หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 916 เรือดาวตกมาถึง!
สายตาที่เหลือบมองมาทำเอาหัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นโครมคราม ในขณะที่พลังปราณของเขาก็วิ่งพล่านไปทั่ว ชายคนนั้นคือผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์!
หากค้นหาจนทั่วจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ก็จะพบว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เป็นผู้ที่แข็งแกร่งเหนือผู้อื่น ไม่ว่าคนผู้นี้จะอยู่กับฝ่ายใด ย่อมอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่ง ดังนั้นผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งไปกว่าระดับดาวพระเคราะห์นั้น… จึงต้องเป็นผู้ปกครองไม่ก็ราชาเป็นแน่!
อารยธรรมที่ปกครองโดยผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์มักปลอดภัยจากอารยธรรมอื่นๆ ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เดียวกัน ตราบใดที่ไม่ไปโจมตีอารยธรรมอื่นๆ ทั้งหลายในจักรพิภพ ก็มักไม่ถูกบุกโดยง่าย อารยธรรมครามทองคำอยู่ในดาราจักรลำดับที่สิบเก้าในจักรพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝั่งซ้าย แต่อารยธรรมที่แข็งแกร่งเพียงนั้นกลับมีผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์อยู่เพียงสามคนเท่านั้น แน่นอนว่ายังไม่ได้นับความจริงที่ว่าปรมาจารย์ของอารยธรรมนั้นเกือบบรรลุระดับดาราจักรแล้ว
ความเป็นจริงข้อนี้แสดงให้เห็นถึงสถานะของผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นแห่งนี้ สำหรับผู้ที่เพิ่งมาปรากฏตัวที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ คนผู้นี้ไม่ใช่ปรมาจารย์ของอารยธรรมครามทองคำ แต่เป็นหนึ่งในสองผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ของอารยธรรม!
ผู้ฝึกตนในสำนักต่างๆ บนอารยธรรมครามทองคำเรียกเขาว่า ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ เขาไม่ได้นำกองทัพขนาดมหึมามาด้วย มีผู้ติดตามเพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้งสองไม่ได้เดินทางข้ามจักรวาลมา หากแต่ใช้ทรัพยากรจำนวนมากซื้อสิทธิ์การเคลื่อนย้ายข้ามจักรพิภพมาแทน
ชายชรามองไปที่ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์หลังจากที่มาปรากฏตัว แววตาของเขาเย็นเยียบ ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ไม่ใส่ใจดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์มากนัก แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ก่อนจะพูดออกมาอย่างเย็นชา
“ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จงก้าวออกมา!”
เสียงของเขาไม่ได้ดังเลย ทั้งยังไม่ได้เปี่ยมไปด้วยพลัง แต่มันกลับกวาดกระจายไปทั่วอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และปะทุขึ้นราวกับเป็นสายฟ้าเสียงดังสนั่นในจิตวิญญาณของสรรพชีวิตในอารยธรรมแห่งนี้
แม้กระทั่งหวังเป่าเล่อผู้ที่ซ่อนอยู่ในดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ก็ยังได้ยิน ชายหนุ่มมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาคาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าอารยธรรมครามทองคำจะต้องส่งผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์มาที่นี่ แต่ก็ยังกระเจิดกระเจิงเสียกริยาไปหมดเมื่อคำทำนายของตนเองเป็นจริง
“ผู้ฝึกตนขั้นดารานิรันดร์…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง ชายหนุ่มเลิกจับตาดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างภายนอกดารานิรันดร์ก่อนจะเริ่มเฝ้ามองอยู่ห่างๆ แทน เขาเริ่มคิดทบทวนแผนการ พลางคิดว่าควรต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ในขณะนั้น คำพูดของศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ก็กระจายไปทั่วอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์
ผู้ฝึกตนทุกคนในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ตัวสั่นงันงกเมื่อได้ยินเสียงนั้น ไม่สำคัญเลยว่าคนเหล่านั้นจะทำอะไรอยู่ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เองก็ไม่เว้น ร่างกายของเขาสั่นเทาก่อนที่ลมหายใจจะเริ่มขาดช่วง เขาเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่จ้องมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบนอารยธรรม ดวงอาทิตย์ดวงที่สอง…ปรากฏขึ้น!
