หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 976 ปรมาจารย์มาแล้ว!
หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ สายตาไม่ยอมโอนอ่อนกวาดตามองไปรอบตัว สายตาของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับเขากำลังมองมดก็ไม่ปาน
ประหนึ่งว่าหลังจากพูดเช่นนี้ เขาก็เลิกปกปิดทุกสิ่งและเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา เขามองดูสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ที่พยายามยั่วยุเขาด้วยท่าทางเหมือนกับพระราชา
และหลังจากเขาพูดเช่นนั้นแล้ว เต๋าเปลวไฟเหลืองก็ไหลเวียนอยู่ในร่างกายและระเบิดไปทุกทิศทาง ในชั่วพริบตาเรือดาวตกก็แตกกระจายจนกระเด็นออกไปยังโลกภายในทำให้เขามองไปแล้วมันดูเหมือนกับดอกไม้เพลิงที่เบ่งบานในฉับพลัน
ส่องประกายระยิบระยับสะท้านแผ่นดิน!
ขณะเดียวกันคำพูดของเขายังแฝงไปด้วยพลังแห่งดาวพระเคราะห์ชั้นต้น เมื่อเอ่ยออกไปก็ยิ่งได้อิทธิพลจากดาวเคราะห์เต๋า ทำให้เพียงแค่เอ่ยปากเบาๆ ก็ราวกับฟ้าผ่าได้ จักรวาลระเบิดออกไปทุกทิศทางเกิดเป็นระลอกคลื่นกระเพื่อมออกไปทั่วบริเวณ
ไม่ใช่แค่ผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์ของอารยธรรมครามทองคำข้างหน้าและข้างหลังเขาเท่านั้นที่เจอความรุนแรงนี้เป็นพวกแรก ดาวพระเคราะห์ทั้งเก้าคนก็เช่นกัน ส่วนผู้ฝึกตนที่รายล้อมอยู่ห่างออกไป ทันทีที่ได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อก็ร่างกายสั่นสะท้าน
พลังแห่งดาวเคราะห์เต๋าระเบิดในชั่วพริบตา และก่อตัวขึ้นเป็นแรงกดดันทำให้บรรดาดาวพระเคราะห์ทุกคนต่างหวาดกลัว ระดับแรงกดดันของหวังเป่าเล่อนี้แข็งแกร่งกว่าดาวพระเคราะห์คนอื่น และแม้ว่าบางคนจะไม่ถูกกฎควบคุมเนื่องจากไม่ใช่ดาวพระเคราะห์ แต่พลังเทพก็สั่นสะท้านเช่นกัน
อีกทั้งพลังเทพเหล่านี้…แม้ว่าจะมีหลากหลาย แต่ก็มีไม่น้อยที่อยู่ในกฎเต๋าทั้งเก้าของหวังเป่าเล่อ ดังนั้นแรงกดดันที่เกิดจากคำพูดเขาจึงรุนแรงขึ้นไปด้วย
จนถึงขั้นทำให้บางคนไม่เพียงฐานการฝึกฝนสั่นสะท้าน ในหัวยังส่งเสียงร้องระงมอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาพร่าเบลอ หากไม่ใช่เพราะมีดารานิรันดร์กับดาวพระเคราะห์อยู่ด้วย สถานการณ์นี้คงดูเหมือนฉากตลกขำขันฉากหนึ่ง
แม้แต่ปรมาจารย์มาทัณฑ์ในบรรดาดาวพระเคราะห์เก้าคนนั้นก็ยังหน้าเปลี่ยนสีในทันที ในจำนวนนี้มีดาวพระเคราะห์ชั้นต้นห้าคน ดาวพระเคราะห์ชั้นกลางสองคน และดาวพระเคราะห์ชั้นปลายสองคน แต่วินาทีนี้ดาวพระเคราะห์ชั้นต้นทั้งห้าคนต่างตัวสั่นเทิ้ม ถึงแม้จะแข็งแกร่งกว่าดาวพระเคราะห์ใต้บังคับบัญชาพวกนั้นมาก แต่ดาวพระเคราะห์ที่สั่นไหวอยู่ในร่างกายก็ทำให้พวกเขาต้องยอมรับ…
ทีนทีที่พวกเขาประมือกับหวังเป่าเล่อ ภายใต้แรงกดดันของกฎและข้อกำหนดนี้ พวกเขาจึงไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เลย!
