หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 965 ความสามารถของดาวเคราะห์!
- Home
- หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting
- บทที่ 965 ความสามารถของดาวเคราะห์!
หลังจ้องมองกันอยู่ครู่หนึ่ง ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงแค่พริบตาเดียว แต่ภายในใจของหวังเป่าเล่อนั้นเหมือนเวลาดำเนินไปนิรันดร์
กระทั่งความคิดจะเคลื่อนพลังวิญญาณจุติในตำนานยังต้องชะงักในระหว่างนั้น เขาหลับตาทั้งสองข้าง เพื่อปิดภาพท้องฟ้าตระการไปด้วยดวงดาวเบื้องหน้าตน จากนั้นยกมือขวาขึ้นสะบัดไม้กลอง ท่ามกลางหมู่คนรอบด้านที่ต่างก็หัวใจสั่นไหว ตีกลองครั้งที่สิบสี่!
ในระหว่างที่ชายหนุ่มผู้สง่างามและชายหนุ่มชุดดำกำลังสะเทือนใจอยู่นั้น เขาก็ลงมือตีครั้งที่สิบห้า!
และในระหว่างที่ดวงตาของแม่สาวกระพรวนเริ่มแตกไปด้วยเส้นเลือดแดง ใกล้จะอยู่ในสภาวะสิ้นหวังนั้น เขาก็ตีครั้งที่สิบหก!
และสุดท้ายในยามที่ความอาทรเมตตาของโลกใบนี้แผ่ซ่านมาถึง ท่ามกลางการดิ้นรนของดาวเคราะห์เต๋าบนฟ้า เขาก็ตีครั้งที่สิบเจ็ด!
ตึงตึงตึงตึง ติดกันถึงสี่ครั้ง แต่ละครั้งล้วนทำให้ฟ้าดินโห่คำราม ทุกครั้งนั้นทำให้ผืนฟ้าบิดเบี้ยว และทุกครั้งนั้นทำให้จิตวิญญาณของทุกสิ่งในสถานที่แห่งนี้เหมือนถูกกระทบไปด้วยก็ไม่ปาน เสียงอัสนีบาตสะท้อนไม่หยุดอยู่ในสมอง
และเช่นเดียวกัน ทุกๆ ครั้งนั้นคือการตีด้วยกำลังทั้งหมดของหวังเป่าเล่อ ต่อให้มีแรงสนับสนุนดุจมหาสมุทรแห่งความเมตตาจากโลกใบนี้เกื้อหนุน แต่ตัวเขายามนี้ก็ยังคงหอบสะท้าน ร่างกายแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ โดยเฉพาะหลังจากครั้งที่สิบเป็นต้นมานี้ เขาต้องใช้แรงของตนเองประคองรับพลังจากภายนอกด้วย
หากสืบสาวต้นเรื่องลงไป ตัวเขาเองมิใช่ผู้ถือพลังฝึกปรือแห่งดาวเคราะห์ และยิ่งไม่ได้ถือครองร่างดาวพระเคราะห์ นี่เป็นเพียงแค่ร่างแยกเท่านั้น!
ครั้งที่สิบเจ็ดนี้ นับว่าสุดกำลังของเขาแล้ว คลองจักษุของเขาพร่าเลือน ส่วนร่างกายเหมือนว่าจะไม่สามารถรับกระแสความปรารถนาดีของโลกใบนี้ได้อีก มันพังทลายลง
แต่ผลลัพธ์ของการเคาะสี่ครั้งนี้ ล้วนแต่กระเทือนฟ้าดินทั้งสิ้น นี่ถึงขั้นที่ว่าเขาได้ทำเรื่องที่ผู้คนตกตะลึงและเคยเห็นเพียงครั้งเดียวในชีวิต เป็นระดับที่ไม่มีใครคาดฝันและไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์จักรวรรดิดาวตกนี้อีกด้วย!
