเวณที่หวังเป่าเล่อถูกไล่ลงจากเรือสำปั้นก่อนหน้านี้ จากตรงนั้นด้วงสีทองก็ส่งเสียงหึ่งๆ ก่อนจะหยุดลง นัยน์ตาของชานหลิงจื่อสะท้อนแสงแรงกล้า
“ห้าวันก่อน ไอ้เด็กนั่นมาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ ช่างน่าเสียดายที่สัญญาณจากแหวนคลังเก็บของข้าขาดหายไปอีกครั้ง ครั้งนี้ข้าไม่รู้ว่าเขาไปทางไหน!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตันโจวจื่อก็มีสีหน้าหยิ่งยโสขึ้นมาก่อนจะยิ้มเยาะ
“เป็นแค่ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ เจ้านั่นจะหนีไปไหนได้เล่า”