หนึ่งเซียนยากเสาะหา (Lady Cultivator) - ตอนที่ 264
ตอนที่ 264 –เดินไปดูไป
ได้รับการยอมรับของพรตเต๋าคูมู่แล้ว โม่เทียนเกอก็เผยรอยยิ้มออกมา กุมหมัดกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณมาก”
นางทราบกระจ่างแก่ใจว่าพรตเต๋าคูมู่และถงเทียนอวิ้นทั้งสองคนไม่แน่ว่าจะเห็นแก่หน้าของฉินซี แต่นางก็มีความมั่นใจในตนเองว่าถึงจะช่วยเหลือไม่ได้ก็น่าจะไม่ถ่วงรั้งพวกเขา อย่าว่าแต่พูดถึงแผนการหลบหนี ใครจะเทียบนางได้เล่า
การทดสอบคราวนี้แม้แต่เหลยตงชิงและเฟิ่งเหนียงจื่อที่เอะอะมะเทิ่งก็ยังไม่มีคำพูด ทั้งสองคนมองดูพรตเต๋าคูมู่เก็บจอกครอบฟ้าแล้วพูดขึ้นมาใหม่จึงได้ต่างคนต่างกล่าวอำลาจากไป ท่าทางเบื่อหน่ายเป็นที่สุด
ถงเทียนอวิ้นมองดูสองคนนี้ หันหน้ากลับมายิ้มกล่าวกับโม่เทียนเกอว่า “สหายเต๋าชิงเวยอย่าได้ถือสาพวกเขา พวกเขาสองคนก็มีนิสัยเช่นนี้ล่ะ”
โม่เทียนเกอยิ้มตอบ ยังไม่พูดอะร ฉินซีก็กล่าวขึ้นมาแล้วว่า “สหายเต๋าคูมู่ สหายเต๋าถง ข้ากับซือเม่ยเดินทางมาไกล ยังไม่ได้จัดเก็บข้าวของ ขอลาไปก่อนนะ”
ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้แล้ว ทั้งสองคนก็รั้งตัวอีกไม่ได้ ทำท่าทางเชิญส่งพวกเขาจากไป
โม่เทียนเกอติดตามฉินซี เพียงเห็นเขาลงจากร้านอาหารแล้วกลับมีคนเข้ามาทักทายทันที พาพวกเขาไปยังเรือนอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง
ฉินซีเดินเข้าเรือน โบกมืออย่างเรียบง่ายตั้งม่านพลังป้องกัน นำหน้าเข้าห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ
เรือนนี้งดงามยิ่ง ขณะนี้เป็นช่วงเวลาอันสวยงามของฤดูใบไม้ผลิ ในเรือนปลูกต้นท้อมากมาย เต็มไปด้วยดอกท้อส่งกลิ่นหอมหวาน
ในห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ มีโต๊ะ เก้าอี้และม้านั่งไม้ที่งามปราณีตหลายตัว ในแจกันลายครามปักกิ่งท้อที่ดอกท้อกำลังเบ่งบานเต็มที่ยิ่งเพิ่มความหรูหรา สิ่งของทุกชิ้นล้วนจัดวางในตำแหน่งอันเหมาะสมที่สุด สะอาดเรียบร้อย ไร้ฝุ่นสักเม็ด แม้แต่ชาก็ยังอุ่นร้อน
โม่เทียนเกอมองดูรอบหนึ่ง กลับเห็นฉินซีเลือกที่นั่งแล้วนั่งลงตามสบาย รินชาสองถ้วย ตนเองถือเอาไว้ถ้วยหนึ่ง
นางลังเลสักครู่แล้วนั่งลงที่อีกด้านหนึ่ง หยิบอีกถ้วยขึ้นมาช้า ๆ
ไอร้อนลอยขึ้นมา ทำให้ม่านสายตารางเลือน ทั้งสองคนล้วนไม่พูดจา
