หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 939 หน้าที่ที่ไม่อาจปฏิเสธ!
ดูจากตอนนี้อีกฝ่ายก็อยู่ข้างกายเขามาตลอดอย่างที่คิดจริงๆ สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้น ขณะเดียวกันความระแวดระวังในใจเขาก็พุ่งสูงขึ้นไปด้วย
ถึงอย่างไรก็ยังมีช่องว่างระหว่างการคาดเดากับความจริงอยู่ โดยเฉพาะกระดาษรูปมนุษย์นั้นแปลกประหลาด เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายคอยเฝ้าดูเขามาตลอดทางโดยที่เขามองไม่เห็นก็ยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อระแวงมากขึ้น แต่หลังจากฝึกฝนมาเป็นเวลานาน เขาก็สามารถเก็บความคิดไว้ในใจไม่ให้แสดงออกทางสีหน้าได้ ดังนั้นในตอนนี้จึงมีเพียงความตื่นเต้นที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าและเขาก็กำหมัดโค้งทำความเคารพกระดาษรูปมนุษย์ตรงหน้าอีกครั้ง
กระดาษรูปมนุษย์กวาดตามองหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาเผยแสงจางๆ ต่อให้หวังเป่าเล่อจะสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็มองไม่ออกว่าเขาคิดอะไร แต่ก็มั่นใจว่าในเมื่ออีกฝ่ายตามมาและยังปรากฏตัวตามคำเรียกร้องอีก นั่นก็ให้คำตอบชัดเจนแล้ว
ไม่ว่ากระดาษรูปมนุษย์พยายามจะทำอะไรก็ต้องพูดออกมาอยู่ดี มิเช่นนั้นกระดาษรูปมนุษย์ตนนี้ก็คงว่างจนมีเวลามาเล่นสนุกกับเขา
การคาดเดาของหวังเป่าเล่อถูกต้อง หลังจากมีแสงจางๆ ปรากฏในสายตาของกระดาษรูปมนุษย์ตนนี้ เขาก็เงียบไปนานกว่าสิบอึดใจ ก่อนจะค่อยๆ พูดออกมา
“ดูจะฉลาดกว่าเจ้าซานหลิงจื่ออะไรนั่นจริงๆ…ข้าช่วยเจ้าได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน!” เสียงของเขาแหลมเล็กราวกับเสียดกันออกมา เมื่อมันดังก้องอยู่ในหูของหวังเป่าเล่อก็ทำให้รากฐานการฝึกฝนของเขาผันผวนเล็กน้อย แต่ก็ถูกเขากดลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดอย่างตั้งใจ
“ผู้อาวุโสเชิญกล่าว!”
กระดาษรูปมนุษย์ไม่ได้รีบพูดในทันที แต่กวาดสายตามองหวังเป่าเล่ออย่างละเอียดถี่ถ้วนราวกับลังเล จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งจึงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่ได้พูดถึงข้อแลกเปลี่ยน แต่พูดถึงการทดสอบครั้งนี้แทน
“ในการทดสอบของจักรวรรดิดาวตกนั้น สิ่งที่เจ้ากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น สิ่งสำคัญของการทดสอบนี้คือหลังจากได้ผลึกมายาแล้วก็จะเป็นการเข้าสู่การทดสอบต่อไป!”
“หากข้าเดาไม่ผิด ที่นั่นเจ้ากับคนอื่นๆ ต้องแย่งชิง…ไม้กลองน้อมดาราทั้งสิบ!”
“ไม้กลองน้อมดารา?” หวังเป่าเล่อหรี่ตาถามอีกครั้ง
“วาสนาแห่งโชคของสุสานดวงดาราคือการให้ผู้ฝึกตนจากนอกพิภพได้รับดาวพระเคราะห์ระดับสูง ซึ่งก็มีดาวพิเศษอยู่ในนั้นด้วย วิธีการก็คือ…ตีกลองเพื่อน้อมดวงดาว!”
“ตีกลองสู่สวรรค์ด้วยไม้กลองน้อมดาราจนกระทั่งไม้กลองพังทลายก็จะสามารถทำให้ดวงดาวนับหมื่นแปลงร่างและน้อมดวงดาวที่เหมาะสมกับเจ้าที่สุดลงมาได้!”
