หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 944 คนหัวรั้น
หวังเป่าเล่อกล่าวประโยคนี้อย่างตรงไปตรงมา ทั้งยังอธิบายเหตุที่ตนเองปฏิเสธก่อนหน้าจนหมด คนอื่นๆ รู้สึกว่าเขาซื่อตรงดี โดยเฉพาะคำพูดนั้น ฟังๆ ดูแล้วมีเหตุผลบวกกับว่าไม่มีใครรู้เรื่องความผิดปกติของผนึกกับดักด้วย
ต้องคิดให้รอบคอบเผื่อเรื่องที่ปลดผนึกไม่ออก และก็ต้องมั่นใจว่าจะปลอดภัยจากการถูกคนคิดบัญชีย้อนหลังด้วย หากเเป็นผู้อื่น ร้อยทั้งร้อยย่อมต้องคิดเหมือนหวังเป่าเล่อนี่แหละ
ก็เป็นเพราะเหตุนี้ เหล่าผู้คนที่ถือครองผลึกมายาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ต่างก็ลงมืออย่างรวดเร็ว เหตุผลยังคงเป็นเรื่องเดิม พวกเขาไม่กล้านำโอกาสที่จะได้บ่มเพาะโชควาสนาไปเดิมพัน
อีกอย่าง ราคาก็แค่ห้าล้านผลึกสีชาดเท่านั้น ถึงจะเป็นเงินจำนวนมาก แต่ที่นี่ทุกคนก็ยังพอมีกำลังจ่ายไหว การใช้เงินจำนวนนี้เทียบกับการเสี่ยงเสียโอกาสกุมชะตาชีวิตแล้ว พวกเขาเห็นว่าเทียบกันไม่ได้
และนี่ก็เป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อคาดการณ์ไว้ ดังนั้นเขาจึงใช้คำพูดพลิกลิ้นนิดหน่อย ต้องขอบคุณประสบการณ์ที่เขาได้รับมาก่อนหน้า เขารู้แล้วว่านอกจากจะหาเงินแล้วควรซื้อใจคนไปพร้อมๆ กันด้วย
ดูท่าวันนี้ผลลัพธ์จะออกมาไม่เลว
หวังเป่าเล่อแสนจะพอใจ แต่เขาไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด ทำตัวไม่สนอกสนใจผู้ถือครองผลึกมายารอบตัวคนอื่นๆ ที่ยังคงลังเล เขานั่งลงขัดสมาธิ จากนั้นโบกมือให้ผลึกมายาที่ฝูงชนส่งมานั้นมาลอยอยู่เบื้องหน้าตน เขาหลับตาแล้วใช้มือทั้งสองข้างหยิบมันขึ้นมา และเพื่อความสมจริง เขาก็เคลื่อนพลังสารัตถะเล็กน้อย ทำให้รอบด้านนั้นมีแสงมายาพร่างพราว ดูแล้วท่วงท่าไม่ธรรมดาจริงๆ
อาศัยวิธีการนี้ หวังเป่าเล่อก็เริ่มลงมือตามขั้นตอนที่กระดาษรูปมนุษย์ถ่ายทอดมาให้ ถอดผนึกบนผลึกมายาเหล่านี้ออกราวกับปอกเปลือกก็ไม่ปาน
เขาไม่กลัวว่าจะมีคนรบกวนระหว่างที่เขาลงมือ แม้ใจหนึ่งไม่ลดความระวัง แต่อีกใจหนึ่งนั้นก็มั่นใจ หากคนอื่นจะลงมือ พวกของหญิงสวมหน้ากากและชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้น รวมถึงเหล่าผู้ถือครองผลึกคนอื่นๆ ย่อมไม่ยอมเป็นแน่
ยิ่งเป็นจังหวะที่หวังเป่าเล่อกำลังช่วยพวกเขาปลดผนึกอยู่แล้วด้วย
