หนึ่งเซียนยากเสาะหา (Lady Cultivator) - ตอนที่ 282
ตอนที่ 282 – รักษาบาดเจ็บ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ฉินซีฟื้นคืนจากการสลบไสล
ที่ว่างคับแคบ ลำแสงมืดสลัว นอกปากถ้ำเป็นปราณปีศาจก้อนใหญ่อีกแล้ว ที่โชคดีคือมีเกราะป้องกันหนึ่งชั้นกักปราณปีศาจเหล่านี้เอาไว้ภายนอก
บนร่างหนักอยู่บ้าง ก้มหน้าลงมองกลับเป็นโม่เทียนเกอที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยไม่ขยับเขยื้อน ศีรษะเอนมาพิงบนตัวเขา มือทั้งคู่ของสองคนประสานเข้าด้วยกัน ทำให้เขารู้สึกเย็นเยียบแต่อ่อนนุ่ม
แผ่นหลังแสบร้อน เป็นบาดแผลที่อินทรีหัวยักษ์ฉีกทึ้งแผ่นหลัง แต่กลับรู้สึกนุ่ม ๆ อีก ยื่นมือออกไปสัมผัส ที่แท้นางคลุมผ้าคลุมไว้หนึ่งผืน
นี่มันเรื่องอะไร เพราะอะไรไม่รู้สึกว่าอาการบาดเจ็บสาหัสมากเลยล่ะ
“เทียนเกอ!” เขาเรียกเสียงค่อยแล้วผลักนาง
โม่เทียนเกอไม่ขยับ
เขามีความรู้สึกไม่สู้ดี ยื่นมือออกไปแตะชีพจรนาง จากนั้นตะลึงงัน
ชีพจรปราณของนาง….แห้งเหือด
ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขับเคลื่อนพลังวิญญาณในร่างทันที – ตามคาด ตานเถียนและชีพจรปราณของเขาสมบูรณ์ไร้ความเสียหาย พลังวิญญาณก็เต็มเปี่ยมมาก ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือมีพลังวิญญาณอินมากมายฝังลึกอยู่ในตานเถียนของเขา ผสมกลมกลืนกับปราณเป็นกลาง
ตะลึงไปพักหนึ่ง ฉินซีได้สติกลับคืนมา
แทบจะทุกครั้งหลังจากใช้ลูกประคำวิญญาณพลังหยาง ร่างกายของเขาจะอ่อนแออย่างไร้ขีดจำกัด ต้องใช้เวลานานมากฟื้นฟู ดังนั้นเขาใช้ลูกประคำวิญญาณพลังหยางน้อยครั้งมาก เพราะถ้าไม่มีการเตรียมการโดยสมบูรณ์แบบ หลังจากใช้จะปกป้องชีวิตได้ยากแล้ว แต่ครั้งนี้สาเหตุเป็นเพราะนาง เขาแม้แต่อาการบาดเจ็บภายในยังไม่มี
ปัจจุบันนี้นางอยู่ระดับก่อเกิดตานแล้ว ถึงแม้ก่อเกิดตานขั้นเริ่มกับก่อเกิดตานเต็มสมบูรณ์พลังวิญญาณจะห่างกันมาก พลังวิญญาณทั้งร่างของนางกลับเพียงพอให้เขารักษาบาดเจ็บแล้ว ดังนั้นตานเถียนและชีพจรปราณของเขาจึงได้ฟื้นฟูสู่สภาวะปกติในระยะเวลาอันสั้น
…………………………….