แม้แต่ดาวพระเคราะห์ชั้นกลางก็ดีกว่าชั้นต้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กระทั่งดาวพระเคราะห์ชั้นปลายอย่างปรมาจารย์มหาทัณฑ์กับคนจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คนนั้น ก็ยังสัมผัสสวรรค์สั่นคลอนและรู้สึกกดดันไม่ต่างกัน
พวกเขาเข้าใจแจ่มแจ้งว่าแรงกดดันจากกฎและข้อกำหนดในสถานการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าหลงหนานจื่อผู้นี้…แตกต่างจากก่อนหน้านี้ราวฟ้ากับเหว!
ผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์ทั้งสองสีหน้าเรียบเฉยเหมือนดั่งเดิม ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาสัมผัสสวรรค์สั่นคลอนไม่ใช่ความผันผวนของกฎดาวพระเคราะห์ แต่เป็น…ชื่อที่อีกฝ่ายพูดออกมา!
“ปรมาจารย์แห่งไฟ?!”
ทั้งสองต่างส่งเสียงพึมพำในใจ สัญชาตญาณความหวาดกลัวที่ไม่อาจปกปิดได้ปรากฏขึ้นในดวงตา แต่ที่มากกว่านั้นคือความไม่เชื่อ เพราะความจริงแล้ว…ชื่อของปรมาจารย์แห่งไฟนี้เป็นตัวแทนของสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินไป
นั่นคือผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพ การดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าดารานิรันดร์อย่างมาก แม้แต่ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย บุคคลเช่นนี้จะล้ำค่าและหาได้ยากยิ่ง และทุกคนล้วนมีชื่อเสียง หากโกรธขึ้นมาเมื่อไหร่ก็อาจก่อให้เกิดหายนะกับดาราจักรนับไม่ถ้วนได้เลย
อารยธรรมครามทองคำของพวกเขาดูเหมือนจะทรงพลัง ปรมาจารย์ของพวกเขาก็ดูเหมือนจะห่างจากระดับจักรพิภพเพียงครึ่งก้าวและถือว่ายืนอยู่บนจุดสูงสุดของดารานิรันดร์แล้ว แต่พวกเขารู้ดีว่า…ครึ่งก้าวนี้ยากจนแทบไม่อาจจินตนาการได้เลย ใช้คำว่าปลากระโดดข้ามประตูมังกรมาอธิบายก็ถือว่าดีมากแล้ว
อาจกล่าวได้ว่าแม้ไม่มีใครช่วยเหลือ แต่ปรมาจารย์แห่งไฟเพียงคนเดียวก็สามารถทำให้อารยธรรมครามทองคำของพวกเขาหายไปได้ในทันที
ถึงแม้จะบอกว่าอารยธรรมครามทองคำมีสำนักอื่นหนุนหลังอยู่ และในสำนักเหล่านั้นก็มีปรมาจารย์ระดับจักรพิภพอยู่คนหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรพวกเขาคือฝ่ายที่ไปพึ่งพาอาศัย ไม่ใช่สำนักของปรมาจารย์คนนั้นเอง ดังนั้นหากยั่วยุปรมาจารย์แห่งไฟ ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร ก็ไม่เกิดผลดีต่ออารยธรรมครามทองคำทั้งสิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากข่าวลือที่ว่าปรมาจารย์แห่งไฟคนนั้นไม่ลงรอยกับตระกูลไม่รู้สิ้น ขณะเดียวกันเขาไม่เพียงแข็งแกร่ง แต่ยังให้ท้ายลูกศิษย์มาก ในสถานที่ที่ดาราจักรไฟของเขาตั้งอยู่ หากมีคนนอกเข้าไปใกล้ก็อาจกระตุ้นความไม่พอใจของเขาได้แล้ว นับประสาอะไรกับการรังแกศิษย์ของผู้อื่น