ผ่านไปพักหนึ่ง โม่เทียนเกอได้ยินเสียงของเขา “พรตเต๋าคูมู่กับถงเทียนอวิ้นสองคนนี้ล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระของเมืองคุนจงนี้ ถึงจะไร้สำนักแต่ฝีมือกลับไม่ธรรมดา พวกเขาต่างมีวิชาลับ มองทั่วคุนอู๋ล้วนเป็นผู้ที่เยี่ยมยอดในหมู่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน”
โม่เทียนเกอชะงักไปพักหนึ่งจึงตอบรับเสียงค่อยคำหนึ่ง
ฉินซีเอ่ยอีกว่า “สำหรับเหลยตงชิงและเฟิ่งเหนียงจื่อ เจ้าก็อย่าได้ดูเบาพวกเขา เหลยตงชิงที่จริงแล้วเป็นผู้ฝึกตนสำนักเทียนเต้า เพราะทำให้ผู้อื่นในสำนักขุ่นเคืองจึงถูกส่งไปที่สถานที่ห่างไกล ถึงเขาจะมีเพียงระดับการฝึกตนก่อเกิดตานขั้นกลาง พลังวิญญาณบนร่างกลับไม่ธรรมดา ส่วนเฟิ่งเหนียงจื่อนั่น วิธีการแปลกประหลาด คนทั่วไปป้องกันตนได้ยากมาก ขณะนี้นางไม่ชอบเจ้า ตอนที่เจ้าเผชิญหน้ากับนางตัวคนเดียวต้องระวังให้จงหนัก”
“……” เงียบไปพักหนึ่ง โม่เทียนเกอจึงถามว่า “เหตุใดนางไม่ชอบข้า”
ฉินซียกมุมปากขึ้นยิ้มเล็ก ๆ “เจ้าอย่าเห็นว่าเฟิ่งเหนียงจื่อชอบแสดงท่ายั่วยวน ที่จริงแล้วนางเย่อหยิ่งที่สุดอย่างไม่มีใครเทียบ ปกติจะดูแคลนผู้ฝึกตนสตรีไร้การแสวงหาความก้าวหน้าพวกนั้นเป็นที่สุด โดยเฉพาะผู้ฝึกตนสตรีของสำนักใหญ่ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าสภาพแวดล้อมในการฝึกเซียนดียิ่งกลับมีไม่กี่คนที่แสวงหาความก้าวหน้า ขณะนี้นางเห็นเจ้าเป็นครั้งแรกเพียงรู้ถึงสถานะของเจ้า ย่อมจะไม่ชอบ”
โม่เทียนเกอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็โพล่งออกมาว่า “ซือเกอท่านชอบคนอย่างเฟิ่งเหนียงจื่อหรือ” ถามออกจากปากแล้วกลับรู้สึกตัวว่าเกินเลยไปหน่อย เอ่ยขึ้นมาทันทีว่า “ข้าเสียมารยาทแล้ว ขอซือเกออย่าได้ถือสา”
ฉินซีอึ้งไป เอ่ยว่า “นาง….ปกติข้าไม่ชอบสตรีมากนัก โดยเฉพาะผู้ฝึกตนสตรีที่เห็นชัด ๆ ว่าคุณสมบัติดีมากเหล่านั้นแต่รู้จักแต่เพียงแก่งแย่งความรัก สูญเปล่าโดยแท้ เฟิ่งเหนียงจื่อถึงนิสัยจะไม่เข้ากับข้า จุดนี้กลับยังน่าพอใจ ดังนั้นข้าก็เต็มใจจะคบหากับนาง”
“….เช่นนี้เอง” โม่เทียนเกอพึมพำหนึ่งคำแล้วเปลี่ยนไปถามว่า “โส่วจิ้งซือเกอ เมื่อครู่สหายเต๋าถงผู้นั้นพูดว่าแปดสิบปีก่อนถ้ามิใช่มีจอกครอบฟ้าของพรตเต๋าคูมู่ พวกท่านเกรงว่าล้วนจะทิ้งร่างที่ภูเขามารแล้ว นี่มันเรื่องอะไร”
“อันนี้….” ฉินซีพึมพำกับตัวเองแล้วว่า “ข้าก็จะไม่ปิดบังเจ้า พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ที่ข้ารู้จักตอนออกจากโรงเรียนครั้งหนึ่งหลังข้าก่อเกิดตาน ภายหลังพบปะกันที่ภูเขามาร ก็คือในการเดินทางนี้ที่พบกับบิดาเจ้า…..”
โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นปุบปับจ้องมองเขา
ภายใต้สายตาของนาง ฉินซีกล่าวช้า ๆ ว่า “ตอนเริ่มแรก คนร่วมทางพวกเรามากมาย ภายหลัง หลายต่อหลายคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เหลือเพียงเจ็ดแปดคน ภายหลังต่อไปอีกข้ากับบิดาเจ้าก็พลัดหลงจากพวกเขา พวกเขาถอนตัวไปได้ทันเวลา ดังนั้นรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ข้ากับบิดาเจ้ากลับถูกขังอยู่ในนั้น ยากจะหนีออกมา”
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินผู้อยู่ในเหตุการณ์เอ่ยถึงบิดา โม่เทียนเกอแววตาวูบขึ้นมา ถามช้า ๆ ว่า “โส่วจิ้งซือเกอ บิดาข้า…..สรุปว่าตายอย่างไร”
ฉินซีเบือนหน้าหนีอย่างยากที่จะเผชิญกับสายตาของนางอยู่บ้าง พยายามสุดความสามารถกดน้ำเสียงของตัวเองลงไป “ข้ากับบิดาเจ้าติดอยู่ในภูเขามารเกือบสิบปี ในนั้นพบกับภยันตรายนับไม่ถ้วน บนร่างพวกเราได้รับบาดเจ็บ ภายหลังบิดาเจ้าบาดเจ็บสาหัส ฝืนทนต่อไปไม่ไหว ส่วนข้าติดอยู่โดยตลอดเพราะระดับการฝึกตน ไม่มีทางหนีไปได้ สุดท้าย…..บิดาเจ้าฝืนทนต่อไปไม่ไหวจริง ๆ บอกว่าจะใช้พลังทั้งหมดช่วยข้าหนีจากการกักขัง ถ้าหากข้าเอาชีวิตหนีรอดไปได้จริง ๆ ก็ให้สัญญาบางเรื่องกับเขา…..”
เรื่องราวช่วงนี้เดิมทีเขาไม่ได้ใส่ใจมากจนเกินไปเลย ภัยอันตรายที่พานพบมาในชีวิตนี้มิใช่เพียงภูเขามารเท่านั้น แต่ตอนนี้ความหมายที่มีต่อเขากลับไม่เหมือนเดิมแล้ว ถ้าหากในปีนั้นเขามิได้พบกับเยี่ยไห่ที่ภูเขามาร ถ้าหากเขามิได้ถูกขังอยู่กับเยี่ยไห่ ถ้าหากเขามิได้ตกลงตามข้อเรียกร้องของเยี่ยไห่….. ชีวิตนี้พวกเขาเกรงว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย
“……” ลังเลสักพัก สุดท้ายเขาจึงร้องออกมาว่า “เทียนเกอ เรื่องของบิดาเจ้า ข้า….ข้าทำเพื่อตัวเอง ยังมี…..”
โม่เทียนเกอแววตาหวั่นไหว ส่ายหน้ากล่าวว่า “ซือเกอไม่ต้องเป็นเช่นนี้ ถึงจะไม่มีท่าน บิดาข้าก็จะถูกขังจนตายในภูเขามารในที่สุด อีกอย่างท่านก็ตอบรับเรื่องตั้งมากมายของเขา ถือว่าเสมอกันแล้ว”
ฉินซีเงียบไป เดิมเขาไม่รู้สึกเลยว่าในเรื่องนี้ตนเองทำไม่ถูก ด้วยนิสัยของผู้ฝึกเซียน ตอนที่เยี่ยไห่บาดเจ็บสาหัสเขาจะแย่งชิงฐานการฝึกตนของเยี่ยไห่ก็ไม่ถือว่าเป็นบาปมหันต์ แต่เขามิใช่คนที่ไม่สนใจสภาวะจิตใจเช่นนั้น ดังนั้นแลกเปลี่ยนกันอย่างยุติธรรม เช่นนี้จึงไม่ผิดมโนธรรมต่อผู้อื่นแล้วก็สามารถทำให้ตนเองปลอดจากจิตมาร แต่ทว่าเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของนาง เขาอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกผิดเศษเสี้ยวหนึ่ง
ทั้งสองคนนั่งอยู่สักพัก ฉินซีทนรับความเงียบอย่างนี้ไม่ได้อยู่บ้าง เปิดปากขึ้นมาเองว่า “สถานที่ซึ่งบิดาเจ้าสิ้นชีพลงในปีนั้นข้าจดจำได้อย่างชัดเจนมาก ตอนนั้นข้าไม่ได้เอากระดูกของเขาออกมา ก็ไม่รู้ว่าหลายปีขนาดนี้จะยังอยู่ครบสมบูรณ์หรือเปล่า พวกเราเข้าภูเขามารแล้วไปดูที่นั่นกันหน่อยเถอะ”