ปรมาจารย์ไม่ใช่คนเดียวที่มองเห็นภาพนั้น ทันทีที่ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าเหนืออารยธรรม ผู้คนจำนวนมากบนอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็เงยหน้าขึ้นมองและได้เห็นภาพอันยิ่งใหญ่บนนั้น บนท้องฟ้าสีครามมีดวงอาทิตย์อยู่สองดวง!
ขณะที่ความหวาดกลัวกระจายไปทั่วนั้น ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ใช้ความเร็วเต็มที่พุ่งตัวออกไป ไม่มีเวลากระทั่งจะเรียกผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะมารวมตัวกัน เขาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ภายในสิบห้านาที เมื่อไปถึงชายชราก็รีบยกมือประสานทักทาย ก่อนจะก้มศีรษะคำนับต่ำทันที
“ศิษย์น้องหยวนหลิงจื่อคารวะศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ผู้ทรงเกียรติ!”
“ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เจ้าจะยอมรับความผิดได้หรือยัง!” คนที่พูดไม่ใช่ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ แต่เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสวมชุดคลุมหรูหราที่ยืนอยู่ข้างกาย เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มเป็นที่เคารพนับถือในอารยธรรมครามทองคำ แม้ว่าจะอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ แต่ก็ยังพูดจาด้วยความมั่นใจ คำพูดของเขาทั้งบาดลึกและเปี่ยมไปด้วยความผิดหวัง ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะไม่ได้เคารพประมุขสำนักแต่อย่างใด
ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์โกรธจัด แต่ก็ไม่กล้าลบหลู่ผู้ฝึกตนตรงหน้า ทำได้เพียงหลุบศีรษะลงต่ำก่อนจะรีบตอบ
“มหาศิษย์เต๋าผู้ทรงเกียรติ พวกเราต้องเผชิญความยากลำบากที่ไม่ได้คาดคิดระหว่างการต่อสู้กับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ผลลัพธ์ของสงครามก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง พวกเราได้รับสิทธิ์ในการเข้าสุสานดวงดารามาแล้ว!” ประมุขสำนักจบคำพูดเพียงเท่านั้น ก่อนจะยกมือประสานคารวะไปทางศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ผู้มีสีหน้าไร้อารมณ์ เขารายงานถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่มาถึงอารยธรรมแห่งนี้ รวมไปถึงปัญหาที่ได้พบและการจัดการแก้ไข เขาไม่กล้าปิดบังอะไรจากศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่แม้แต่น้อย
เขารู้ว่ามหาศิษย์เต๋าสนใจเพียงสิทธิ์การเข้าสุสานดวงดารา สำหรับศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่แล้ว…สิ่งที่เขาสนใจคือความตายของผู้อาวุโสฝ่ายขวา เพราะอย่างไรเสีย…ตระกูลเซี่ยก็มีส่วนเกี่ยวพันด้วย!