น่านฟ้าในยามนี้ใกล้จะปริแตก สภาพของมันเหมือนถูกบีบให้กลายเป็นวังวนขุมยักษ์ มีเสียงลมพายุโห่กระชากอยู่ด้านใน ผืนดินของจักรวรรดิดาวตกสั่นสะเทือน ในส่วนของดาวเคราะห์เต๋าที่ถูกพลังอันยิ่งใหญ่นับร้อยบังคับลากลงมานั้น แม้จะยังคงดิ้นรนกระชากเงื่อนพลังให้ขาดอยู่เหมือนเดิม แต่หลังจากหวังเป่าเล่อตีกลองสู่สวรรค์อย่างต่อเนื่องไปถึงสี่ครั้ง ทำให้เส้นพลังจำนวนมาก เริ่มกลายสภาพจากร่างมายาเป็นฝ่ามือขนาดยักษ์หนึ่งมือ คว้า…จับดาวเคราะห์เต๋าไว้!
ในพริบตาที่มันคว้าดาวเคราะห์เต๋านี้ หัวใจหวังเป่าเล่อโห่ร้องรุนแรง แม้ว่าจะเป็นการคว้าจากระยะไกล แต่ความรู้สึกที่ได้สัมผัสนี้ ทำให้พริบตานั้นเขาพลันเข้าใจถึงกฎแห่งดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้ทันที
ลมปราณทั่วร่างพวยพุ่งขึ้นฟ้า หลอมรวมเข้ากับโลกใบนี้ กลายเป็นเอกะสภาวะเดียวกัน ราวกับว่าเขาหยิบยืมเจตจำนงค์แห่งแผ่นดินและโชควาสนาของจักรวรรดิดาวตกมาไว้กับตนเอง และไม่ยอมให้มีพลังใดๆ มาต้านทั้งสิ้น ในพริบตาที่คว้าดาวเคราะห์เต๋าได้ หวังเป่าเล่อก็ใช้พลังทั้งหมดที่มีคำรามเสียงหนึ่ง แล้วจัดการลากมันอย่างแรง!
“ลงมา!”
การลากครั้งนี้พาให้ทุกคนรู้สึกว่าผืนดาราเบื้องหลังกำลังเอนตามลงมาด้วยกัน ส่วนเงาร่างที่กำลังดิ้นรนของดาวเคราะห์เต๋านี้พลันระเบิดแสงที่รุนแรงจนสุดกำลัง จากตอนแรกที่อยู่ในสภาวะเรือนราง ตอนนี้มันถูกลากร่างที่แท้จริงออกมากว่าครึ่ง!
ท่ามกลางเสียงสะท้อนก้อง ท้องฟ้าร่วงหล่น ดาวเคราะห์ขนาดมโหฬารก็ปรากฏกายบนนภา กินพื้นที่ไปมากกว่าสามส่วนของผืนฟ้า มันถูกบีบให้เผยร่างดาวเคราะห์ของมันมากกว่าเจ็ดส่วนแล้ว!
จากมุมนี้ยังสามารถเห็นได้ชัดเจนว่า กว่าครึ่งของดาวเคราะห์นี้ ไม่ได้เป็นภาพมายาอีกต่อไป แต่นี่คือร่างจริงของมัน และในสภาวะที่สามารถเห็นร่างจริงได้นี้ ยิ่งทำให้ทุกผู้คนเห็นชัดเจนว่า…รูปลักษณ์ทั้งหมดของดาวเคราะห์เต๋านี้ ผิดแผกจากดาวดวงอื่นอย่างยิ่ง มันที่ลอยอยู่บนท้องฟ้านี้ ลักษณะดูเหมือน…ดาวกระดาษ!
อีกทั้งหลังถูกลากออกมากว่าครึ่งแล้ว แสงของดาวเคราะห์เต๋าก็กลับระเบิดขึ้นอีกครั้ง กลายเป็นลำแสงเสียดแทงลูกตา ก่อเกิดมหาสมุทรแห่งลำแสง จากนั้นในจังหวะที่แสงนี้อาบทั่วทั้งจักรวรรดิดาวตกถึงที่สุด แสงนี้ยังเจือไปด้วยความโกรธชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน แผ่ออกจากดาวเคราะห์เต๋า หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยทะเลลำแสงที่ตกลงมา!
