หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 907 ผลข้างเคียงปริศนา...
เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถึงและเพื่อให้หวังเป่าเล่อลืมเรื่องที่ว่าความรู้เกี่ยวกับกระดาษรูปมนุษย์ของเขามีจำกัด ชานหลิงจื่อจึงรีบยกตัวอย่าง
“อาจารย์ ข้าไม่กล้าเปิดเผยตั้งแต่แรกว่าข้ามีคันธนูจักรพิภพจำลองอยู่ในครอบครอง หาไม่แล้ว ด้วยคุณค่าของคันธนู หากข้าสามารถขายมันได้อย่างปลอดภัย ข้าก็คงจะซื้ออารยธรรมมาเป็นของตนเองได้สักหนึ่งพันแห่ง อันที่จริงแล้ว หากข้าติดต่อผู้เยี่ยมยุทธ์ในระดับดารานิรันดร์ได้ ข้าก็คงใช้คันธนูเพื่อต่อรองให้พวกเขาช่วยเหลือข้าได้เป็นแน่ แต่ก็คงต้องเป็นความช่วยเหลือที่สมเหตุสมผล มิเช่นนั้นแล้ว ข้าก็อาจถูกกินทั้งเป็นเอาได้…” ชานหลิงจื่อแอบรู้สึกขมขื่นอยู่ในใจ เขาพ่ายแพ้เพราะไม่มีสิทธิ์เช่นนั้นนั่นเอง
แม้ว่าชานหลิงจื่อจะอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ เขาก็ไม่ได้รู้เรื่องของตระกูลไม่รู้สิ้นเท่าใดนัก เพราะเหตุนี้ แม้ว่าชานหลิงจื่อจะได้สมบัติล้ำค่ามาไว้ในครอบครอง ก็ยังต้องเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังแถมยังไม่กล้าเปิดเผยความจริงออกไป ส่วนเรื่องจะนำคันธนูไปให้ผู้ที่อยู่สูงขึ้นไปดูก็ไม่กล้า การทำเช่นนั้นเสี่ยงอันตรายยิ่งกว่าการเปิดเผยว่ามีคันธนูอยู่ในครอบครองเฉยๆ เสียอีก นั่นเพราะชานหลิงจื่อรู้ดีว่าเขาคงไม่อาจรอดพ้นการตรวจสอบและต้องถูกยึดของอีกสองชิ้นไปพร้อมกันแน่
ความช่วยเหลือจากผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับดารานิรันดร์อย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อมีสีหน้าแปลกแปร่ง ตอนที่ชานหลิงจื่อบอกว่าคันธนูสามารถแลกกับอารยธรรมได้นับพัน ชายหนุ่มก็คิดว่ามันมีค่ายิ่งนัก แต่หลังจากที่ได้ยินครึ่งหลังของประโยค เขาก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้มีค่าขนาดนั้น
เพราะอย่างไรเสีย ศิษย์พี่ของเขาก็เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ในระดับดารานิรันดร์ หวังเป่าเล่อคิดว่าต่อให้ตนอยากได้ความช่วยเหลือสักหนึ่งพันอย่าง…ก็คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก
หากชานหลิงจื่อล่วงรู้ความคิดทั้งหมดของหวังเป่าเล่อก็คงจะตรอมใจจนต้องกระอักเลือดออกมา ความแตกต่างระหว่างพวกเขานั้นห่างกันยิ่งกว่าท้องฟ้ากับผืนแผ่นดินเสียอีก