“แต่จำนวนไม้กลองมีจำกัด ไม้กลองสิบไม้จะถูกสร้างขึ้นมาทุกๆ หลายร้อยปีในดินแดนจักรวรรดิดาวตก และทุกครั้งที่ไม้กลองถูกสร้างขึ้น จักรวรรดิดาวตกก็จะเปิดประตูเพื่อให้คนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจากนอกพิภพเข้ามาและเลือกคนสิบคนเพื่อรับวาสนาแห่งโชคจากที่แห่งนี้!”
“ดังนั้น…ถึงได้มีการทดสอบต่อเนื่องเป็นชุด การข้ามทะเลครั้งแรกเพื่อกำจัดคนออก ดาวมายาครั้งที่สองก็เช่นกัน สุดท้ายจะมีเพียงสามสิบคนเท่านั้นที่สามารถเข้าไปสู่การทดสอบครั้งสุดท้ายได้!” กระดาษรูปมนุษย์พูดช้าๆ แต่ละคำที่พูดออกมาทำให้หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัวขึ้นเล็กน้อย ในหัวเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงการเดินทางมาสุสานดวงดาราในครั้งนี้ แต่แล้วในใจก็เกิดความสงสัยขึ้น
“ผู้อาวุโส เหตุใด…จักรวรรดิดาวตกจึงต้องทำเช่นนี้ โดยพื้นฐานนี่ก็คือการมอบชะตาให้มนุษย์ หรือว่านี่คือข้อตกลงกับนอกพิภพ? หรือจะบอกว่า…จักรวรรดิดาวตกก็มีเหตุผลที่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วย” เมื่อเห็นว่ากระดาษรูปมนุษย์เต็มใจพูดคุยเรื่องนี้ หวังเป่าเล่อจึงไม่ปิดบังข้อสงสัยของตนและถามขึ้น
หากตอบได้ก็ดี แต่หากไม่ตอบเขาก็ไม่เสียหายอะไร
แสงจางๆ วาบเข้ามาในดวงตากระดาษรูปมนุษย์อีกครั้ง เขาหันมามองหวังเป่าเล่อ หวังเป่าแล้วก็มองเขา ทั้งสองฝ่ายจ้องตากันเนิ่นนาน จู่ๆ กระดาษรูปมนุษย์ก็หัวเราะด้วยเสียงแปลกๆ นั่น
“หลังจากเจ้ามาถึงสุสานดวงดาราแล้วรู้สึกผิดปกติอะไรไหม” หลังจากกระดาษรูปมนุษย์หัวเราะ เขาก็พูดช้าๆ อย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง
“ผิดปกติรึ?” สายตาหวังเป่าเล่อฉายแววครุ่นคิด เขาหวนนึกถึงสิ่งที่ตัวเองได้เห็นมาตลอดทางหลังจากเข้ามาที่นี่ หลังผ่านไปหลายอึดใจ จู่ๆ ดวงตาเขาก็หดแคบลงเมื่อนึกถึงสีดำและสีขาวที่ตรงข้ามกันอย่างเห็นได้ชัดในโลกแห่งนี้ จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเบา
“กระดาษดำ กระดาษขาว?”
“ถูกต้อง!” กระดาษรูปมนุษย์เอ่ยเบาๆ
“สิ่งที่เรียกว่าบ่มเพาะโชควาสนานั้น สำหรับพวกเจ้าก็เป็นเช่นนั้นจริง แต่สำหรับจักรวรรดิดาวตกนี่คือการช่วยชีวิตตัวเอง!”
“จักรวรรดิดาวตกคือผู้พิทักษ์สุสานดวงดารา ศัตรูของพวกมัน…ก็คือทะเลกระดาษสีดำ!”
“ตอนแรกทะเลกระดาษสีดำไม่ใช่สีดำ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เกิดเรื่องหนึ่งขึ้นทำให้ทะเลแห่งนี้ค่อยๆ กลายเป็นสีดำ และยังมีแนวโน้มว่าจะแพร่กระจายไปจนครอบคลุมทั้งจักรวรรดิดาวตก!”