นั่นทำให้ทั้งสองตกตะลึง แต่ยิ่งตกใจก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะตรรกะง่ายๆ ว่าหากหวังเป่าเล่อเป็นศิษย์เอกของปรมาจารย์แห่งไฟจริง แล้วเหตุใดต้องปิดบังการกระทำก่อนหน้านี้ด้วย เหตุใดจึงต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ และเห็นได้ชัดว่ารอบคอบขนาดนำคนที่ตนเป็นห่วงไปอยู่ด้านนอก
นอกจากนี้พวกเขายังไม่พอใจอย่างรุนแรง ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นและไม่อาจล้มเลิกแผนการทั้งหมดเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวของหวังเป่าเล่อและทำให้ความพยายามทั้งหมดสูญเปล่าได้ ถึงอย่างไร…นี่ก็คือเครื่องต่อรองสำคัญที่จะทำให้อารยธรรมครามทองคำก้าวไปอีกขั้น และยังเป็นโอกาสของปรมาจารย์ดารานิรันดร์ชั้นสูงสุดของอารยธรรมครามทองคำคนนั้น ที่จะใช้การแลกฝีมือในครั้งนี้ทะลวงระดับ!
ดังนั้นวินาทีต่อมา ผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์ที่อยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อก็เผยนัยน์ตาเย็นเยียบและหัวเราะเสียงดัง
“ปรมาจารย์แห่งไฟเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือ น่าขันเสียจริง ทำไมเจ้าไม่บอกว่าจักรพรรดิสวรรค์เว่ยยางเป็นอาจารย์เจ้าไปเลยล่ะ มันก็แค่เรื่องไร้สาระ!”
หวังเป่าเล่อยืนอยู่บนเรือและมองผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์ที่มีความกังวลในใจแต่กลับแสร้งส่งไอพิฆาตรุนแรงคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา และตอบในใจว่าถึงจักรพรรดิสวรรค์จะไม่ใช่อาจารย์ของข้า แต่เฉินชิงที่สังหารจักรพรรดิสวรรค์คือศิษย์พี่ของข้า
แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญ หวังเป่าเล่อไม่คิดจะเผยไพ่ตายทั้งหมดของตนที่นี่ ดังนั้นแทบจะในทันทีที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์เอ่ยปาก เขาก็พลิกมือขวาและหยิบแผ่นหยกออกมา
ในแผ่นหยกนี้มีพลังสาปแช่งซึ่งปรมาจารย์แห่งไฟมอบให้ และเคยบอกเขาว่าหากเสร็จสิ้นการทดสอบแล้ว แล้วต้องการคำนับอาจารย์ก็ใช้แผ่นหยกนี้บอกได้
เขากำลังจะบีบมัน แต่ในตอนนั้นเอง…ดารานิรันดร์คนนั้นก็หัวเราะเยาะและพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“หลงหนานจื่อ หยุดพูดเรื่องไร้สาระพวกนั้นเสียที หากเจ้ายืนกรานที่จะเล่นตลก ก็อย่าโทษข้าแล้วกัน!” พูดแล้ว มือขวาอันทรงพลังของดารานิรันดร์ก็โบกหนึ่งที ทันใดนั้นดาวพระเคราะห์ทั้งเก้าที่อยู่ด้านหลังก็ส่งสายตาพิฆาตอันแรงกล้า และใช้นิ้วหัวแม่มือไล่กดไปทีละนิ้ว วินาทีต่อมา…ฟองอากาศที่ผนึกเจ้าเยี่ยเหมิงรวมถึงเจ้าลาน้อยและอู๋น้อยก็สว่างวาบ