เขานั่งเหม่ออยู่พักใหญ่จึงได้ฟื้นฟูกลับมาช้า ๆ
ถ้ำนี้เล็กมาก นั่งเคียงข้างกันแทบไม่มีทางขยับเขยื้อน เพื่อที่จะรักษาบาดเจ็บให้เขา นางแทบจะขดตัวเป็นก้อนกลม แต่ถึงนางจะตัวไม่สูงร่างผอมบาง แต่ท่วงท่าเช่นนี้ก็ลำบากมาก
เขาคิด ๆ ดูแล้ววางนางลงนอนราบ ตัวเองหันข้างพยายามรักษาบาดเจ็บให้นาง บาดแผลที่แผ่นหลังขอเพียงขยับก็จะเจ็บปวดมาก เขาอดทนเอา
แต่ความเคลื่อนไหวนี้ยังไม่สามารถทำสำเร็จ ถึงเขาจะไม่ได้บึกบึนเลย แต่ตัวกลับสูงมาก อย่าว่าแต่นั่งตัวตรง แม้แต่หันร่างก็ยังยาก ทุลักทุเลอยู่ครึ่งค่อนวันสุดท้ายทำได้แค่เอนตัวมาข้างหน้า ฝืนหยัดตัวค้างอยู่เหนือร่างของนาง ตอนที่กำลังจะถ่ายทอดพลังวิญญาณให้นางจู่ ๆ กลับพบว่าท่าทางนี้ของตัวเองมัน…..เหมือนกับอยากจะเอาเปรียบนางเลย
พอพบเห็นจุดนี้ ใบหน้าของเขาก็ร้อนฉ่าอยู่บ้าง ทำต่อไปไม่ไหวแล้ว คิดไปคิดมาก็ได้แต่กลับไปนั่ง อุ้มนางขึ้นมาให้หันหลังให้ตัวเอง ฝ่ามือขวาวางไปบนจุดหลิงไท่ของนาง ถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าไปช้า ๆ
จุดชีพจรที่ดีที่สุดในการถ่ายทอดพลังวิญญาณจำนวนมากคือจุดซานจงที่หน้าอกและจุดหลิงไท่ที่แผ่นหลัง อันแรกไม่สะดวก เขาได้แต่เลือกอันหลัง
ขณะนี้ชีพจรปราณในกายนางแทบจะแห้งเหือด มีเพียงในตานเถียนที่มีพลังวิญญาณจำนวนน้อยหมุนวนอย่างช้า ๆ พริบตาที่พลังวิญญาณหยางบริสุทธิ์ของเขาถ่ายทอดเข้าไปก็คล้ายจะกระตุ้นวัฏจักรของพลังวิญญาณในร่างนางทันที เพียงพริบตาเดียว พลังวิญญาณของเขาหลั่งไหลเข้าไปในกายนางอย่างที่แทบจะควบคุมไม่อยู่
แต่การควบคุมไม่อยู่นี้กลับราบรื่นยิ่งนัก ตอนที่พลังวิญญาณหยางของเขาถ่ายทอดเข้าไปในกายของนาง ในชีพจรปราณของนางแทบจะรวบรวมพลังวิญญาณอินขึ้นมาทันที อินหยางห้าธาตุ วัฏจักรเวียนวน ก่อเกิดไม่สิ้นสุด
ใบหน้าของนางค่อย ๆ มีสีเลือด เพียงแต่คิ้วยังคงขมวดอยู่ เขารู้ว่านางได้รับบาดเจ็บที่จิตหยั่งรู้ จุดนี้เขาไม่สามารถทำอันใดได้ สิ่งของประเภทจิตหยั่งรู้ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าสามารถรักษาได้ ได้แต่ให้ตนเองฟูมฟักช้า ๆ ในห้วงมหรรณพแห่งความรู้
เขาคิดถึงตรงนี้ก็ส่ายหน้า หยุดการถ่ายทอดพลังวิญญาณ ยังคงนั่งเคียงข้างกัน แต่คิด ๆ ดูแล้วกลับรู้สึกว่าอย่างนี้ไม่ดี ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเอกภพหยิบเสื้อผ้าหนึ่งชุดออกมา วางลงรองข้างหลังของนาง ก้อนหินรอบด้านแข็งมาก อย่างนี้น่าจะสบายได้หน่อย
ความเจ็บปวดบนแผ่นหลังยิ่งสาหัส เขารู้ว่าตนเองเสียเลือดไปมาก แต่ที่นี่มันคับแคบเกินไป ที่ว่างเล็กแค่นี้แม้แต่เสื้อผ้าเขายังถอดไม่ได้เลย อย่าว่าแต่จะรักษาบาดแผล คิดแล้วก็ได้แต่ปล่อยไป ถึงอย่างไรสำหรับผู้ฝึกตนเป็นเพียงอาการบาดเจ็บเล็ก ๆ ไม่ตายหรอก
แต่สูญเสียเลือดไปมากแล้วยังประสบกับการต่อสู้อันแสนอันตราย เมื่อครู่ยังเสียพลังวิญญาณจำนวนมาก สมองของเขาอดไม่ได้ที่มึนงงขึ้นมา สิ้นสติลงไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
…………….