“พอแล้ว อธิบายเรื่องขวดให้ข้าฟังที” หวังเป่าเล่อโบกมือก่อนถามเรื่องขวดปริศนาใบจ้อย ในความเป็นจริง การคาดการณ์ของชานหลิงจื่อผิดพลาดไป สิ่งที่หวังเป่าเล่อสนใจที่สุดไม่ใช่ทั้งกระดาษรูปมนุษย์หรือคันธนูจักรพิภพ
ชายหนุ่มสนใจกระดาษรูปมนุษย์เพราะมันแปลกประหลาดและเกี่ยวข้องกับสุสานดวงดาราที่เขากำลังสนใจอยู่ ส่วนอย่างหลัง…หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตอนนี้มันยังไม่มีประโยชน์อันใดกับเขา แค่ได้รู้มูลค่าของมันก็เพียงพอแล้ว
สิ่งที่ชายหนุ่มสนใจอย่างมากคือขวดใบน้อย สัญชาตญาณบอกเขาว่าความลึกลับของขวดนั้นน่าจะเกินกว่ากระดาษรูปมนุษย์ไปไกลลิบ
แล้วก็เป็นจริงตามนั้น… นั่นเพราะชานหลิงจื่อผู้ที่เจื้อยจ้อยพูดข้อมูลออกมาอย่างคล่องแคล่วจู่ๆ ก็สะอึกไป เขาไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนั้นแต่เป็นไปตามสัญชาตญาณ ทว่าหลังจากได้เห็นแววตาดุร้ายจากหวังเป่าเล่อ ชายวัยกลางคนก็ตัวสั่นก่อนจะรีบบอกทุกสิ่งที่รู้ไปทันที
“อาจารย์…ข้าไม่รู้จุดกำเนิดของเจ้าขวดใบจ้อยเลย ข้าไม่พบเบาะแสใดๆ เกี่ยวกับมันในบันทึกโบราณด้วย ข้ารู้เพียงว่าขวดนี้ดูเหมือนจะมีตัวตนมาเนิ่นนานแล้ว และประโยชน์ของมัน…ตามการค้นคว้าหลายปีดีดักของข้า…ขวดนี้เหมือนว่าจะเป็น…ขวดปรารถนา!” ชานหลิงจื่อพูดอย่างระวัง เขากลัวว่าจะไม่ละเอียดพอจึงรีบเสริมขึ้นมา
“ขวดนั้นไม่สามารถเปิดได้ และถ้อยคำบนกระดาษภายในขวดก็พร่าเลือน ข้ามองไม่ออกว่ามันเขียนไว้ว่าอะไร…”
ถ้อยคำพร่าเลือนเช่นนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหรี่ตามองชานหลิงจื่อ ชายหนุ่มไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายหลอกลวงเขา แต่ก็จำได้ว่ามองเห็นคำว่า “คนร่ำรวย” อยู่ในขวดก่อนหน้านี้
ข้อนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อแปลกใจ แม้จะไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าก็ตาม
“ข้ามองถ้อยคำบนกระดาษได้ไม่ชัดเจน แต่ก็ยืนยันได้ว่ามันเป็นขวดปรารถนาจริงๆ ทว่ามันใช้ได้ผลเพียงบางเวลาเท่านั้น บางครั้งมันก็ไม่ได้ผล…แต่ว่าเวลาที่ได้ผล เมื่อมันให้พรกับผู้ที่ขอ ก็มักจะมีผลข้างเคียงอันเกินจินตนาการเกิดขึ้นด้วย…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ความหวาดกลัวและขมขื่นก็ฉาบเคลือบดวงตาของชานหลิงจื่อราวกับว่าผลข้างเคียงอันน่าสะพรึงกลัวเคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน
“ผลข้างเคียงอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว
“เจ้าคงเคยขอพรได้ผลมาก่อนสินะ บอกผลข้างเคียงข้ามา!”