“หลังจากจักรวรรดิดาวตกพยายามและล้มเหลวมาหลายครั้ง ตอนนั้นก็มีจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งคิดหาวิธีได้วิธีหนึ่ง ด้วยการเสียสละตัวเองเปิดเผยกฎของที่แห่งนี้ให้ภายนอกรับรู้ เขาแปลงร่างตัวเองเป็นกลองสู่สวรรค์ จากนั้นก็แยกดวงวิญญาณเทพของตนด้วยพละกำลังทั้งหมด แต่ก็แยกออกมาได้เพียงสิบดวงซึ่งจะเกิดทุกๆ สองสามร้อยปีและกลายเป็นไม้กลองน้อมดารา!”
“การตีกลองสู่สวรรค์ด้วยไม้กลองจะสามารถกระตุ้นให้ดวงดาวนับหมื่นเกิดการเปลี่ยนแปลงและเกิดเป็นพลังยับยั้งเพื่อชะลอการแพร่กระจายของทะเลกระดาษสีดำ!”
“แต่ด้วยกฎผู้ฝึกตนของจักรวรรดิดาวตกไม่มีเลือดเนื้อจึงไม่สามารถตีกลองสู่สวรรค์ได้ ถึงได้มีการติดต่อกับโลกภายนอกและเริ่มเปิดประตูเรื่อยมา!” น้ำเสียงของกระดาษรูปมนุษย์สงบนิ่ง ไม่มีการสั่นไหวใดๆ มีเพียงตอนที่พูดถึงอดีตจักรพรรดิคนนั้นและการแยกดวงวิญญาณเทพเท่านั้นที่มีร่องรอยความทรงจำปรากฏในสายตาของเขา
แต่ความทรงจำพวกนั้นก็สลายไปในชั่วพริบตา หากไม่ใช่เพราะหวังเป่าเล่อคอยสังเกตและอยู่ใกล้ๆ ก็คงไม่ทันสังเกต
“หรือว่าเจ้ากระดาษรูปมนุษย์ตนนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิดาวตกคนนั้น” หวังเป่าเล่อสลัดความคิดนี้ทิ้งไป หลังจากแยกแยะข้อมูลในคำพูดของอีกฝ่ายแล้ว ก็คิดว่าเรื่องนี้สมเหตุสมผล เขาจึงเชื่อไปแล้วเจ็ดถึงแปดส่วน ขณะเดียวกันก็เข้าใจสุสานดวงดารามากขึ้น
“ไม่ทราบว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสต้องการให้ผู้น้อยทำคืออะไร” หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว หวังเป่าเล่อจึงเอ่ยถาม
แต่หลังจากพูดประโยคนี้ออกไป สีหน้าของกระดาษรูปมนุษย์ก็แสดงความลังเลอย่างเห็นได้ชัดราวกับว่าสิ่งที่เขาต้องการให้หวังเป่าเล่อทำนั้นแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจ
นั่นทำให้หวังเป่าเล่อสงสัยเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรและรอให้กระดาษรูปมนุษย์ได้ครุ่นคิด
จากนั้นไม่นาน สายตากระดาษรูปมนุษย์ก็จ้องมาที่หวังเป่าเล่ออีกครั้ง หลังจากจ้องมองเขาอยู่นานราวกับอยากจะมองให้ทะลุปลุกโปร่ง ในที่สุดก็เอ่ยเสียงแหบแห้ง
“เจ้า…แปลกจริง!”
“หา?” หวังเป่าเล่อกะพริบตา
“เห็นได้ชัดว่าเจ้าคือผู้ฝึกตนจากจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น อายุวิญญาณก็ยังไม่ถึง 60 ปี แต่บนร่างกลับมีความรู้สึกแห่งกาลเวลา…หากเพียงแค่นั้นก็ไม่กระไรหรอก บนร่างของเจ้ายังมีร่องรอยพลังงานของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น โดยทั่วไปนั่นเป็นผลจากการสัมผัสสิ่งของของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นบ่อยครั้ง แต่เจ้าต่างออกไป!”
