หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 974 พร้อมรบ!
เมื่อสัมผัสได้ถึงเสียงที่เปล่งออกมาจากสัมผัสสวรรค์ในพลังงานเทพที่หลงเหลืออยู่บนดาวดวงนี้ หวังเป่าเล่อก็กำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว สีหน้ามืดมนอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะยืนอยู่บนเรือโดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่ร่องรอยพลังงานเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขา ดูเหมือนจะส่งอิทธิพลต่อจักรวาลไปทุกทิศทาง จนทำให้จักรวาลด้านนอกเรือเริ่มส่งสัญญาณว่ากำลังจะกลายเป็นน้ำแข็ง
ถึงแม้จะไม่กระทบต่อความว่างเปล่า ทว่าในพริบตา อารมณ์โกรธของหวังเป่าเล่อก็ยังทำให้รอบตัวเกิดความผันผวน โดยเฉพาะดาวเคราะห์เต๋าในร่างกายที่หมุนตัวอย่างรวดเร็วหลังจากสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของหวังเป่าเล่อ
ทำให้รอบตัวหวังเป่าเล่อค่อยๆ ปรากฏเงาดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าขึ้น กฎภายในก็เริ่มเปลี่ยนไปจนก่อตัวเป็นสีทั้งเก้า ขณะที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้น แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่ซ่านออกมาจากร่างของหวังเป่าเล่อ
บริเวณโดยรอบค่อยๆ เกิดเสียงคำรามดังก้องไปทั่ว และยังมีกระแสน้ำวนเคลื่อนมาบรรจบกันจากทุกทิศทาง อานุภาพขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นกระแสน้ำวนรอบเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมันได้กลายเป็นปากขนาดใหญ่ และราวกับมันสามารถกลืนกินดวงดาวตรงหน้าเข้าไปได้ หวังเป่าเล่อก็หลับตาลง
“เรื่องนี้เป็นความผิดของข้า…” หวังเป่าเล่อบ่นพึมพำ เขารู้สึกว่าตัวเองระแวงเกินไปและไม่ควรทิ้งเจ้าเยี่ยเหมิงรวมถึงเจ้าลาน้อยกับอู๋น้อยไว้ที่นี่เลย
มิเช่นนั้นคงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้และยังทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย
“อารยธรรมครามทองคำ…” หวังเป่าเล่อลืมตาพรึ่บ สายตาเผยความเด็ดขาดมุ่งมั่น มาถึงตอนนี้เขาไม่สามารถหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวได้ นั่นไม่ใช่นิสัยของเขาและไม่สอดคล้องกับไอสังหารที่ปะทุขึ้นมาไม่หยุดในขณะนี้เลย
นับตั้งแต่มาถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เส้นทางการฝึกตนของเขาก็ดูจะราบรื่น แต่ในความเป็นจริงกลับเกิดการพลิกผันมากมาย วันนี้เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นระดับดาวพระเคราะห์แล้ว หวังเป่าเล่อจึงไม่คิดจะระงับเจตนาฆ่าของตนอีกต่อไป ดวงตาของเขาเย็นยะเยือก หลังจากเงียบไปกว่าครึ่งก้านธูป หวังเป่าเล่อก็หันไปโค้งคำนับกระดาษรูปมนุษย์
“ผู้อาวุโสโปรดส่งข้ากลับไป…ท่าเรืออารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!”
กระดาษรูปมนุษย์เหลือบมองหวังเป่าเล่ออย่างล้ำลึก เขาไม่ได้พายเรือทันที แต่ปากของเขากลับเอ่ยคำพูดออกมาเป็นครั้งแรก
“เพราะข้อตกลงและกฎ ข้าจึงไม่สามารถออกจากเรือได้ และไม่สามารถก่อให้เกิดความขัดแย้ง แต่ตราบใดที่เจ้ายืนอยู่บนเรือ ข้าสามารถดูแลเจ้าให้ปลอดภัยและจะส่งเจ้าไปทุกที่ที่ต้องการ!”
หวังเป่าเล่อซาบซึ้งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น และโค้งคำนับให้กระดาษรูปมนุษย์อีกครั้ง
“ผู้อาวุโสไม่ต้องทำสิ่งใด ผู้เยาว์มีวิธีจัดการ!”