เด็กหนุ่มลอบถอนใจอยู่กับตนเองอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใด ไม่สนด้วยซ้ำหากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะถูกกวาดล้างจนหมด สิ่งเดียวที่เขาสนใจคือสิทธิ์การเข้าถึงสุสานดวงดารา แม้ว่าสถานะของเขาในอารยธรรมครามทองคำจะสูงส่ง แต่ก็ต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อให้ได้โอกาสนี้มา มันเป็นตัวชี้ชะตาอนาคตของเขาเลยก็ว่าได้
เมื่อได้คำตอบแล้ว เด็กหนุ่มก็นิ่งเงียบอยู่ จากนั้นจึงมองไปรอบๆ และวิเคราะห์อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เขาไม่ได้ชอบที่นี่นัก มันดูแร้นแค้นเกินไปในสายตาเขา หากไม่ใช่เพราะสัญลักษณ์ดาวตกจะถูกส่งมอบได้เฉพาะในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เท่านั้น เขาก็คงไม่มีวันมาเหยียบที่นี่เป็นอันขาด
ขณะที่เด็กหนุ่มส่งเสียงเยาะเย้ยอยู่เงียบๆ ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เล่าเรื่องให้ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ฟังต่อไปจนจบ อีกฝ่ายฟังพลางพยักหน้าน้อยๆ แววลุ่มลึกฉายขึ้นในดวงตา ก่อนที่จะหันหลังไปมองดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์
“เขามีสหายหรือครอบครัวอยู่ที่นี่หรือไม่ หากไม่มีเราก็ฆ่าเขาเสีย เรื่องทั้งหมดก็จะจบ ข้าจะหลอมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์และทำลายเขาเสีย”
“หลงหนานจื่อไม่มีครอบครัวอยู่ในอารยธรรมนี้ขอรับ เขามีสหายอยู่บ้าง แต่ส่วนมากก็เป็นคนของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์… แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่น่าหนักใจ หากเราสังหารชายผู้นี้ ข้าเกรงว่าตระกูลเซี่ยจะ…” ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หันไปมองศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ คำถามนี้เขาคิดว่าจำเป็นจะต้องถาม เป็นเรื่องเหมาะควรที่ลูกน้องจำเป็นต้องทำ เขาต้องให้โอกาสผู้ใหญ่ได้แสดงความหลักแหลมออกมา
“ตระกูลเซี่ยปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด พวกเขาทำอะไรเราไม่ได้หากเราระวังตัวและไม่เผยจุดอ่อน ผู้อาวุโสฝ่ายขวาของพวกเจ้าโง่เขลานัก สมควรตายแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น… คนที่สังหารเขาก็เป็นเพียงสมาชิกรุ่นเยาว์ของตระกูลเซี่ย บิดาของเซี่ยไห่หยางตอนนี้ตกที่นั่งลำบากเพราะมีปัญหากับผู้มีอำนาจคนหนึ่ง ลูกชายของเขากำลังวิ่งวุ่นพยายามหาคนที่รู้จักกับผู้มีอำนาจคนนั้น เขาไม่มีเวลามาคอยปกป้องผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะตัวเล็กๆ คนเดียวแน่” ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่พูดอย่างเยือกเย็นก่อนจะหันศีรษะไปหาเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกาย
“ซิงหลิง เตรียมตัวให้ดี เรือดาวตกใกล้จะมาถึงแล้ว”
เด็กหนุ่มผู้นั้นหรือซิงหลิงตอบรับอย่างรวดเร็วและเคารพ ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รีบนำทางศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ไปที่ค่ายของสำนักทันที อีกฝ่ายนั้นเมื่อไปถึงค่ายก็ส่งพลังปราณออกไปกดดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ที่หวังเป่าเล่ออยู่เอาไว้ ประกายกล้าของดารานิรันดร์เสื่อมลงเป็นอย่างมาก และหวังเป่าเล่อก็เริ่มตื่นตัวขึ้นทันที
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ในช่วงนั้นหวังเป่าเล่อไม่กล้าสอดส่องมาที่ค่ายของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อีก ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังแอบสัมผัสได้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์เข้าไปในค่าย แต่ไม่ได้เห็นอีกฝ่ายออกมา คนผู้นั้นต้องถูกผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์เรียกตัวและต้องอยู่ในค่ายของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต่อเป็นแน่
ความตึงเครียดเริ่มปกคลุมอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์หลังการมาถึงของผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ คนทั่วไปต่างตื่นกลัว หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ต่างกันนัก เขารู้ดีว่าผู้ฝึกตนขั้นดารานิรันดร์จงใจปล่อยพลังปราณออกมา เป้าหมายของเขาคือการขู่ให้ตื่นกลัว ทำให้หวังเป่าเล่อต้องคิดไม่น้อยก่อนจะทำการสิ่งใดลงไป
แต่เขาก็ยังไม่ล่วงรู้ถึงไพ่ตายของข้า! ชายหนุ่มหรี่ตาลง ก่อนจะมองไปทางค่ายสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาเครียดมากๆ ในตอนนี้ แต่หลังจากที่วิเคราะห์สถานการณ์ไปพักใหญ่ ก็สรุปได้ว่าแผนของตนค่อนข้างจะรัดกุม
ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะตามขึ้นเรือวิญญาณมาด้วยได้!