ในเมื่อเรื่องนี้หวังเป่าเล่อเข้าใจ คนอื่นๆ เองก็ย่อมเข้าใจ คนรอบด้านเองก็มองออก ดังนั้นแล้วจึงทำได้เพียงจ้องปราณบนตัวหวังเป่าเล่อที่แผ่ซ่านแข็งกล้ามากขึ้น ในส่วนผลึกมายาที่วางอยู่เบื้องหน้าเขานั้น สามารถเห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่าว่าพื้นผิวที่ปกคลุมอยู่ถูกลอกออก แสงอร่ามค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้น จนในท้ายที่สุดก็ส่องแสงแวววาวคล้ายเนื้อหินหยก มันแผ่แสงเจิดจรัสสว่างใส ในเวลาเดียวกันหลังจากที่อุปสรรคถูกขจัดไปแล้ว เวทเคลื่อนย้ายในสถานที่นี้ก็แผ่ขุมพลังของมันได้จนถึงขีดสุด
แม้จะไม่ได้เปล่งเสียงดังอึกทึกออกมา แต่ผู้ที่เห็นผลึกมายานั้นทั้งหมดก็ล้วนเกิดความคิดเงียบๆ ขึ้นในใจ แม้แต่คนที่ไม่เคยเห็นผลึกมายาของจริง ก็แน่ใจอย่างยิ่งว่านี่…จึงจะเป็นลักษณะที่ผลึกมายาของจริงควรมี
ขณะเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็สอดคล้องกับความทรงจำของทุกคน เพราะลักษณะนี้เหมือนกับที่บันทึกตระกูลและสำนักต่างๆ นั้นจดไว้ทุกประการ บรรดาพวกที่ตั้งข้อสงสัยและยังไม่ได้เอ่ยปากขอร้องให้หวังเป่าเล่อปลดผนึกให้แต่แรก ก็ค่อยๆ ตาสว่างวาบ รวมถึงหลี่หลินจื่อด้วย เขาคือหนึ่งในผู้ถือครองผลึกมายาทั้งสามสิบคน แต่เพราะมีเรื่องขัดแย้งกับหวังเป่าเล่ออยู่เป็นทุนเดิม เวลานี้เขาจึงเริ่มร้อนใจ
กระบวนการปลดผนึกนั้นไม่ได้ใช้เวลาสักเท่าไหร่ แต่เพื่อบรรลุจุดประสงค์ หวังเป่าเล่อจึงแสร้งยืดเวลาออกไป นี่ทำให้พวกคนที่ไม่ได้รีบส่งผลึกมาให้ปลดผนึกตั้งแต่แรกเริ่มทยอยกันร้อนรน ในตอนที่ระยะเวลาของการทดสอบนี้จะสิ้นสุดลงในอีกหนึ่งก้านธูปนั้น หวังเป่าเล่อพลันเบิกตาโพล่งแล้วสะบัดมือขวาคราหนึ่ง ทันใดนั้น เหล่าผลึกมายารอบด้านก็เหมือนถูกปัดฝุ่นผงเสี้ยวสุดท้ายออกไปจนสิ้น ชั้นแสงเจิดจ้าก็ทวีความรุนแรงขึ้นในพริบตา
“น่าจะได้แล้ว แต่ไม่รับประกันว่าจะคงที่ได้นานเท่าไหร่ ข้าเองก็พยายามสุดความสามารถแล้ว” สีหน้าของหวังเป่าเล่อซีดขาว เขาเอ่ยคำพลางโบกมือ ทันใดนั้นผลึกมายาก็ลอยกลับไปสู่มือของเจ้าของทั้งหลาย พวกของหญิงสวมหน้ากากก็รับผลึกไว้ในท่าเดียว
ยังไม่ทันที่ใครจะพูดสิ่งใด เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋ารายอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ปลดผนึกก็ไม่ลังเลแล้ว พวกเขารีบส่งผลึกมายาในมือให้พร้อมด้วยบัตรผลึกสีชาดของแต่ละคน หลี่หลินจื่อเองก็แฝงอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย เขาหลบอยู่ในหมู่ผู้คนอย่างร้อนตัว กลัวจะถูกหวังเป่าเล่อเห็นเข้า!