กระดาษรูปมนุษย์บนเรือดาวตกพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก แต่ขยับไม้พายในมือหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นเรือลำนี้ก็หายเข้าไปในจักรวาลอย่างเงียบเชียบ และมุ่งตรงไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์
ระหว่างการเดินทาง จักรวาลรอบตัวในสายตาหวังเป่าเล่อดูราวกับแม่น้ำไหลเชี่ยว มองแวบแรกดูพร่ามัว แต่หากสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่าเพราะเรือแล่นเร็วเกินจินตนาการ จึงทำให้ดูเหมือนทุกสิ่งรอบตัวกำลังเคลื่อนไหวราวกับสายน้ำ
เมื่อมองดูทุกสิ่ง หวังเป่าเล่อก็จิตใจสงบมาก มีเพียงความเยือกเย็นและความอาฆาตในใจเท่านั้นที่เข้มข้นขึ้นตามระยะทางที่เรือแล่นไป เขาคิดว่าหลังจากมาถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว แม้จะทำตัวเด่นไปบางเป็นครั้งคราว แต่โดยรวมก็ยังถือว่าค่อนข้างต่ำ
“ช่างเถอะ จากที่ข้าวิเคราะห์…เป็นข้าที่กังวลมากเกินไป เห็นได้ชัดว่ายังมีหนทางอื่นอีก ทำไมต้องกังวลด้วยล่ะ” หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองไปยังจุดหนึ่งในจักรวาลอย่างเงียบเชียบ
ขณะที่เหม่อมองไป ความเร็วของเรือก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ใช้เวลาไม่นานก็ถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ นั่นก็คือแค่ครึ่งชั่วยาม…เมื่อเรือดาวตกเริ่มแล่นช้าลง อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า!
หวังเป่าเล่อไม่ได้มองไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ในทันที สายตาเขายังคงจ้องมองไปในจักรวาล นอกจากตัวเองแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร
เพราะนั่นคือสถานที่ที่สำนักแห่งความมืดตั้งอยู่ในความทรงจำนิมิตมืดของเขา และเป็นสถานที่ที่อาจารย์ของเขาอยู่!
จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ดูเหมือนจะตัดสินใจได้แล้ว เขาจึงคุกเข่าคำนับไปยังทิศนั้นเงียบๆ
แล้วเขาก็ลุกขึ้นด้วยแววตาอาฆาต พอกระดาษรูปมนุษย์บนเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของหวังเป่าเล่อ ไม้พายในมือก็ขยับ เรือก็ส่งเสียงคำรามก่อนจะพุ่งผ่านสิ่งกีดขวางนอกอารยธรรมไปยังจุดที่หวังเป่าเล่อขึ้นเรือ!
ทันทีที่ปรากฏตัวก็พลันบังเกิดสภาพอากาศอันน่าตกใจขึ้นภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ วิถีผนึกกับดักก็แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งอารยธรรม ขณะเดียวกันที่ด้านนอกอารยธรรมก็ปรากฏเศษชิ้นส่วนผลึกขนาดใหญ่ที่สลักด้วยอักษรโบราณขึ้นมาจากความว่างเปล่า
ผลึกแต่ละชิ้นใหญ่เทียบเท่ากับดาวดวงหนึ่ง นอกจากเศษผลึกขนาดใหญ่ ก็ยังมีผลึกจำนวนมากจนนับไม่ไหวปรากฏขึ้น แล้วเลื่อนเข้าหากันในทันที ทำให้หากมองจากจุดที่สูงที่สุดซึ่งสามารถมองเห็นอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทั้งหมดได้ ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเศษผลึกที่รวมเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วเหล่านี้มีลักษณะเหมือนกำแพงที่ล้อมรอบทั้งอารยธรรมไว้ข้างใน
จนอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…ดูเหมือนจะกลายเป็นลูกบอลผลึกใสขนาดมหึมาเท่ากับดาราจักร!
ฉับพลันที่ลูกบอลผลึกใสก่อตัวขึ้น ในพื้นที่ท้องถิ่นของอารยธรรมครามทองคำที่อยู่ห่างไกลจากจุดนี้ ในอารยธรรมที่ทหารใต้บังคับบัญชาทั้งหมด ดารานิรันดร์ประดิษฐ์ทุกคนต่างก็ตื่นตัว ภายใต้การควบคุมของปรมาจารย์แห่งอารยธรรมครามทองคำ วิธีพิเศษได้ถูกใช้เพื่อรวบรวมพลังแห่งดารานิรันดร์และส่งไปยังผลึกยักษ์ที่ห่อหุ้มอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อยู่!
ทำให้ผลึกเปล่งแสงแสบตาขึ้นมาทันที ราวกับแปลงร่างเป็นดารานิรันดร์ขนาดมหึมา ที่แยกร่องรอยพลังงานทั้งหมดภายใน และแยกสัมผัสเชื่อมต่อทั้งหมดภายนอก
แน่นอนว่าการจัดการดังกล่าวก็เพื่อดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อ อีกทั้งอารยธรรมครามทองคำยังค่อนข้างมั่นใจว่าการจัดการนี้ไม่เพียงแต่ทำให้หวังเป่าเล่อหนีไม่พ้น แต่ต่อให้มีคนคิดจะหาตำแหน่งของหวังเป่าเล่อก็ทำไม่ได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ
ทำให้พวกเขามีเวลาและโอกาสมากขึ้น!