ตราบใดที่ข้าขึ้นเรือได้แต่เขาขึ้นไม่ได้ เขาก็ทำอะไรข้าไม่ได้ ต่อให้ข้าสังหารอัจฉริยะของอารยธรรมของเขาแล้วขโมยสิทธิ์การเข้าสุสานดวงดารามาต่อหน้าต่อตาก็ตาม! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง แม้จะเป็นแผนที่เสี่ยงอันตราย แต่ก็ไม่มีอะไรในชีวิตที่ได้มาอย่างง่ายดายอยู่แล้ว
ร่างจริงของข้าอยู่ในโลงศพ และเจ้าแก่นี่ก็ไม่น่าจะหามันพบ โลงศพนั้นไม่ใช่โลงธรรมดาๆ แปลว่าต่อให้ข้าสู้แพ้ ข้าก็แค่เสียร่างอวตารไปร่างหนึ่งเท่านั้น! นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายมุ่งมั่น เขาตัดสินใจแล้ว เขาจะดำเนินการตามแผนและแย่งเหยื่อมาจากปากพยัคฆ์ให้จงได้!
อีกสองสัปดาห์ผ่านไป… ในช่วงเวลานั้น อารยธรรมครามทองคำ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ และหวังเป่าเล่อก็เตรียมตัวจนพร้อม ตอนนี้พวกเขารอเพียงทางเข้าสู่สุสานดวงดาราเปิดขึ้นเท่านั้น ที่นอกอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เรือวิญญาณซึ่งหวังเป่าเล่อพบเข้าโดยบังเอิญ…ขณะนี้ได้เดินทางเข้ามาอย่างเงียบเชียบแล้ว!
มันไม่ได้เดินทางเข้ามาในอารยธรรม หากแต่กำลังล่องลอยอยู่ตรงเส้นเขตแดน มีอัจฉริยะจำนวนหนึ่งอยู่บนเรือ และจำนวนก็เพิ่มขึ้นจากเดิมร่วมสามสิบเป็นราวห้าสิบคน คนเรือกระดาษรูปมนุษย์เงยหน้าขึ้นมองขณะที่เรือหยุดคว้างอยู่กลางอวกาศ มันจ้องไปทางค่ายสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบกไปในทิศทางนั้น เสียงร้องไห้และเสียงเพรียกหาเริ่มดังกระหึ่มก้องจักรวาล…
ไม่มีคำพูดใดๆ มีเพียงเสียงร้องไห้เบาๆ และเสียงเรียกที่ดังไปทั่วจักรวาลเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ยินเสียงนี้ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ผู้ที่มีเชื้อราชวงศ์ได้ยิน ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่เองก็ได้ยินเช่นกัน ส่วนประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และคนอื่นๆ กลับไม่ได้ยินอะไรแม้แต่น้อย
หวังเป่าเล่อเคยขึ้นเรือมาแล้วก่อนหน้านี้ ทำให้ขณะนี้ชายหนุ่มเป็นคนที่สามในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ที่ได้ยินเสียงเรียกนั้น ด้วยการเกื้อหนุนจากดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ เขาส่งดวงจิตเทพกวาดไปทั่วจักรวาลจนกระทั่งพบกระดาษรูปมนุษย์บนเรือวิญญาณ!
มันมาแล้ว! หวังเป่าเล่อผุดลุกขึ้นยืนทันที!