หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 930 เมืองกระดาษ!
“จักรวรรดิดาวตก…” หวังเป่าเล่อถอนหายใจเล็กน้อย ความเข้าใจเกี่ยวกับสุสานดวงดาราของเขานั้นแย่กว่ามหาศิษย์แห่งเต๋าของตระกูลและสำนักอื่นนัก ตลอดทางที่มาเขาเห็นจักรวาลกระดาษ เห็นดาวเคราะห์กระดาษ และเห็นทะเลกระดาษสีดำด้วย ตอนนี้ทุกสิ่งที่เขาเห็นล้วนทำมาจากกระดาษ
และกระดาษรูปมนุษย์ที่ตบะแข็งแกร่งตรงหน้าเขายังพูดว่ายินดีต้อนรับเข้าสู่จักรวรรดิดาวตก
หลังจากทุกอย่างปะติดปะต่อกัน เขาก็ค่อยๆ เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เรียกว่าสุสานดวงดาราเป็นเพียงชื่อสถานที่ และจักรวรรดิดาวตกคือผู้ปกครองที่นี่ รากฐานการฝึกตนและภูมิหลังต้องลึกล้ำมากถึงทำให้จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นยอมรับมันได้ และยอมทำตามกฎของอีกฝ่าย
“บางทีในมุมของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แม้พลังของจักรวรรดิดาวตกจะแข็งแกร่ง แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือข้อได้เปรียบด้านที่ตั้ง…” ขณะที่คิดหวังเป่าเล่อก็ยิ่งเกิดความอยากรู้อยากเห็นถึงความกว้างใหญ่และความลึกลับของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น
“ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ข้าถึงจะได้ท่องไปในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นอย่างศิษย์พี่บ้าง!” เมื่อความคิดในใจเปลี่ยนไป สายตาหวังเป่าเล่อก็ฉายแววคาดหวัง หลังเห็นผู้คนที่มาจากจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นพร้อมกับเขาคำนับกระดาษรูปมนุษย์ ในขณะที่กระดาษรูปมนุษย์ที่ระดับการฝึกตนน่าทึ่งคนนั้นยกมือขวาขึ้นโบกเบาๆ ทันใดนั้นแรงเคลื่อนที่ขนาดมหึมาก็เข้าครอบคลุมไปทั่วทุกทิศ
หลังจากสัมผัสถึงพลังที่ไม่อาจต้านทานได้ หวังเป่าเล่อก็อดไม่ได้ที่จะมองกลับไปยังทะเลกระดาษสีดำรวมถึงเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ชายฝั่ง ยามที่มองเขาเห็นกระดาษรูปมนุษย์ที่มาพร้อมกับเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองกำลังเดินลงจากเรือ และราวกับสัมผัสได้ถึงการจ้องมองของหวังเป่าเล่อ เขาจึงหันมามองหวังเป่าเล่อและพยักหน้าเบาๆ
หวังเป่าเล่อก็พยักหน้าให้ จากนั้นเขาก็มองไปยังทะเลไกลออกไป ยามที่จ้องมองสีดำไกลสุดลูกหูลูกตา เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่า…ทะเลกระดาษสีดำนี้ดูไม่เข้ากับจักรวรรดิดาวตกเลย
“กระดาษดำ กระดาษขาว…”
เขาบ่นพึมพำในใจขณะที่พลังเคลื่อนย้ายรอบตัวแผ่ขยายออกไปเป็นบริเวณกว้าง ภาพตรงหน้าพร่าเบลอไปในชั่วพริบตาและร่างของเขากับมหาศิษย์แห่งเต๋ารอบกายก็หายไป
สิ่งที่หายไปอีกอย่างคือกระดาษรูปมนุษย์ทั้งหมด เพียงชั่วพริบตาทั่วทั้งฝั่งก็ว่างเปล่า และเมื่อสติของหวังเป่าเล่อกลับมา เขากับมหาศิษย์แห่งเต๋าที่ผ่านการทดสอบก็มาปรากฏตัวใน…เมืองกระดาษขนาดใหญ่!