“ข้าเฝ้าสังเกตเจ้ามานานและสรุปได้ว่า…ร่องรอยพลังงานของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นบนตัวเจ้าไม่ได้มาจากสิ่งของ แต่มาจากพลังเทพวิถีเต๋าของเจ้า…ที่มาของวิถีเต๋านี้ยิ่งใหญ่เกินไป ข้าไม่ได้ยินสิ่งที่เจ้าคิด แต่ทุกครั้งที่เจ้าเปิดเผย ดวงจิตที่ตื่นขึ้นจากส่วนลึกของจักรวาลนั่น…แข็งแกร่งจนข้าไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต!”
กระดาษรูปมนุษย์พูดถึงตรงนี้ สีหน้าหวังเป่าเล่อยังคงปกติ แต่ในใจไหวสั่นไปแล้ว เขารู้ดีว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดถึงก็คือบทสวดแห่งเต๋าของเขา!
ตอนนั้นแม่นางน้อยในหน้ากากได้ถ่ายทอดพลังเทพของตนให้ซึ่งก็ได้ช่วยให้เขารอดพ้นอันตรายมาหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่เพราะในดวงจิตที่จุตินั้นได้ปลุกร่องรอยพลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงอารมณ์บางอย่างที่อยู่ในนั้นทำให้หวังเป่าเล่อขวัญหนีดีฝ่อ ในขณะที่ใช้มันบ่อยๆ ก็ไม่เคยมีพลังอ่านมันจนจบเลย
ส่วนใหญ่มักจะอ่านเพียงไม่กี่ตัวอักษรก็ต้องรีบหยุดทันที
“ดังนั้นข้าจึงอยากให้เจ้าตามข้าไปที่ที่หนึ่ง ที่นั่น…จงใช้พลังทั้งหมดเพื่อเปิดเผยวิถีเต๋าพลังเทพของเจ้า!” กระดาษรูปมนุษย์หายใจเข้าลึกๆ และพูดต่อ
“ส่วนเรื่องผลตอบแทน ข้าจะช่วยให้เจ้าได้รับไม้กลองหนึ่งไม้ จนถึงตอนที่เจ้าตีกลองก็จะอยู่ช่วยด้วย เพื่อที่อย่างน้อยเจ้าก็จะได้รับดาวพิเศษเป็นดาวพระเคราะห์ของตัวเอง…ในการบ่มเพาะโชควาสนาครั้งนี้ !”
“เจ้า…ตกลงไหม” กระดาษรูปมนุษย์พูดจบ สายตาก็มองลึกลงไปในตาหวังเป่าเล่อและรอคำตอบจากเขา
หวังเป่าเล่อได้ฟังก็ฝืนยิ้ม ในหัวประมวลผลอย่างรวดเร็ว ข้อเสนอของอีกฝ่ายไม่ได้สูงนัก เพียงแต่…เขาไม่กล้านี่นา
“หากใช้พลังทั้งหมดจนดวงจิตนั้นตื่นขึ้นมาจริงๆ อีกฝ่ายจะตบข้าตายเหมือนยุงลายไหม” หวังเป่าเล่อคิดเช่นนั้นแล้วก็ถอนหายใจ ขณะที่เขากำลังจะพูดเพื่อดูว่าสามารถเปลี่ยนเงื่อนไขได้หรือไม่ กระดาษรูปมนุษย์ก็เดินมาหยุดตรงหน้าเขาและพูดอีกประโยคว่า
“ถ้าเจ้าปฏิเสธ ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้! ”
หวังเป่าเล่อหน้าตาถมึงทึง สายตาไม่พอใจราวกับความเป็นมนุษย์ของตนโดนดูถูกเข้าอย่างจัง
“ผู้อาวุโสดูถูกข้าเซี่ยต้าลู่แล้ว ข้าแซ่เซี่ยไม่กลัวคำข่มขู่ หากข้าไม่ต้องการ ต่อให้ต้องตายก็ไม่ตกลง แต่ตลอดการเดินทางผู้อาวุโสได้ช่วยเหลือข้าไว้มาก ผู้น้อยรู้สึกซาบซึ้งทั้งจากใจและการกระทำ เรื่องนี้…ย่อมเป็นหน้าที่ที่ไม่อาจปฏิเสธ!”
…………………………………………………..