โม่เทียนเกอลืมตาขึ้นมา รู้สึกอบอุ่นไปทั่วร่าง แทบจะทำให้นางอยากบิดขี้เกียจ แต่การกระทำนี้ยังไม่ได้ทำออกมา ศีรษะของนางก็กระแทกเข้ากับอะไรบางอย่าง
นางร้องด้วยความเจ็บปวด กำลังจะเอามือไปปิดศีรษะตรงที่ชนจนเจ็บก็ได้ยินเสียงอันอ่อนโยนมากว่า “เป็นไรรึ” จากนั้นเป็นมือคู่หนึ่งอ้อมมาช้อนศีรษะนางขึ้น มองดู ตำหนิว่า “ทำไมถึงไม่ระวังเช่นนี้ เจ้านี่มีสำนึกของผู้ฝึกตนบ้างหรือไม่ มึน ๆ งง ๆ จริงเชียว”
ยังไม่ตื่นย่อมต้องมึนงง…. ประโยคนี้นางไม่ได้พูดออกไป เพราะนางรู้สึกว่าสถานการณ์ในขณะนี้มันพิลึกมาก
อันที่จริงสถานการณ์ที่นางมึนงงมันมีไม่มากจริง ๆ ในเวลาส่วนใหญ่นางล้วนจะมีสติมากสงบนิ่งมาก เพราะอะไรเวลาที่มึนงงอยู่แค่ครั้งคราวถึงได้ถูกเขาพบเห็นเสมอเลยเล่า
ในสมองปั่นป่วนยุ่งเหยิง นางสั่นศีรษะ โยนความคิดที่จับต้นชนปลายไม่ถูกพวกนี้ทิ้งไป
พอกลอกตา โม่เทียนเกอก็นึกเรื่องราวก่อนหน้าได้แล้ว พวกเขาพบกับการโจมตีของอินทรีหัวยักษ์บนหน้าผา ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นหลบอยู่ที่ตรงนี้รักษาบาดเจ็บ แต่ว่า….แต่ว่าทัศนคติของเขาในตอนนี้นี่มันเรื่องอันใดกัน
“โส่วจิ้ง…..ซือเกอ?” นางลองเชิงเสียงเบา
“ทำอะไร” น้ำเสียงของเขาฟังดูไม่ค่อยจะมีความสุข แต่บนใบหน้ากลับไม่มีท่าทางไม่มีความสุขเลย
จากนั้นเขาถามว่า “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไร พลังวิญญาณฟื้นฟูแล้วหรือไม่”
พลังวิญญาณ? นางสำรวจปราณทันที แต่กลับเหม่อไป
ฉินซีเห็นท่าทางของนางก็ตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย “เกิดปัญหาอะไรหรือ”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า ยังเหม่อ ๆ อยู่บ้าง “ไม่” ไม่เพียงไม่เกิดปัญหา แถมยัง….ไม่เคยจะดีขนาดนี้มาก่อนเลยด้วย! เดิมทีในกายนางมีเพียงพลังวิญญาณหยางปริมาณน้อย ปัจจุบันนี้กลับแทบจะก่อตัวเป็นวัฏจักรวนรอบตานทองคำแล้ว! นางจะโง่อีกสักแค่ไหนก็ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางถ่ายทอดพลังวิญญาณรักษาบาดเจ็บให้เขา หลังจากเขาหายดีก็ถ่ายทอดกลับคืนให้นาง การมาและไปนี้ไม่เพียงไม่ได้สูญเสียพลังวิญญาณ แถมยังกระตุ้นให้เกิดวัฏจักรพลังวิญญาณที่ร่างของพวกเขาด้วย
ทันใดนั้นนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดซือฟุถึงได้หมายมั่นจับคู่ให้พวกเขาขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะชอบผูกด้ายแดงเลย ทว่า…..วิชาและคุณลักษณะของพลังวิญญาณของพวกเขาถ้าหากฝึกตนร่วมสัมพันธ์จะต้องส่งเสริมกันและกันเป็นแน่
เพียงแต่พอนึกจุดนี้ได้นางก็รู้สึกไม่มีความสุขอย่างยิ่งอีกแล้ว เพียงเพราะว่าการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ของพวกเขาจะมีประโยชน์ต่อกันและกันเท่านั้นเองหรือ