เขาไม่เคยคิดว่าจะเป็นเช่นนี้เลย แต่เมื่อลองเทียบผลึกมายาของทั้งสองฝ่าย โดยไม่ต้องใช้ความรู้ใดๆ เพียงแค่มองก็พบความแตกต่างแล้ว
แล้วยิ่งเวลาใกล้จะหมดลง เขาจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ยอมรับไปเสียที จังหวะนี้เอง หวังเป่าเล่อกลับสูดหายใจเข้าลึกแล้วเบนสายตามายังกลุ่มคน
“พวกท่านคิดดีแล้วหรือยัง” ”
“สหายเซี่ยเชิญลงมือให้เต็มที่ ต่อให้สุดท้ายสามารถผ่านเข้ารอบได้ทั้งที่ไม่ต้องปลด นั่นก็เป็นความสมัครใจของข้าเอง จะไม่ถือโทษเจ้า!” ”
“ถูกต้อง สหายเซี่ยโปรดวางใจ” ”
เมื่อได้ยินคำพูดของคนเหล่านี้ หวังเป่าเล่อก็เผยท่าทีลังเลก่อนจะสูดลมหายใจอีกคราหนึ่ง เขาส่ายหน้าแล้วก็ถอนหายใจยาว
“ช่างเถอะ ในเมื่อเป็นความต้องการของทุกคน เช่นนั้นข้าแซ่เซี่ยคงได้แต่ต้องช่วยแล้ว” ระหว่างที่กล่าว หวังเป่าเล่อก็ทำท่าระอาใจแล้วกำลังจะปลดผนึก ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าจำนวนไม่ถูก เมื่อเทียบจำนวนคนที่อยู่เบื้องหน้าแล้ว เหมือนว่าผลึกมายาจะขาดไปชิ้นหนึ่ง
ที่หายไปย่อมไม่ใช่ของเขา แต่เป็นของคนในกลุ่มนั้น ซึ่งไม่ได้ขอร้องให้หวังเป่าเล่อช่วยปลดให้
บรรดาคนที่ไม่ได้ขอให้ช่วยนั้น หวังเป่าเล่อเคยเห็นมาก่อน ก็คือเหล่าคนที่เคยอยู่ตรงประตูห้องโถงนั่น พี่ชายผู้สูงส่งที่หวีผมตั้งทรงเม่นคนนั้น
พี่ชายผู้สูงส่งท่านนี้ยืนอยู่ในกลุ่มคนพอดี ฝ่ายนั้นกำลังกอดอก เหมือนต่อสู้กับตนเองอยู่ เมื่อสัมผัสได้ถึงแววตาของหวังเป่าเล่อ เขาก็พลันถลึงตา แค่นเสียงเฮอะหนึ่งที
“ไม่ต้องมองหรอก ข้าจะไม่ปลดผนึก! ”
“ช่างหัวรั้นเสียจริง…” หวังเป่าเล่อรู้สึกพิลึก อีกฝ่ายทำตัวเช่นนี้ทำให้เขาวางตัวลำบาก ในกรณีที่ทุกคนปลดผนึกแล้ว ก็จะไม่มีจุดแตกต่างให้เทียบ แล้วก็จะไม่มีเรื่องชวนกังขาให้คนกลุ่มนี้จับสังเกตได้
แล้วนั่นคือการจบเรื่องราวที่ดีที่สุด ต่อให้ก่อนหน้านี้เขาออกปากไว้หลายรอบก็ตาม แต่เขาก็ทราบดี มารยาทนั้นส่วนมารยาท ความเป็นจริงก็ส่วนความเป็นจริง หากคนพวกนี้พบว่าไม่ปลดผนึกก็ผ่านได้เมื่อไหร่ แม้คนจำนวนหนึ่งจะไม่ถือสา แต่ก็ย่อมมีคนที่ไม่พอใจแล้วรุมโจมตีเขาแน่นอน
เรื่องที่พวกนี้จะเพ่งเล็งเขานั้น หวังเป่าเล่อไม่สนใจ ทว่าเลือกให้มันไม่เกิดขึ้นจะดีกว่า ดังนั้นแล้วเขาจึงตัดสินใจเผยรอยยิ้ม สีหน้าไม่ปรากฎแววพิรุธ กลับกันก็พลันเสแสร้งเป็นมิตร
“สหายเต๋าท่านนี้ ทุกคนมาอยู่ตรงนี้นับว่ามีชะตาต้องกันอยู่บ้าง เอาล่ะ ของผู้อื่นข้าปลดหมดแล้ว เหลือแค่ท่านเท่านั้น เอาอย่างนี้ไหม ถือเป็นค่ามิตรภาพ ข้าจะทำให้ท่านโดยไม่คิดค่าแรงเลย” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากพร้อมรอยยิ้ม เขายกมือขวาขึ้นชี้ไปยังพี่ชายผู้สูงส่งคนนั้น