ความโกรธานี้แห่งดาวเคราะห์เต๋าเดือดยิ่งนัก เห็นได้ชัดเจนว่าพลังสายนี้บิดสภาพแปรเป็นทะเลเพลิง ดาวเคราะห์เต๋าหวังจะเผาผลาญโลกใบนี้ทิ้งเสีย เพราะในฐานะดาวเคราะห์เต๋า มันย่อมมีปณิธานของตนเอง มันสัมผัสได้ถึงชีวิตเล็กๆ ทั้งหมดบนผืนดินนี้ ไม่ว่าจะเอาสิ่งใดไปเทียบ คนเหล่านี้ก็ดูอ่อนแอจนต้องสยบต่อมัน ระดับความแตกต่างของมันกับที่นี่ย่อมเหมือนช่องว่างยักษ์ใหญ่ระหว่างฟ้าและผืนดิน
เพียงแค่…มันกำเนิดมาในจักรพิภพดาวตก และเพราะว่ากฎของมันนั้นก่อกำเนิดมาจากจักรวรรดิดาวตก ดังนั้นจึงเป็นเหมือนสัญญาโบราณฉบับหนึ่ง ทำให้ตัวมันเองมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับนครดาวตก และถึงขั้นต้องยอมอยู่ใต้อาณัติอย่างเลี่ยงไม่ได้!
การบังคับนี้…ก่อนหน้า มันไม่เคยสนใจ เพราะว่าจักรวรรดิดาวตกไม่เคยเข้ามายุ่งกับการเลือกของกลุ่มดาว แต่ว่ากลับบังคับให้มันต้องแสดงท่าทีนี้ออกมา
สิ่งนี้ทำให้มันผู้แสนจะจองหอง แม้จะถูกลมปราณอันสูงศักดิ์จากต่างพิภพลากลงมา แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าชีวิตเล็กจ้อยเหล่านี้ มันทำได้เพียงแสดงอาการดิ้นรนขัดขืนจากการถูกลาก แต่ก็ไม่อาจหุนหันตอบโต้ต่อการล่วงละเมิดนี้ได้
ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะโชควาสนาของทั้งจักรวรรดิดาวตก ผนวกรวมอยู่บนตัวเจ้าสิ่งมีชีวิตเล็กจ้อยนี่ และเพราะเจตจำนงค์แห่งจักรวรรดิดาวตกเอง หวังให้มันร่วงหล่น ราวกับทั้งสองสิ่งจะบอกให้มันยอมเลือกหลอมรวมกับอีกฝ่าย ยอมเป็นดาวเคราะห์บริวาร!
นี่ไม่ใช่สิ่งที่มันต้องการ ดังนั้นมันจึงขัดขืน มันไม่ชอบเจ้าหมอนี่ มันไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะตระหนักถึงนามแห่งดาวเคราะห์เต๋า กระทั่งความรู้สึกที่มันถึงขั้นเกลียดชังยามมองเจ้าคนผู้นี้ เพราะในความเห็นของมันแล้วการที่อีกฝ่ายตีกลองมาได้จนถึงจุดนี้ ทั้งหมดก็เพราะอีกฝ่ายอาศัยพลังจากภายนอกทั้งสิ้น คนประเภทนี้ มันไม่ต้องการ!
ทางเลือกของมัน ก็คือคนข้างๆ ที่ยอมให้มันเป็นนาย และยอมลดตนเองเป็นรอง
นี่สิคือทางเลือกของมัน!
ดังนั้นมันจึงเดือดดาล มันดิ้นรน ความโกรธของมันแผ่ซ่าน ทะเลแสงระเบิดออกท่วมรอบตัวดาวเคราะห์เต๋า จนก่อเกิดเงาแห่งพระเพลิง ราวกับมันกำลังลุกไหม้ นี่มิใช่การเผาตัวตาย แต่ตัวมัน…วางแผนแยกตัว!
ดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้ ตัดสินใจแสดงท่าทีแยกออกจากจักรวรรดิดาวตก และแสดงตนว่าจะไม่ยอมศิโรราบต่อความคิดนี้แล้วเลือกหวังเป่าเล่อแน่!