ชานหลิงจื่อเงียบกริบไปทันที หลังจากนั้นพักหนึ่ง เขาก็เหมือนไร้สิ้นเรี่ยวแรงก่อนจะทำคอตกแล้วพูดออกมาน้ำเสียงแผ่วเบา
“อาจารย์ ข้าเคยเป็น…ผู้ฝึกตนหญิงมาก่อน”
“ผู้ฝึกตนหญิงเช่นนั้นหรือ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน เจ้าพูดอะไรของเจ้า…เอ่อ…” ตอนแรกหวังเป่าเล่อก็ไม่เข้าใจคำพูดของชานหลิงจื่อ แต่เมื่อพูดทวนไปครึ่งประโยคก็เข้าใจได้ ชายหนุ่มจ้องมองวิญญาณของชานหลิงจื่อด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง สมองว่างเปล่า ความสับสนปรากฏขึ้นในดวงตา
“ผู้หญิงหรือ เจ้าเคยเป็นผู้หญิงอย่างนั้นหรือ”
ชานหลิงจื่อส่งยิ้มขมขื่นพลางมองไปทางหวังเป่าเล่อก่อนจะพยักหน้า
“เจ้าล้อข้าเล่นใช่ไหม ขนาดวิญญาณของเจ้ายังเป็นชาย…” หวังเป่าเล่อรู้สึกศีรษะหมุนกลับข้าง ความรู้สึกแรกของชายหนุ่มก็คือชานหลิงจื่อช่างกล้ามากที่มาล้อเล่นกับเขา จิตสังหารของชายหนุ่มพุ่งสูงขึ้น
สิ่งนี้ทำเอาชานหลิงจื่อตัวสั่นด้วยความกลัวก่อนจะรีบอธิบายทุกอย่าง
“ท่านอาจารย์ฟังข้าก่อน แม้ว่าข้าจะเคยเป็นผู้ฝึกตนหญิง แต่ในตระกูลไม่รู้สิ้นผู้ชายนั้นได้รับสิทธิ์เหนือกว่าผู้หญิง ดังนั้น ข้าจึงซ่อนเพศตามกำเนิดมาโดยตลอด หลังจากที่ได้รับขวดขอพรมา ข้าก็ค้นคว้าเกี่ยวกับมันอยู่หลายต่อหลายปี และเหตุผลที่ข้าบรรลุถึงระดับดาวพระเคราะห์ได้สำเร็จเป็นเพราะข้าขอพรในช่วงเวลาความเป็นความตายพอดี”
“ติดอยู่เพียงว่าผลลัพธ์นั้นเปลี่ยนข้าให้กลายเป็นผู้ฝึกตนชาย ข้าขอพรให้ตัวเองกลับเป็นผู้หญิงอีกครั้ง แต่พอขอพรอื่น ข้าก็ถูกเปลี่ยนกลับเป็นชายอีก…นอกจากนั้น ผลข้างเคียงของขวดขอพรนี้ก็แปลกประหลาดนัก…ข้าจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่ข้ากลายเป็นต้นไม้หลังจากที่ขอพรสำเร็จ…แล้วก็ติดอยู่อย่างนั้นถึงสามปี” ชานหลิงจื่อมีหน้าตาเหนื่อยหน่าย โดยปกติเขาคงไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แต่มาบัดนี้ ชายวัยกลางคนก็พรั่งพรูความอัดอั้นตันใจออกมาตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ทุกถ้อยคำเต็มล้นไปด้วยความปวดร้าว
ขณะที่หวังเป่าเล่อฟังเรื่องของชานหลิงจื่อ นัยน์ตาเขาก็เบิกกว้างขึ้น หัวใจเต้นรุนแรง ชายหนุ่มรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้นเขาก็อดรู้สึกสนใจไม่ได้…โดยสัตย์จริงแล้ว หากขวดปรารถนาเป็นอย่างที่ชานหลิงจื่อ
กล่าวจริง ก็นับได้ว่ามีพลังยิ่งใหญ่นัก
บรรลุขั้นได้เพียงแค่ขอพรเท่านั้น…สมบัติอะไรกันนี่ หวังเป่าเล่อรู้สึกตื้นตัน แต่เขาก็ยังลังเลเพราะเรื่องผลข้างเคียงที่อีกฝ่ายเล่า ทว่าเมื่อชายหนุ่มคิดไปว่าระดับปราณของตนจะพุ่งสูงได้ถึงขนาดไหน เขาก็รู้สึกได้ว่าการเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนหญิงเพียงไม่กี่ปีก็น่าจะเป็นผลพวงที่ยอมรับได้
อย่างไรเสีย ชานหลิงจื่อก็บอกว่าเขาเคยเปลี่ยนกลับมาได้…คงจะไม่เป็นไรกระมังหากว่าผลข้างเคียงนั้นไม่ถาวร หวังเป่าเล่อยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น ชายหนุ่มคิดว่าหากต้องกลายเป็นผู้หญิงจริง ก็คงถือสันโดษสักสองสามปีก่อนจะออกมาลองขอพรให้กลับเป็นผู้ชายอีกครั้ง
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็มีแววมุ่งมั่น ก่อนที่ชายหนุ่มจะหยิบแหวนคลังเก็บออกมา หลังจากปล่อยดวงจิตเทพเข้าไปภายในเขาก็พบว่า กระดาษรูปมนุษย์แม้จะลืมตาขึ้นและมีแสงปีศาจเรืองรองอยู่ แต่ครั้งนี้มันก็ไม่ได้พยายามจะหยุดเขา ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงรีบหยิบขวดออกมา เมื่อถือขวดอยู่ในมือ ชายหนึ่งก็อดรู้สึกประหม่าไม่ได้ หลังจากที่กัดฟันอยู่ชั่วอึดใจ เขาก็รีบขอพรด้วยเสียงอันดัง
“ข้าต้องการเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น!”