“ตานเถียนชีพจรปราณไม่มีปัญหา เช่นนั้นจิตหยั่งรู้ของเจ้าเล่า”
ได้ยินคำถามของเขานางก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีก นางประคองศีรษะค่อย ๆ ส่ายหน้า “จิตหยั่งรู้….บาดเจ็บหนักหน่อย”
ฉินซีพยักหน้า ไม่รู้สึกเหนือความคาดหมายเลย เขาเอ่ยว่า “ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณถึงจะเป็นวิชาที่ดีที่เอาชนะได้ด้วยกระบวนท่าเหนือความคาดหมาย แต่ข้อด้อยก็ร้ายแรงมาก หลังจากนี้เจ้าต้องใช้อย่างระมัดระวัง”
“อืม” นางรับคำเบา ๆ ในอดีตใช้ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณได้ถึงขนาดที่ว่าใช้อ่อนแอเอาชนะแข็งแกร่ง แต่ครั้งนี้กลับเป็นเพราะว่าสภาพแวดล้อมที่อินทรีหัวยักษ์เหล่านี้เติบโตขึ้นมามีความพิเศษ กลับทำให้ตัวนางเองได้รับบาดเจ็บหนัก ขณะนี้ตลอดทั้งร่างกายนางไม่เป็นไร อาการบาดเจ็บของจิตหยั่งรู้อย่างน้อยที่สุดต้องฟูมฟักอยู่หลายปีจึงจะสามารถฟื้นฟูขึ้นมา
“จริงสิ ซือเกอ อาการบาดเจ็บของท่านหายดีแล้วหรือ”
เขาพยักหน้าเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “ไม่เป็นไรแล้ว นี่ยังต้องขอบคุณเจ้ามาก…..”
“ไม่เป็นไร”
ทั้งสองคนล้วนไม่เคยชินกับมารยาทขอบคุณกันไปขอบคุณกันมา พูดถึงตรงนี้ก็หยุดแล้ว
โม่เทียนเกอรู้สึกอยู่ตลอดว่าลืมเรื่องอะไรไป คิดอยู่สักพัก มองเห็นคราบเลือดบนปกเสื้อจึงได้คิดออกขึ้นมาอย่างปุบปับว่า “จริงสิ ซือเกอ แผลที่หลังของท่าน…..” นางเอื้อมมือออกไป อยากจะผลักเขาออกจากผนังหินสักหน่อยแล้วสำรวจดู
ฉินซีสะบัดออกแต่ไม่ยอมขยับ เพียงเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “ไม่เป็นไร”
“จะไม่เป็นไรได้อย่างไร!” โม่เทียนเกอไม่สนเขา ยังคงผลัก “เลือดไหลตั้งมากขนาดนี้ ตัวท่านเองไม่มีทางดูแลได้อีก วางใจเถอะ ข้าจะเบามือมาก ๆ”
“ไม่ใช่…..”
พูดยังไม่จบก็ถูกโม่เทียนเกอขัดอย่างดันทุรังมากว่า “ซือเกอ!”
พอเห็นท่าทางเลิกคิ้วขึ้นของนาง เขาก็พูดอะไรไม่ออกแล้ว ได้แต่ยอมตามนาง
โม่เทียนเกอจึงผลักเขาให้เขานั่งหันหลังให้ตนเอง มองไปทีเดียว บาดแผลเลือดเนื้อเลอะเลือนตามคาดจริง ๆ นางขมวดคิ้วลองฉีกเสื้อที่ข้างหลังของเขา แต่ชุดเครื่องแบบของโรงเรียนเสวียนชิงนั้นเป็นอุปกรณ์วิญญาณหรือว่าอุปกรณ์เวท ฉีกขาดยากมาก ไม่มีทางแล้ว นางเอื้อมมือออกไปปลดเข็มขัดของเขา
การกระทำนี้เป็นไปตามธรรมชาติมาก โม่เทียนเกอไม่รู้สึกไม่ถูกต้อง ฉินซีกลับตัวแข็งทื่อ สัมผัสได้ว่ามือของนางโอบกอดเอวของเขาจากข้างหลัง คลำอยู่ตรงบริเวณเอวของเขา คิดอยากจะปลดเข็มขัด
เพียงแต่ เสื้อผ้าของพวกเขาพันกันเป็นก้อนแต่แรกแล้ว นางจะปลดอย่างไรก็ปลดไม่ออก
ผ่านไปพักใหญ่นางชะโงกศีรษะมาคิดอยากจะดูว่าสรุปแล้วมันเป็นอย่างไร แต่พริบตาถัดมามือกลับถูกตรึงเอาไว้