พูดให้ชัดเจนคือตรงนี้คือมุมด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองและเป็นจัตุรัสขนาดใหญ่ซึ่งล้อมรอบไปด้วยกระดาษรูปมนุษย์แน่นขนัด มีทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทั้งเด็กทั้งแก่
ตัวที่ใหญ่ก็ใหญ่ราวกับยักษ์ ตัวที่เล็กก็เล็กราวกับเด็กทารก ตัวที่แก่มีเครากระดาษ ตัวที่เด็กก็ราวกับเด็กวัยรุ่นอายุสิบหกปี ถึงแม้จะทำจากกระดาษ แต่ก็ให้ความรู้สึกเยาว์วัย
สายตาของพวกเขาก็ต่างกันไป มีทั้งอยากรู้อยากเห็น เย็นชา ไม่เป็นมิตรและใจดี
ขณะนี้พวกเขากำลังมองคนหลายร้อยคนรวมถึงหวังเป่าเล่ออยู่ ดูเหมือนในสายตาพวกเขาจะมองพวกของหวังเป่าเล่อว่าเป็นตัวประหลาด อีกทั้งยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ลอยมาตามสายลม
“คนนอกพวกนี้ประหลาดมาก ร่างกายพวกเขาทำมาจากเลือดและเนื้อจริงๆ…”
“ร่างกายที่สร้างจากเลือดและเนื้อ…พระเจ้า คนสร้างช่างวิเศษจริงๆ ทำเช่นนี้ได้ด้วย!”
“ได้ยินว่าสิ่งมีชีวิตภายนอกส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ วิวัฒนาการก็ไม่สมบูรณ์แบบเท่าไหร่”
“ก็จริง น่าเกลียดมาก!”
เสียงพูดคุยดังเข้ามาในหูทุกคนรวมถึงหวังเป่าเล่อด้วย แต่ไม่มีใครสนใจนัก ขณะนี้ทุกคนต่างสำรวจบริเวณโดยรอบและเมื่อมองออกว่าที่นี่เป็นเมืองเมืองหนึ่ง แม้จะเป็นเพียงแค่มุมหนึ่งแต่จิตใต้สำนึกก็แตกซ่าน ไม่ช้าสีหน้าทุกคนก็เปลี่ยนไป
“เมืองใหญ่มาก!” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงเล็กน้อย
เขารู้สึกว่าเมืองแห่งนี้ยิ่งใหญ่มาก ขนาดของมันเกือบจะเทียบได้กับโลกทั้งใบ อาคารทุกหลังเป็นกระดาษ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ยังไม่ได้เห็นรายละเอียดอะไรมากนักเนื่องจากตอนนี้พวกเขายังอยู่รวมกัน แต่จากการกวาดสายตาอย่างรวดเร็ว รูปแบบที่แปลกใหม่เช่นนี้ทำให้หวังเป่าเล่อสนใจที่นี่มาก
ขณะที่ความอยากรู้อยากเห็นสั่งสมขึ้นในใจ ไม่นานหวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ ก็ถูกผู้ฝึกตนกระดาษรูปมนุษย์จากจักรวรรดิดาวตกส่งไปยังที่พัก สถานที่ที่พวกเขาถูกส่งมาอยู่ไม่ไกลจากจัตุรัสซึ่งเป็นเหมือนห้องโถงและทุกคนต่างก็มีห้องเป็นของตัวเอง
หลังจากตกลงกันได้แล้ว ผู้ฝึกตนกระดาษรูปมนุษย์ก็บอกอย่างสงบนิ่งว่าการทดสอบครั้งที่สองจะจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า หากพลาดโอกาสก็จะถูกยกเลิกสิทธิ์ ขณะเดียวกันผู้ที่มีสิทธิ์จะไม่ได้รับอนุญาตให้ต่อสู้กันก่อนการทดสอบที่สองจะเริ่มขึ้น หากมีใครลงมือก่อน คนนั้นก็จะถูกยกเลิกสิทธิ์ จากนั้นก็จะต้องจากไป
“พวกเราไม่มีข้อห้ามอะไรเลยหรือ”
“ที่นี่เหมือนกับในบันทึกของตระกูลไม่มีผิด ทุกอย่างเป็นกระดาษ!”