โม่เทียนเกอฝืนยิ้มไม่ตอบคำ นางไม่ควรจะใส่ใจเรื่องกระดูกเช่นนี้เลย ก็เหมือนกับปีนั้นที่นางไม่สามารถหาเถ้ากระดูกของเทียนเฉี่ยวกลับคืนมาได้ ฉินซีพูดกับนางดังนี้ คนที่ฝึกเซียนไม่เหมาะที่จะยึดติดกับสิ่งของนอกกาย คนตายไปแล้ว เรื่องของการฝังศพเป็นเพียงการปลอบโยนคนเป็นเท่านั้น เพื่อเติมเต็มจิตใจให้ตนเอง เพียงแต่ว่าความตายของบิดาเป็นปมในใจที่นางคำนึงถึงในใจมานานปีขนาดนี้ นางยังหวังว่าจะมีเริ่มต้นมีจุดจบ พากระดูกของบิดากลับไปฝังร่วมกับมารดา
พอเห็นนางยังไม่พูดไม่จา ฉินซีใคร่ครวญสักพักแล้วเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “การเดินทางครั้งนี้ของพวกเรานอกจากพวกเขาสี่คนยังมีผู้ฝึกตนของสำนักกู่เจี้ยนหนึ่งคนที่ยังมาไม่ถึง รอจนคนผู้นั้นมาแล้วพวกเราก็จะสามารถเริ่มออกเดินทาง”
“อืม” โม่เทียนเกอตอบรับเสียงเบา ไม่ว่าอย่างไรเรื่องพวกนี้เขามีความเห็นของตนเอง นางยุ่งเกี่ยวไม่ได้
ทั้งสองคนไม่มีคำพูดกันจริง ๆ นั่นแช่ไปอีกสักพัก โม่เทียนเกอก็ถามว่า “โส่วจิ้งซือเกอ พวกเรายังจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน”
“คาดว่าสามถึงห้าวัน สำนักกู่เจี้ยนไม่ได้ไกลจากที่นี่ คนผู้นั้นส่งข้อความแจ้งมาแต่แรกแล้ว คิดว่าจะออกเดินทางในวันสองวันนี้”
“………”
ในที่สุดฉินซีก็ทนความเงียบงันนี้ไม่ได้เล็กน้อย ตั้งใจจะพูด โม่เทียนเกอกลับลุกขึ้นมาเสียก่อน “ซือเกอ ข้าไปปรับลมหายใจก่อนสักพักนะ ไม่ทราบว่าให้ข้าพักที่ไหนหรือ”
ในแววตาฉินซีปรากฏความผิดหวังวูบขึ้นมา ชี้นิ้วไปที่ด้านข้าง “เจ้าเลือกตามใจชอบสักห้องก็พอ ไม่มีปัญหา”
“ได้” โม่เทียนเกอไม่พูดมากความสักคำแล้วจากไปอย่างไม่รีรอ
ฉินซีนั่งอยู่คนเดียวสักครู่ มองดูถ้วยชาสองถ้วยบนโต๊ะแล้วจู่ ๆ ก็ทำเรื่องที่น่าขันอย่างมากเรื่องหนึ่ง เขาเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาที่นางไม่เคยจะดื่ม ยกดื่มจนเกลี้ยงแล้วสอดถ้วยเอาไว้ในอกเสื้อ
หลังจากเหลยตงชิงและเฟิ่งเหนียงจื่อ, ฉินซีและโม่เทียนเกอล้วนจากไป พรตเต๋าคูมู่และถงเทียนอวิ้นสองคนนั่งไม่พูดไม่จาอยู่พักหนึ่ง พรตเต๋าคูมู่ยกมือขึ้น เขตกักเสียงอันหนึ่งปรากฏขึ้นรอบทั้งสองคน
“สหายเต๋าถง ท่านเห็นว่าอย่างไร”
ถงเทียนอวิ้นครุ่นคิดชั่วขณะ หยิบหมากดำขึ้นมาวางลงบนกระดานหมากอันว่างเปล่า “สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไรยังต้องเดินไปดูไป”
พรตเต๋าคูมู่สัมผัสหนวดเคราของตนเอง แต่กลับยิ้มออกมา “สหายเต๋าถง ดูท่าท่านจะประเมินอาจารย์เต๋าชิงเวยผู้นี้ไว้ค่อนข้างสูงทีเดียวนะ”
ใบหน้าของถงเทียนอวิ้นที่ผอมแห้งจนแทบจะไม่มีเนื้อหนังเผยรอยยิ้มขึ้นมา “ผู้ฝึกตนที่เพิ่งจะก่อเกิดตานผู้หนึ่งสามารถทำถึงระดับนี้ไม่ง่ายดายแล้ว มิเสียทีที่เป็นศิษย์ชั้นสูงของโรงเรียนมีชื่อ!”