“ทำไม…..” เพิ่งจะพูดไปได้ครึ่งเดียว นางกลับหยุดไปอย่างรู้ครึ่งไม่รู้ครึ่ง
ท่าทางนี้…..เหมือนว่าจะไม่ถูกต้องมากเลย
มือของเขากดลงบนของนาง เพื่อที่จะปลดเข็มขัด แขนทั้งคู่ของนางโอบเอวของเขา การกดนี้ทำให้ตัวของนางทั้งตัวล้วนติดอยู่กับแผ่นหลังของเขาแล้ว
เงียบงัน เสียงลมหายใจ
ในพื้นที่อันคับแคบ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจและเสียงหัวใจเต้นของกันและกัน วายุทิพย์ที่หวีดหวิวอยู่ภายนอกกลายเป็นห่างไกลและไม่เป็นของจริงแท้ หลงเหลือเพียงกันและกันที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ
โม่เทียนเกอรู้สึกว่ามือของตนเองร้อนมาก ตรงที่กดอยู่ที่เอวของเขาร้อนมาก หลังมือที่ถูกเขาจับไว้ก็ร้อนมาก นางรู้สึกว่าอย่างนี้ไม่ถูก คิดจะถอนกลับไป แต่เขากลับยิ่งตรึงแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
“เทียนเกอ….” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ได้ยินเสียงของฉินซี สั่นไหวอยู่บ้าง แต่กลับเจือสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน อ่อนโยนดั่งสายน้ำ
หัวใจของนางเต้นอย่างบ้าคลั่ง นึกอยากจะรออะไร แต่ก็รู้สึกว่ารอไม่ไหวแม้แต่วินาทีเดียว นึกอยากจะกระโจนหนี ควรจะตอบกลับไหม นางคิดอยู่อย่างนี้ แต่แม้กระทั่งเสียงของตนเองก็หาไม่พบ
ในที่สุดฉินซีก็ขยับ แยกมือของนางแต่ไม่ได้ปล่อย จากนั้น เสื้อผ้าเสียดสีกัน ค่อย ๆ หมุนร่างมา
พื้นที่นี้คับแคบเกินไปแล้ว พื้นที่ที่เขาสามารถหมุนได้มีจำกัดมาก ดังนั้นหลังจากหมุนตัวแล้วเขาก็แทบจะอยู่ติดกับร่างของนาง
โม่เทียนเกอรู้สึกหายใจไม่ออก ดิ้นรนจะถอยหลังไป นึกอยากจะเว้นระยะห่างสักหน่อย
แต่พริบตาถัดมา เขายังคงเอนเข้ามา ในที่สุดก็ปล่อยมือนาง แต่กลับไปโอบเอวของนางแล้ว
ถอยจนไม่อาจถอย
จุมพิตอันเย็นเยียบ
เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนั้น แต่กลับเป็นธรรมชาติสมเหตุสมผลขนาดนั้น
นางลืมตาทั้งคู่คล้ายกับไม่กล้าเชื่อว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ใบหน้าใกล้เพียงเอื้อมมือ ลมหายใจที่พัวพัน
ยังมี สัมผัสที่เย็นเยียบทว่าอ่อนนุ่มบนริมฝีปาก
ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยอย่างสิ้งเชิง
นางจะต้องฝันไป ต้องใช่แน่ ๆ
แต่ดวงตากลับยิ่งเบิกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้ยินเขาถอนหายใจอย่างจนใจ จากนั้นดวงตาก็ถูกปิด
จากริมฝีปากถึงลมหายใจ ล้วนร้อนระอุขึ้นมา
…………………………………….
โอ๊ย ในที่สุดก็แปลถึงตอนนี้ กรี๊ด ๆๆๆๆ ในที่สุดก็มาถึงพาร์ทความรักหนึ่งเดียวที่มีในเรื่องแล้วจ้า ดื่มด่ำกับมันให้ดี ๆ นะคะ เพราะหลังจากนี้ไม่มีแล้ว 5555
แปลไปเขินไปนะเนี่ย รู้สึกนับถือคนที่แปล/เขียนฉากรักขึ้นมาอย่างมหาศาลเลย โอ๊ยยยย
ตอนที่ 283 – ระบาย