ดังนั้นจึงไม่เพียงแต่ผนึกกับดักด้านนอก แต่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็เช่นกัน แทบจะในทันทีที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัว ขณะที่ด้านนอกถูกผลึกใสห่อหุ้มก็มีระลอกคลื่นแผ่ซ่านไปรอบเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นเงาร่างของผู้ฝึกตนก็เผยตัวออกมาทีละคน!
หากดูจากที่เห็น ผู้ฝึกตน ณ ที่แห่งนี้มีจำนวนมากจนน่าตกใจ ด้านนอกมีทหารเกือบหนึ่งล้านคนล้อมรอบเป็นชั้นๆ แผ่ออกไปอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ด้านบนและด้านล่างก็เช่นกัน
ขณะเดียวกันตรงหน้าเรือ ก็มีร่องรอยพลังงานระดับดาวพระเคราะห์ปะทุออกมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ปรมาจารย์เต๋าใหม่รวมถึงสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งอารยธรรมครามทองคำ ดาวพระเคราะห์ทั้งสามคนนี้แล้ว รอบตัวพวกเขายังมีผู้ฝึกตนชายหญิงอีกหกคนที่บนร่างแผ่พลังผันผวนของดาวพระเคราะห์ออกมา
รวมทั้งหมดเก้าดาวพระเคราะห์ ที่ขณะนี้กำลังจ้องมองหวังเป่าเล่อบนเรือที่เพิ่งปรากฏขึ้นอย่างเย็นชา!
นอกจากนี้ด้านหน้าพวกเขาทั้งเก้ายังมีชายวัยกลางคนคนหนึ่ง คนคนนี้มีพลังลมปราณน่าทึ่งราวกับว่าเขาเพียงคนเดียวก็สามารถสยบทุกสิ่งและก่อระลอกคลื่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดได้ คนคนนี้คือปรมาจารย์ดารานิรันดร์แห่งอารยธรรมครามทองคำและเป็นผู้ที่ขัดขวางไม่ให้หวังเป่าเล่อขึ้นเรือ!
อีกทั้งเขายังไม่ใช่ดารานิรันดร์เพียงคนเดียวในที่แห่งนี้ ที่ด้านหลังหวังเป่าเล่อ จู่ๆ ก็มีร่างหนึ่งเดินออกมาจากความว่างเปล่า คนคนนี้สวมชุดสีดำ เป็นคนแก่ชราคนหนึ่ง ยามที่เขาเดินออกมา พลังลุกโชนก็ปะทุขึ้นโดยรอบ พลังแห่งดารานิรันดร์เปิดเผยออกมาอย่างเต็มที่
“ดาวพระเคราะห์เก้าคน ดารานิรันดร์สองคน!” เมื่อหวังเป่าเล่อหรี่ตา เขาก็เห็นว่าในที่ไกลๆ มีฟองอากาศขนาดใหญ่ลอยอยู่นอกวงของศัตรู อักษรโบราณบนฟองอากาศเรืองแสง แต่ตัวฟองกลับโปร่งแสง ทำให้หวังเป่าเล่อมองเห็นเจ้าเยี่ยเหมิงรวมถึงเจ้าลาน้อยและอู๋น้อยที่สลบไสลอยู่ด้านในฟองอากาศได้ทันที
หวังเป่าเล่อมองไปยังฟองอากาศโดยไม่สนว่าจะถูกสังเกตเห็น จู่ๆ ที่ด้านหลังเขาก็มีดาวดวงหนึ่งปรากฏขึ้น ดาวดวงนี้มีสีฟ้าซึ่งก็คือดาวเคราะห์บรรพกาลดวงที่ห้า เต๋าเมฆาฟ้า!
เมฆาเป็นสิ่งไม่เที่ยงและเปลี่ยนแปลงไม่รู้จบ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในวิถีลวงตา เต๋าเมฆาทำให้หวังเป่าเล่อมองทะลุฟองอากาศนั่นเข้าไปเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ในทันที มันไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นของจริง เจ้าเยี่ยเหมิงรวมถึงเจ้าลาน้อยและอู๋น้อยอยู่ในนั้น ถึงแม้จะอ่อนกำลัง แต่ก็ยังไม่ตาย
นั่นทำให้หวังเป่าเล่อโล่งใจในที่สุด อันที่จริงเรื่องนี้ก็อยู่ในการคาดเดาของเขาอยู่แล้ว ถึงอย่างไรการลงมือของอารยธรรมครามทองคำก็เพื่อให้ตัวเขามาที่นี่ ดังนั้นในฐานะเครื่องต่อรอง พวกเจ้าเยี่ยเหมิงจึงย่อมไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตในเวลาสั้นๆ
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นว่าเจ้าเยี่ยเหมิงและคนอื่นๆ ไม่เป็นอะไร เขาก็โล่งใจ ดวงตาของผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์วัยกลางคนตรงหน้าฉายแสงเย็บเยียบ ก่อนจะเค้นเสียงต่ำ
“หลงหนานจื่อ!”
…………………………………………………………..