ชายผู้สูงส่งรายนั้นได้ยินก็ตะลึง เขามองหวังเป่าเล่ออย่างพินิจพิจารณา ในใจก็พลันผ่อนคลาย คิดว่าก่อนหน้านี้เป็นตนที่หุนหันเกินไป คนหยิ่งอย่างหลี่หลินจื่อยังยอมวางมาดแล้ว ทำไมตนต้องยึดถือเรื่องเก่าๆ แล้วทำตัวไม่ชอบขี้หน้าเซี่ยต้าลู่ด้วยเล่า
อีกทั้งเจ้าเซี่ยต้าลู่ผู้นี้ ก็ไม่ได้คิดแต่จะหาผลประโยชน์อย่างแบบที่หลี่หลินจื่อว่า ที่สำคัญกว่าก็คือ…เซี่ยต้าลู่ผู้นี้ให้เกียรติเขา
ความจริงคนในสำนักมักบอกว่าเขาไม่ค่อยฉลาด แต่ตัวเขาเองนั้นรู้สึกว่ามิใช่ตนเองโง่เขลาหรอก แต่เขานั้นแค่เป็นพวกหยิ่งยโสและมั่นใจในตนเองมากเกินไป ดังนั้นแล้วเมื่อพบผู้ที่ให้เกียรติเขา เขาย่อมยินดีจะคบหาสมาคมด้วย
คิดได้เช่นนี้ เขาก็เริ่มมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
“เจ้าชื่อเซี่ยต้าลู่สินะ ข้าจำไว้แล้ว” น้ำเสียงแม้จะกระด้างไปบ้าง แต่นี่ก็คือน้ำเสียงปกติของเขา ระหว่างที่กล่าวก็ยกมือขวาขึ้นโบก จากนั้นก็โยนผลึกมายาของตนไปให้หวังเป่าเล่อ
“เจ้าหมอนี่ซื่อไปหน่อยไหม…” หวังเป่าเล่อกะพริบตา เขาแอบมองนิสัยของพี่ชายผู้สูงส่งนี่ออกแล้วแต่ก็ไม่ได้สนใจ เขาพลันยิ้มแย้ม ระหว่างนั้นก็หยิบผลึกขึ้นมาปลดผนึกออก
เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ ท่ามกลางการรอคอยของทุกคน เวลาอีกหนึ่งก้านธูปก็ได้ผ่านไป ในช่วงก่อนที่เวทเคลื่อนย้ายในมิติฟ้าดินแห่งนี้จะทวีความรุนแรงมากขึ้น หวังเป่าเล่อก็ปลดผนึกเสร็จพอดี ผลึกมายาเริ่มส่องแสงไปทั้งสี่ทิศ เขาค่อยๆ บังคับให้แต่ละก้อนบินกลับไปหาเจ้าของ หลังจากผุดลุกขึ้น พริบตาเดียวกันก็เกิดเสียงระเบิดก้อง
พายุพัดโหมขึ้นสู่ฟ้า ผืนทวีปพลันมีคลื่นพลังซัดมาเป็นระลอก ในขณะที่คนรอบด้านต่างหัวใจเต้นกระหน่ำ เวทเคลื่อนย้าย…ก็เริ่มทำงาน!
ในเวลาเดียวกับที่เวทเคลื่อนย้ายเริ่มทำงาน…ก็มีเรื่องให้ทุกคนตกใจ ต่อให้เดาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ทุกสิ่งก็เกิดขึ้นเร็วเกินไป เหล่าผู้ที่ไม่ได้ถือครองผลึกมีอยู่เจ็ดคน…คนพวกนี้พลันลงมือรวบรัดรุนแรง คนเหล่านี้ปล่อยปลดพลังปราณและความเร็วออกมาเหนือกว่าในช่วงเวลาปกติของพวกเขาเอง การเคลื่อนไหวราวกับสายฟ้าฟาดนี้ ก็เพื่อหมายชิงเอาผลึกมายาเจ็ดชิ้นมาจากผู้ถือครองทั้งสามสิบคน
เมื่อเวลาใกล้สิ้นสุด มีคนหนึ่งในเจ็ดคนซึ่งเล็งหวังเป่าเล่อเอาไว้ จังหวะนี้เองแม่นางกระพรวนผู้นั้นลงมือสอดประสานกับอีกฝ่ายโจมตีมาทางหวังเป่าเล่อทันที
ส่วนอีกหกคนที่เหลือแม้มีเป้าหมายแตกต่างกันไป ทว่าทุกคนกลับพยายามทุ่มเทสุดชีวิตไม่แตกต่างกัน ทันใดนั้น เกิดเสียงดังก้อง ฟ้าดินหมุนคว้าง จากนั้นคลื่นพลังที่รุนแรงกว่าเก่าก็พลันโหมเข้ามาระหว่างที่ทุกคนกำลังต่อสู้กัน พาให้ลมพายุคลั่งกระหน่ำมาจากทุกสารทิศ!
………………………………………