“แค่สามวันก็พอแล้ว!” เมื่อเห็นกระดาษรูปมนุษย์จากไป สายตาของมหาศิษย์แห่งเต๋าแต่ละคนก็ฉายแสงแปลกๆ พวกเขาต่างคุ้นเคยกันดี หลังจากกระซิบกระซาบกันก็รีบแยกย้ายกันไปทันที
มีบางคนที่เลือกที่จะนั่งทำสมาธิอยู่ในห้องโถง แต่มีหลายคนกำลังออกไปยังเขตนคร บางคนมีท่าทีลึกลับ ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดคุยและปรึกษาอะไรอยู่
หวังเป่าเล่อไม่สนใจคนที่ทำตัวลึกลับพวกนั้น หลังจากคิดดูแล้วเขาก็ออกจะห้องโถงและเดินเตร่ไปทั่วเมืองจักรวรรดิดาวตก เขาคิดว่าในเมื่อตัวเองมาถึงแล้วก็ต้องสำรวจสถานที่แห่งนี้ให้ดีสักหน่อย ถึงอย่างไรสิ่งที่มองเห็นก็คือโลกแห่งกระดาษและถือว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่สำหรับเขา
“ไม่รู้ว่าที่นี่กลัวไฟกันหรือเปล่า…” ในขณะเดินไปยังหัวมุมถนน หวังเป่าเล่อมองดูกลุ่มกระดาษรูปมนุษย์ที่ขวักไขว่ไปมา แล้วไม่รู้เพราะเหตุใดความคิดนี้ก็ผุดขึ้นในหัว
หลังตระหนักได้ว่าความคิดของตนนั้นอันตรายมาก เขาจึงรีบสลัดมันทิ้งไปและปล่อยให้ตัวเองได้ผ่อนคลายอย่างนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง หลังจากเยี่ยมชมเมืองไปตามทางเขาก็ได้เห็นกระดาษรูปมนุษย์จำนวนมากและเริ่มเห็นโครงสร้างของจักรวรรดิดาวตกบ้างแล้ว จักรวรรดิดาวตกก็คล้ายกับอารยธรรมอื่นๆ ถึงแม้จะไม่มีสกุลเงิน แต่สามารถใช้ศิลาวิญญาณกับผลึกสีชาดที่นี่ได้ และที่นี่ก็มีร้านค้าและร้านอาหารมากมาย
กระดาษรูปมนุษย์ก็ต้องการอาหารเช่นกัน แต่อาหารของพวกเขาก็คือกระดาษ ทว่าที่พิเศษคือกระดาษที่ใช้เป็นอาหารนั้นเป็นกระดาษโปร่งใส
ต่อให้เป็นเครื่องดื่มก็เหมือนกัน มันดูเหมือนน้ำ แต่หลังจากหวังเป่าเล่อซื้อมาหนึ่งขวดด้วยความอยากรู้ก็พบว่าข้างในว่างเปล่าเหมือนมีแค่อากาศ ส่วนอาหารทุกชนิดที่ทำจากกระดาษพิเศษนั้น หลังจากคนกินไม่เลือกอย่างหวังเป่าเล่อลองอยู่หลายครั้งก็เลือกที่จะยอมแพ้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้อะไรเลย สิ่งแรกที่ทำให้เขาตกใจก็คือระดับการฝึกฝนของกระดาษรูปมนุษย์ในจักรวรรดิดาวตกแห่งนี้ จากที่เขาเห็น กระดาษรูปมนุษย์ที่อ่อนแอที่สุดนั้นเทียบได้กับขั้นจุติวิญญาณ แม้แต่ทารกก็เป็นเช่นนั้น
สิ่งนี้ทำให้เขาอดคาดเดาไม่ได้ว่าบางทียามที่กระดาษรูปมนุษย์ทุกคนที่นี่เกิดมา ระดับขั้นจุติวิญญาณอาจเป็นระดับพื้นฐานของพวกเขา!