แม้มันไม่ได้เอ่ยคำ แต่ความโกรธของมันที่แผ่กระจายอยู่ ก็ทำให้ทุกสิ่งในจักรวรรดิดาวตกนี้พลันเข้าใจเจตนาของมันทันที ทุกคนล้วนแต่ค่อยๆ นิ่งเงียบไป
เพราะเจตจำนงที่ดาวเคราะห์เต๋าแสดงออกมานี้ก็คือการไม่พอใจที่หวังเป่าเล่อยืมใช้พลังจากภายนอก ซึ่งในความรู้สึกของคนจำนวนมากก็คือเรื่องที่สมควรเกิดแล้ว
เพราะหากเทียบไป ไม่ว่าจะเป็นแม่สาวกระพรวนหรือชายหนุ่มชุดดำ ถึงพวกเขาจะยืมใช้พลังภายนอกอยู่บ้าง แต่โดยรวมทั้งหมด ในสายตาของคนส่วนใหญ่ก็เห็นสองคนนี้พึ่งพิงกำลังตนเอง
“เจ้ายอมแตกหักกับจักรวรรดิดาวตก แต่ไม่ยอมเลือกข้า? เพราะเจ้าเห็นว่าข้ายืมใช้แรงจากภายนอกรึ?”
เขาแหงนหน้ามองดาวเคราะห์เต๋าที่ตนดึงออกมาครึ่งหนึ่งนั้น พลางเผยรอยยิ้มเย็นชา เขาหันกายไปมองจักรพรรดิดาวตกที่อยู่ในตำหนักหลักนั้น ประสานมือน้อมลงต่ำคราหนึ่ง
“ขอผู้อาวุโสโปรดเก็บโชคของท่านกลับไปเถิด!”
หลังการนิ่งเงียบสั้นๆ ของจักรพรรดิ ก็มีเสียงถอนหายใจบางเบา เสียงนี้สะท้อนชัดเจนในก้นบึ้งหัวใจของทุกวิญญาณบนโลก หลังการสะท้อนของเสียงนี้ พลังภายในร่างของหวังเป่าเล่อก็กระจายเป็นแสงห้าสี สีขาวหมายถึงท้องฟ้า สีดำแทนผืนดิน สีเขียวแทนชีวิต สีฟ้าแทนมหาสมุทร และสีขาวแสดงถึงกฎ
แสงเหล่านี้รวมตัวกันอยู่ที่หว่างคิ้วของหวังเป่าเล่อ แล้วสุดท้ายก็กระจายออกไปนอกร่างของเขา แปรเป็นรุ้งห้าแฉกยาวเหยียดกลับสู่ฟ้าดิน
หลังจากที่พวกมันจากไป ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็สูญเสียพลังค้ำยัน ในเวลานี้เมื่อไม่มีโชคแห่งจักรวรรดิดาวตกแล้ว ปราณอาทรจากโลกใบนี้ก็หายไป…กล่าวได้ว่าทุกอย่างกลับไปสู่จุดเดิมแล้ว เขาพิงตัวกับกลองสู่สวรรค์ ฝืนยืนอยู่ตรงนั้น ลมหายใจอันอ่อนแอของเขาในยามนี้กลับยังมีเจตจำนงที่น่านับถือขุมหนึ่งทะยานกลับขึ้นมา!
ในเวลานี้เอง ทุกผู้คนในจักรวรรดิดาวตกต่างเพ่งมอง ดาวเคราะห์เต๋าที่ถูกลากลำตัวครึ่งหนึ่งออกมากลางฟ้าและกำลังโกรธเคืองนี้ กำลังมองหวังเป่าเล่อด้วยท่าทีลังเล
“ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าแค่หาข้ออ้างเพียงเพราะไม่ต้องการจะหลอมรวมกับข้าหรือไม่”
“แต่ไม่ว่าอย่างไร ข้าคืนพลังจากภายนอกทั้งหมดไปแล้ว เช่นนั้นต่อไปนี้…เจ้าจงดูให้ชัด!” หวังเป่าเล่อเอ่ยนิ่งๆ แต่เมื่อกล่าวถึงห้าคำสุดท้าย เขาก็พลันแหงนหน้าขึ้น นัยน์ตาทั้งสองที่ดูหม่นในคราแรกเพราะโชคและปราณแห่งความปรารถนาดีจางไปโดยไม่ทันตั้งตัว กลับพลันระเบิดออก นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายแสงที่โชติช่วงกว่าก่อนหน้า
แสงเจิดจ้านี้…พูดให้ชัด…คือ…แสงดารา!
“ดาวเคราะห์ วิญญาณจุติ!” ในใจของหวังเป่าเล่อคำรามลั่นเสียงต่ำ มือทั้งสองของเขาชูขึ้นสู่ฟากฟ้า!
………………………………….