ด้านในมีพลังปราณมืดปรากฏขึ้นพันธนาการรอบร่างพวกเขา ทุกที่ที่มันแผ่ไปทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงรวมถึงเจ้าลาน้อยและอู๋น้อยที่สลบไสลเริ่มเกิดการสึกกร่อน ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้สติ แต่ก็ยังมีสีหน้าเจ็บปวดทรมาน
ฉากนี้ทำให้ไอพิฆาตของหวังเป่าเล่อระเบิดออกมารุนแรง จนเขายังไม่ทันสังเกตว่าเจ้าอู๋น้อยที่อยู่ในฟองอากาศดูเหมือนจะขยับนิ้วเล็กน้อย แต่พริบตาเดียวก็อดกลั้นไว้…
หวังเป่าเล่อที่ไม่ทันได้สังเกตเห็นฉากนี้หัวเราะอย่างโกรธจัด ขณะระเบิดไอพิฆาตและไม่ลังเลที่จะทุบแผ่นหยกในมือทันที น้ำเสียงเคร่งขรึมส่งขึ้นไปยังจักรวาล
“ศิษย์หวังเป่าเล่อ ขอท่านอาจารย์ช่วยข้า ช่วยคนและปราบดารานิรันดร์ผู้โง่เขลาทั้งสองด้วย!”
แทบจะในพริบตาที่หวังเป่าเล่อพูดออกมา แผ่นหยกก็แตกออก เสียงหัวเราะแก่ชราที่ดูเหมือนจะรออยู่นานแล้ว อีกทั้งยังแฝงความคาดหมายและความตื่นเต้นไว้ก็ดังก้องไปทั่วทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เพียงแค่เสียงหัวเราะก็ทำให้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์สั่นสะเทือน ทำให้ดารานิรันดร์ทั้งหลายมืดมนและทำให้ผลึกที่ปกคลุมด้านนอกแตกออกในทันที
ยิ่งกว่านั้นยังทำให้ผู้ฝึกตนทุกคน ณ ที่แห่งนี้ร้องคร่ำครวญในใจทันที แม้แต่ดารานิรันดร์สองคนนั้นก็ไม่ละเว้น พวกเขาหน้าเปลี่ยนสีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“จักรพิภพ!!”
“ปรมาจารย์แห่งไฟ!!”
ผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์ทั้งสองถอยร่นไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับระเบิดเสียงกรีดร้องออกมา แม้ว่าการหลบหนีต่อหน้าผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพจะเป็นเรื่องน่าขัน ทว่าในเวลานี้สัญชาตญาณก็สั่งให้พวกเขาควบหนีอย่างบ้าคลั่ง
แต่ในพริบตาที่พวกเขาถอยร่นไป ด้านหน้าเรือที่หวังเป่าเล่ออยู่ก็ปรากฏกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ขึ้นอย่างเงียบเชียบ ภายในกระแสน้ำวนนั้น จู่ๆ ก็เกิดทะเลเพลิงปะทุขึ้นและพุ่งออกมาราวกับภูเขาไฟ มันไม่ได้แพร่กระจายออก แต่ก่อตัวขึ้นเป็นแส้เปลวไฟสองเส้นและพุ่งเข้าใส่ดารานิรันดร์ทั้งสองอยู่ด้านหน้าและด้านหลังหวังเป่าเล่อ!
ทันใดนั้น…แส้เปลวไฟทั้งสองที่มาพร้อมแรงกดดันแห่งจักรพิภพ และพลังอันไร้ขอบเขตก็ตกลงบนร่างของดารานิรันดร์ทั้งสอง มันฟาดผ่าน…ชั้นกายเนื้อของพวกเขาทั้งสอง และ…แตกออก!!