พรตเต๋าคูมู่พยักหน้า “พวกท่านสองคนต่อสู้กัน ข้าถึงกับไม่สามารถรับรู้ได้ แสดงว่าจิตหยั่งรู้ของอาจารย์เต๋าชิงเวยผู้นี้ก็ไม่ธรรมดาเลย ไม่แน่ว่าแม้แต่ระดับก็ยังไม่เสถียร แต่กลับทำได้ถึงขั้นนี้ ไม่ง่ายจริง ๆ” พูดถึงตรงนี้แล้วเขาก็เปลี่ยนหัวเรื่องไปอีก “แต่ว่าอย่างนี้จะประมาทเกินไปหรือไม่ ไม่ว่าจะเหลยตงชิงหรือว่าเฟิ่งเหนียงจื่อ ยังมีสหายเต๋าจิ่งผู้นั้นล้วนเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเลื่องชื่อของคุนอู๋ ถึงแม้เขาฉินโส่วจิ้งจะมีระดับการฝึกตนเหนือว่าพวกเขาทั้งหมด พามือใหม่ที่เพิ่งจะก่อเกิดตานคนหนึ่งไปด้วยก็คล้ายกับว่าจะค่อนข้าง….”
“พี่คูมู่กังวลไปไยกันเล่า” ถงเทียนอวิ้นกลับหัวเราะฮี่ ๆ ขึ้นมา ใบหน้าเหี่ยวแห้งอันนั้นของเขาหัวเราะขึ้นมาแล้วน่ากลัวจริง ๆ “ท่านไม่สู้คิดเช่นนี้ อาจารย์เต๋าชิงเวยผู้นี้ว่ากันว่าพรสวรรค์สูงยิ่งนัก เหนือกว่าคนร่วมรุ่นไปไกลลิบ ปัจจุบันนี้อายุอ่อนเยาว์ก็ก่อเกิดตานทองคำแล้ว ได้ชื่อว่าเป็นผู้ฝึกตนอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์สูงสุดของโรงเรียนเสวียนชิง บุคคลอย่างนี้อนาคตไร้ขีดจำกัด เหตุใดพวกเขากลับยอมให้นางตามไปเสี่ยงภัยที่ภูเขามาร ต้องรู้ว่าในหมู่พวกเรา ท่านกับข้าสองคนอายุขัยเหลือไม่มากแล้วยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ไม่อาจไม่ไปเสี่ยงดวง เฟิ่งเหนียงจื่อและเหลยตงชิง ยังมีสหายเต๋าจิ่งผู้นั้นล้วนมีความยากลำบากของตนเอง ส่วนฉินโส่วจิ้งถึงแม้อายุยังเยาว์ การฝึกตนก็สูงที่สุด แต่เขากลับผูกจิตวิญญาณล้มเหลวสามครั้ง ทุกคนล้วนมีเหตุผลของคนเองที่ไม่อาจไม่ไปเสี่ยงภัย สหายเต๋าชิงเวยผู้นี้เล่า อย่าเพิ่งเอ่ยถึงว่าตัวนางเองมีเหตุผลอะไร โรงเรียนเสวียนชิงเหตุใดถึงปล่อยคนมา ก็อาจจะเชื่อว่าฉินโส่วจิ้งจะสามารถคุ้มครองนางได้ แต่ถ้าหากนางไร้ค่าจริง ๆ ก็ไม่มีค่าให้ฉินโส่วจิ้งคุ้มครองหรือเปล่า”
“….. นี่ก็ใช่” พรตเต๋าคูมู่หยิบหมากขาวขึ้นมาวางในมุมตรงข้ามกับหมากดำ “แต่ว่ามีจิตหยั่งรู้เช่นนี้ สหายเต๋าชิงเวยจะต้องมิใช่คนไร้ค่า ก็แค่ไม่รู้ว่าสมควรแก่ฉายาอัจฉริยะหรือไม่”
……………………………………………..
ตอนที่ 265 – ชุมนุมค้าขาย