ขวดใบน้อยไม่ตอบสนอง ใบหน้าของชานหลิงจื่อกระตุก แต่หลังจากที่มองเห็นสายตาดุร้ายที่หวังเป่าเล่อส่งมา อีกฝ่ายก็รีบถอนใจก่อนจะกล่าว
“อาจารย์…ข้าเคยขอพรนั้นแล้ว แต่ไม่เป็นผล…ขวดปรารถนาบางครั้งก็ได้ผล บางครั้งก็ไม่…”
สีหน้าของหวังเป่าเล่อเผยความฉงนสงสัย แต่หลังจากที่คิดอยู่ชั่วขณะ ชายหนุ่มก็พ่นลมหายใจก่อนจะลองอีกครั้ง
“ข้าต้องการเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับดาราจักร!”
ขวดยังคงนิ่งเฉยอยู่
“ข้าต้องการเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับดารานิรันดร์!” หวังเป่าเล่อไม่อยากจะเชื่อจนต้องส่งเสียงคำรามออกมา ทว่า…ขวดใบน้อยยังนิ่งเฉยเหมือนเดิมไม่ไหวติงแม้สักนิด สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มโกรธจัดจนต้องหันมาขู่ชานหลิงจื่อ
“ชานหลิงจื่อ เจ้ากล้าหลอกลวงข้าหรือ” หวังเป่าเล่อยกมือซ้ายขึ้นก่อนจะลากอีกฝ่ายเข้ามา สีหน้าของชายหนุ่มทั้งโกรธและหงุดหงิด จิตสังหารในดวงตาแรงกล้า ชานหลิงจื่อกลัวเสียจนต้องหวีดเสียง
“อาจารย์ อาจารย์ฟังข้าก่อนขอรับ ไม่ใช่ความผิดของข้านะขอรับ ขวดนี้ใช้ได้ผลแค่บางเวลาเท่านั้น ท่านควบคุมมันไม่ได้…” ชานหลิงจื่อกำลังจะร้องไห้ เขาพูดความจริงออกมาทั้งหมดอย่างไม่ปิดบัง เพราะหวาดกลัวอารมณ์อันแปรปรวนของหวังเป่าเล่อ เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าพรของชายหนุ่มนั้นเป็นไปไม่ได้ หากสามารถขอเช่นนั้นได้จริง ชานหลิงจื่อก็คงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรพิภพไม่รู้สิ้นไปเรียบร้อย ไม่ถูกจับและอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นตอนนี้แน่
เมื่อเห็นสีหน้าของชานหลิงจื่อ หวังเป่าเล่อก็ขมวดคิ้ว แต่ยังมีความเคลือบแคลงในแววตา หลังจากคิดอยู่ชั่วขณะ ชายหนุ่มก็ยกขวดชูขึ้นก่อนจะขอพรอีกครั้ง
“ข้าต้องการบรรลุระดับดาวพระเคราะห์!”
พรข้อนี้เป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับหวังเป่าเล่อ ชานหลิงจื่อเคยพูดก่อนหน้านี้ว่าตนเคยขอพรให้บรรลุขั้นจากขั้นจิตวิญญาณอมตะสู่ระดับดาวพระเคราะห์ ทว่า…เมื่อพูดจบ ขวดใบจ้อยกลับยังนิ่งสงบไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งนี้ทำเอาสีหน้าของหวังเป่าเล่อถมึงทึงขึ้นอย่างมาก