ส่วนขั้นเชื่อมวิญญาณ ขั้นจิตวิญญาณอมตะหรือแม้แต่ขั้นดาวพระเคราะห์…ตลอดทางที่เดินไปหวังเป่าเล่อก็พบเห็นจนตาลายไปหมด ด้านหนึ่งการฝึกตนของกระดาษรูปมนุษย์ที่นี่สูงมาก แต่ในทางกลับกันเขาที่อยู่ในฝูงชนก็เหมือนกับคบเพลิงในค่ำคืนอันมืดมิด ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดก็ดึงดูดสายตาของกระดาษรูปมนุษย์ได้นับไม่ถ้วน
เรื่องนี้ทำหวังเป่าเล่ออึดอัดเล็กน้อยในตอนแรก แต่ไม่นานเขาก็ชิน เขาคิดว่าถึงอย่างไรตัวเองก็คือผู้นำแห่งสหพันธรัฐในอนาคต การคุ้นเคยกับการตกเป็นเป้าสายตาคนอื่นย่อมเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุด
นอกจากนี้เขายังพบว่าในเมืองนี้มีร้านค้าเทพวัตถุและเคล็ดวิชาต่างๆ อีกจำนวนมากด้วย
แต่น่าเสียดายที่หลังจากหวังเป่าเล่อซื้อหนังสือเคล็ดวิชาพวกนั้นมาสองสามเล่ม เขาก็พบว่าทุกเล่มล้วนเป็นหนังสือสวรรค์ไร้อักษร ทุกหน้าว่างเปล่าราวกับที่นี่มีกฎบางอย่างทำให้มันไม่ปรากฏสู่สายตาของเขา
อันที่จริงร้านที่เขาอยู่ตอนนี้มีกระดาษรูปมนุษย์ชราที่ส่งแขกไปหลายคน เขาหันมามองหวังเป่าเล่อแล้วก็หัวเราะ
“รู้มาพักหนึ่งแล้วว่าประตูเชื่อมโลกภายนอกได้เปิดออกอีกครั้ง แต่เจ้าก็ยังเป็นผู้ฝึกตนจากภายนอกคนแรกที่มาร้านของข้า”
“กระดาษเคล็ดวิชาพวกนี้ เจ้าไม่สามารถมองไม่เห็นได้เพราะมีกฎเกณฑ์และกฎหมายแตกต่างกัน อย่างเล่มที่อยู่ในมือเจ้ามีชื่อว่าเคล็ดเวทกระเรียน เมื่อฝึกฝนแล้วสามารถเปลี่ยนโครงสร้างร่างกายตัวเองเป็นนกกระเรียนกระดาษได้ จะช่วยเพิ่มความเร็วได้ถึงเกือบสองเท่า แต่มีข้อกำหนดเบื้องต้นว่าร่างกายของเจ้าต้องเหมือนกับพวกข้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายชรา หวังเป่าเล่อก็รีบกำมือคำนับทันที
“ได้พบผู้อาวุโส ผู้น้อยเสียใจนัก หากสามารถศึกษาเคล็ดวิชาที่นี่ได้ก็คงดี” หวังเป่าเล่อถอนหายใจ
“นับแต่โบราณมาข้าไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ฝึกตนจากโลกภายนอกสามารถศึกษาเคล็ดวิชาของจักรวรรดิดาวตกได้ด้วยตัวเอง เว้นเสียแต่ว่าจะมีผู้อื่นถ่ายทอดให้ แต่…เจ้ากล้าเรียนไหมล่ะ” พูดถึงตรงนี้ ชายชราก็ทำหน้าราวกับจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม