หนึ่งเซียนยากเสาะหา (Lady Cultivator) - ตอนที่ 454 เปิด
ตอนที่ 454 – เปิด
“พวกเจ้าล้วนมาเถอะ” อาจารย์เต๋าหยวนมู่กล่าวกับผู้ฝึกตนก่อเกิดตานทั้งห้าในที่แห่งนี้
โม่เทียนเกอรู้ว่านี่คืออยากจะเปิดมิติแล้ว นางมองฉินซีแวบหนึ่ง เห็นฉินซีพยักหน้า ในแขนเสื้อมีแสงสีแดงวอบแวบ จึงก้าวเท้าไปหาอาจารย์เต๋าหยวนมู่
ก่อนหน้านี้ นางกับฝูเหยาจื่อเคยปรึกษากันว่า ถ้าหากอีกฝ่ายใช้ความแข็งแกร่งที่กล้าแข็งมาจับกุมนาง คุมคามชีวิต แล้วจะทำอย่างไร ตอนนั้นฝูเหยาจื่อพูดผ่อนหนักเป็นเบาว่า เช่นนั้นก็ดูว่าใครใจแข็งกว่า เป็นอีกฝ่ายไม่เต็มใจจะทิ้งโอกาสเปิดสถานที่ลับ หรือว่านางไม่เต็มใจจะทิ้งชีวิต
ฝูเหยาจื่อไต่เต้าจากผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งจนเป็นผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งของอวิ๋นจง ถึงจะบอกว่านิสัยเป็นมิตร บุคลิกกลับโดดเดี่ยวอย่างมาก บังเอิญว่าโม่เทียนเกอก็เช่นกัน นางไม่ชอบความรู้สึกหดหัวหดหางเลย นอกจากจะรอบคอบแล้วก็ไม่เคยกลัวการเสี่ยงอันตราย นี่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ที่พเนจรไปกับท่านอารองสองคนในปีนั้นของนาง ในฐานะผู้ฝึกตนอิสระ เป็นไปได้ที่จะเตรียมพร้อมรอบด้านเสียที่ไหน มีบางเวลา จะสามารถมีชีวิตต่อไปหรือไม่ สิ่งที่ดูคือกล้าเสี่ยงชีวิตหรือไม่กล้า หากมีความขลาดกลัวแม้เศษเสี้ยวก็เป็นไปได้ที่จะสิ้นชีพไปในยามหายนะ ส่วนคนที่กล้าเสี่ยงกลับสามารถจะได้รับโอกาสมีชีวิตรอดสายหนึ่ง
ปัจจุบันนี้ฉินซีมาถึงแล้ว นางยิ่งเพิ่มความมั่นใจอีกหนึ่งส่วน กระบี่อัคนีสามพลังหยางของฉินซีมีเวทลับโบราณกาล ทรงพลังอย่างยิ่ง เมื่อครู่ตอนที่เข่นฆ่าเหมยเฟิงได้แสดงความแข็งแกร่งออกมาแล้ว ถึงจะบอกว่าความแข็งแกร่งเช่นนี้ทำได้เพียงแข่งขันกับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้น แต่ฝึกตนมาถึงจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย แล้วยังมีวาสนาแปลงเทพอยู่ตรงหน้า ผู้ฝึกตนเหล่านั้นจะเต็มใจเสี่ยงชีวิตกับผู้ฝึกตนที่ความแข็งแกร่งเทียบเคียงกันก่อนที่จะเข้าสถานที่ลับได้อย่างไรเล่า? ตนเองบาดเจ็บขึ้นมาสักหน่อย นั่นก็กำไรคนอื่นไปแล้ว
อาจารย์เต๋าหยวนมู่มองฉินซีแวบหนึ่ง ในแววตาเผยความจนใจส่วนหนึ่งตามคาด เขาสั่นศีรษะ กล่าวว่า “พวกเจ้าห้าคน ตอนที่วัตถุศักดิ์สิทธิ์ยอมรับนายน่าจะล้วนได้รับศาสตร์ลับเปิดมิติของผู้อาวุโสทั้งห้าท่านแล้ว ไม่ต้องให้เหล่าฟูพูดมาก เตรียมการเลยเถอะ”
โม่เทียนเกอทั้งห้าได้ยินแล้วไม่ได้พูดอะไร ต่างคนต่างยืนประจำตำแหน่ง ทั้งห้าคนประกอบเป็นปลายแหลม เป็นรูปร่างดาวห้าแฉกพอดี
โม่เทียนเกอยืนประจำตำแหน่งแล้วกวาดสายตาผ่านอีกสี่คน เจวี๋ยอู้ยังคงใบหน้าเจือรอยยิ้มน้อย ๆ ราวกับว่าไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจเท่าไหร่เลย หลิงอวิ๋นเฮ่อหน้าเคร่งขรึม หยางเฉิงจีใบหน้าไร้อารมณ์ ส่วนหานซื่อจือผู้นั้น สายตาปะทะกับนาง แสดงความเย็นชาออกมา
โม่เทียนเกอกลับยิ้มเล็ก ๆ นางย่อมทราบว่าเพราอะไรหานซื่อจือมองนางเช่นนี้ ตอนแรกที่ได้รับกระบี่ฝูเซิง หานซื่อจือเคยลอบจู่โจมแย่งชิงในภายหลัง หากตอนนั้นถูกหานซื่อจือชิงไป เขาก็จะมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์สองชิ้น สถานที่ลับห้าปราชญ์เปิดออกในวันนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับนางเลย
น่าเสียดาย หานซื่อจือไม่รู้ว่าเงื่อนไขยอมรับนายของกระบี่ฝูเซิงเข้มงวดปานนี้ ถ้าหากตอนนั้นกระบี่ฝูเซิงถูกเขาชิงไป เกรงแต่ว่าสถานที่ลับห้าปราชญ์เป็นไปไม่ได้ที่จะเปิดออกในระยะเวลาเร็ว ๆ นี้เลย
“เปิดเถอะ” อาจารย์เต๋าหยวนมู่สั่งคำหนึ่ง ทั้งห้าคนแยกย้ายกันหยิบวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นออกมา สวดคาถาหนึ่งชุด
“ชิ้ง–” วัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นต่างส่งเสียงใสกระจ่างออกมา หลุดออกจากมือของทั้งห้า ลอยอยู่เหนือศีรษะของทั้งห้าคน
วัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นนี้ดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งหมดในทันที นอกจากความสามารถในการเปิดรอยแยกมิติแล้ว วัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นนี้ล้วนเป็นอาวุธเวทก้นหีบในมือของห้าปราชญ์ จะดูเบาได้อย่างไร ไม่พูดอย่างอื่น แค่พูดถึงเจดีย์มารสวรรค์นั่น สมบัติชิ้นนี้อย่างเดียวก็ทำให้ผู้ฝึกมารความแข็งแกร่งเพิ่มพูนได้มากแล้ว และในขณะนี้ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นต่างเปล่งแสงออกมา พลังสภาวะน่าทึ่ง
แม้จะอิจฉาตาแดง แต่ไม่มีใครกล้าคิดไม่ดี ถึงอย่างไรเมื่อเทียบกับวาสนาแปลงเทพแล้ว อาวุธเวทไม่กี่ชิ้นนี้จะทรงพลังอีกเท่าใดก็ไม่มีค่าให้เอ่ยถึง
แสงของวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นยิ่งมายิ่งสว่าง ในที่สุด “หึ่ง” บนวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นต่างระเบิดแสงสีขาวขึ้นมา แสงสีขาวสลายไป ร่างที่ราวกับควันห้าร่างลอยอยู่กลางอากาศ
เห็นฉากนี้แล้ว ทุกคนล้วนสูดลมหายใจหนาวเหน็บ รวมทั้งผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายทั้งสิบเอ็ดคนด้วย
ร่างคนห้าร่างนี้ ถึงจะเป็นเพียงร่างมายาที่ก่อตัวจากหมอกควัน แต่ประดุจคนจริง ๆ มีคลื่นพลังวิญญาณ หนึ่งพุทธหนึ่งขงจื้อหนึ่งมารสองเต๋า ทุกคนคิดเชี่ยมโยงนิดเดียวก็ทราบว่านี่เป็นรูปจำแลงของห้าปราชญ์!
ห้าปราชญ์นี้เป็นบุคคลเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ตอนที่ทิ้งวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นลงมา ระดับการฝึกตนของทั้งห้าคนยังห่างกันไกลจากการไปถึงจุดสูงสุด แต่ทักษะอันศักดิ์สิทธิ์นี้กลับแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายทั้งสิบเอ็ดคนในที่แห่งนี้ไม่น้อย!
คนไม่น้อยจิตใจเกิดอารมณ์พลุ่งพล่าน ห้าปราชญ์ก็คือห้าปราชญ์ อวิ๋นจงในแสนกว่าปีมานี้ปรากฏผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายที่มีความแข็งแกร่งกล้าแข็งมากี่คน แต่มีเพียงพวกเขาห้าคนได้รับการเรียกขานเป็นห้าปราชญ์ มิใช่เรื่องบังเอิญเลย
รอจนผู้ฝึกตนก่อเกิดตานทั้งห้าสวดคาถาเสร็จ รูปจำแลงของห้าปราชญ์เคลื่อนไหวร่วมกันอย่างกะทันหัน ถึงกับจี้คาถาออกมาด้วย จากนั้น รูปจำแลงของห้าปราชญ์จู่ ๆ กลายเป็นแสงสว่างไปด้วยกัน รวมกันเป็นมุกแสงขนาดมหึมาหนึ่งลูก มุกนี้พลังอำนาจน่าทึ่ง ถึงกับยังเข้มแข็งกว่าแรงกดดันของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย หากมิใช่พวกเขาห้าคนมีการคุ้มครองของวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้น เกรงแต่ว่าจะต้านรับไม่ไหวเลย
“ซือฟุ……” โม่เทียนเกอเห็นความแปลกประหลาดนี้ก็เรียกเสียงเบา
เสียงของฝูเหยาจื่อดังขึ้นในห้วงมหรรณพแห่งความรู้ “อย่ากังวล มุกนี้ปรากฏขึ้น หมายความว่ารอยแยกมิตินี้สามารถเปิดได้”
ฝูเหยาจื่อเพิ่งจะเปล่งเสียง มุกนี้จู่ ๆ เหินขึ้น ระเบิดกลางอากาศเสียงดังลั่น!
แสงสว่างอันบาดตาจางหาย ทั้งหมดล้วนเห็นว่า กลางอากาศเหนือเกาะน้อยปรากฏประตูเคลื่อนย้ายวงกว้างสีขาว
“ผู้ร่วมทางทุกท่าน!” เมื่อเห็นประตูเคลื่อนย้ายนี้ปรากฏขึ้น อาจารย์เต๋าหยวนมู่ตะโกนเสียงดัง “นี่ก็คือทางเข้าของสถานที่ลับห้าปราชญ์ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ทางเข้านี้จะคงอยู่เป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วยาม ครึ่งชั่วยามให้หลัง ทางเข้านี้จะหายไป ไร้หนทางเข้าไปอีก!”
เมื่อได้ยินวาจานี้ บนเกาะนี้ปั่นป่วนขึ้นมาทันที
“อมิตาพุทธ!” อู๋หมิงเจินเจ่อเอ่ยนามพุทธองค์ ดังราวกับระฆัง ใบหน้าเขาเจือรอยยิ้มบาง กล่าวว่า “สหายเต๋าทุกท่านไม่ต้องแย่งชิงกัน เวลาครึ่งชั่วยามเพียงพอให้พวกเราเข้าไปแล้ว เริ่มตอนนี้ บุคคลห้าฝ่ายที่สหายเต๋าน้อยทั้งห้าเป็นตัวแทนจะเข้าไปข้างในก่อน”
ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นที่ระดับการฝึกตนต่ำหน่อยถูกเสียงขานนามพุทธองค์นี้ของอู๋หมิงเจินเจ่อสะเทือนจิตสมาธิ ไม่กล้าแย่งชิงกันทันที รอคอยอย่างเป็นระเบียบ
ถัดจากนั้น เริ่มจากสำนักจิ่วเยี่ยน, วัดหัวเหยียน, สำนักศึกษาเยว่ซาน, ผู้ฝึกตนเมืองกุ่ยฟางเข้าไปทีละคน รอจนพวกเขาสี่สำนักไปหมด โม่เทียนเกอกับฉินซีจึงได้จูงกันเข้าไป จากนั้นเป็นกลุ่มอำนาจที่เป็นตัวแทนของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายทุกคน ตามด้วยสำนักที่ความแข็งแกร่งด้อยลงมาหน่อยเช่นสำนักตานเสีย, หุบเขาห้าธาตุ สุดท้ายจึงเวียนมาถึงผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้น
ในช่วงเวลาหนึ่งก้านธูป บนเกาะน้อยว่างเปล่า คนทั้งหมดเข้าสู่ประตูเคลื่อนย้ายหมดสิ้น
ขณะนี้ กลางอากาศเหนือทะเลกุยสวีมีแสงหลบหนีหนึ่งสายบินฉิวมา หลังจากมาถึง กลับเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นชุดสีน้ำเงินสะพายกระบี่ผู้หนึ่ง คนผู้นี้มองดูเกาะน้อยอันว่างเปล่าไร้ผู้คน แล้วมองดูประตูเคลื่อนย้ายที่ยังคงอยู่กลางอากาศ ลังเลเล็กน้อยแล้วจึงเหยียบย่างเข้าไป
เข้าไปในประตูเคลื่อนย้าย โม่เทียนเกอปลดปล่อยศาสตร์หนึ่งปราณต้นกำเนิดและผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกมาแต่แรก ฉินซีก็ปล่อยกระบี่อัคนีสามพลังหยางออกมา ก่อตัวเป็นม่านพลังกระบี่รอบทั้งสองคน ป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
ผลคือหลังจากเข้ามาแล้วปลอดภัยสิบส่วน ทั้งไม่มีกำแพงอาคม แล้วก็ไม่มีอสูรปีศาจ
คนทั้งสองเงยหน้าสำรวจทิวทัศน์รอบด้าน กลับตะลึงครั้งใหญ่
รอยแยกมิติที่ว่ากันนี้ถึงกับใหญ่โตปานนี้!
สถานที่ซึ่งพวกเขาผู้ฝึกตนเหล่านี้เข้ามาเป็นตีนเขาของเทือกเขาแห่งหนึ่ง เห็นเพียงว่าภูเขาเบื้องหน้านี้สูงถึงหลายพันจ้าง ส่วนกลางป่าไม้หนาทึบ ยอดเขาหิมะขาวปกคลุม โอ่อ่าไร้ที่เปรียบ และที่ยอดของภูเขา ท่ามกลางหิมะขาว ตั้งไว้ด้วยราชวังอันขาวพิสุทธิ์ไปทั้งหลังและเปล่งแสงวิญญาณอ่อน ๆ ออกมา!
“วังเซียน!” มีผู้ฝึกตนโพล่งออกมา ทอดมองราชวังที่ยอดเขา ประหลาดใจไร้ที่เปรียบ
วังเซียนย่อมมิใช่ราชวังมนุษย์เซียนที่แท้จริง แต่หากนี่เป็นรอยแยกมิติที่ฉีกขาดออกมาในยุคโบราณกาล กว่าครึ่งคงเป็นราชวังของสำนักของผู้ฝึกตนที่มีระดับแปลงเทพขึ้นไปหรือแม้กระทั่งระดับมหายาน ผู้ฝึกตนปัจจุบันนี้เรียกขานเศษซากโบราณกาลอย่างนี้ว่าวังเซียน มีเพียงวังเซียนจึงเต็มไปด้วยแสงวิญญาณอันเจิดจำรัส
เมื่อเห็นวังเซียนหลังนี้ ในดวงตาของแทบทุกคนล้วนปรากฏประกายละโมบ แม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายเหล่านั้นก็ไม่ยกเว้น!
สมมติว่านี่เป็นวังเซียนจริง ๆ ก็ไม่แปลกเลยที่จะมีวาสนาของการแปลงเทพ! จนกระทั่งขณะนี้ ผู้ฝึกตนทั้งหมดจึงไม่กังขาสักนิดต่อเรื่องที่ในมิตินี้มีวาสนาแปลงเทพ
“หึ!” ในห้วงมหรรณพแห่งความรู้มีเสียงหึเย็นชาของฝูเหยาจื่อดังขึ้น “อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไป ในเมื่อเป็นวังเซียน จะเข้าไปง่ายดายขนาดนั้นได้อย่างไร!”
สถานการณ์ในรอยแยกมิตินี้ โม่เทียนเกอเคยฟังฝูเหยาจื่อพูดมาคร่าว ๆ แล้ว เพียงคาดไม่ถึงว่าจะถึงกับใหญ่โตขนาดนี้ นี่แทบจะขนาดเท่า ๆ กับเทือกเขาหลักของสำนักใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งบรรจุเส้นเลือดวิญญาณหนึ่งเส้นเต็ม ๆ ไปแล้ว!
“ซือฟุ ในวังเซียนนี้มีกำแพงอาคมอะไรเช่นนั้นหรือเจ้าคะ”
“กำแพงอาคมย่อมจะมี” ฝูเหยาจื่อเอ่ย “วังเซียนหลังนี้ ปีนั้นข้ากับอีกสี่คนละทิ้งความแค้นก่อน รวมพลังกัน ก็เพียงแค่เข้าไปยังรอบนอกเท่านั้น ภายในวังเซียนที่แท้จริงกลับไม่อาจก้าวล่วง”
โม่เทียนเกอจิตใจสั่นไหว ถามว่า “ซือฟุ ระดับการฝึกตนของพวกท่านห้าคนในปีนั้นเป็นเพียงระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง เหตุใดสามารถเหลือกุญแจลงมาได้เจ้าคะ เช่นนั้นหลังจากพวกเราออกไป ก็สามารถทำเช่นกันได้หรือไม่”
ครั้งนี้ฝูเหยาจื่อนิ่งเงียบไปเนิ่นนานจึงกล่าวว่า “สาเหตุที่พวกเราสามารถเหลือกุญแจสืบทอดให้คนรุ่นหลังในปีนั้นเป็นเพราะว่าพวกเราได้รับทักษะฉีกมิติที่รวมพลังใช้ออกมาหนึ่งชุดจากในวังเซียน ทักษะชุดนี้มหัศจรรย์ถึงสิบส่วน แต่พลังวิญญาณที่ต้องการก็น่าสะพรึงกลัวถึงสิบส่วน ด้วยระดับการฝึกตนของพวกเราไม่อาจใช้ออกได้เลย ภายหลังพวกเราคิดได้หนทางหนึ่ง ผนึกพลังวิญญาณที่ทักษะฉีกมิติชุดนี้ต้องการลงไปในอาวุธเวทห้าชิ้นอย่างช้า ๆ อย่างนี้จะมาอีกภายหลังก็สะดวกขึ้นมาก สรุปแล้วเหตุใดไม่ได้มาอีก ข้ากลับไม่ทราบแล้ว เหวยซือทุกวันนี้เป็นเพียงจิตหยั่งรู้ เรื่องที่ทราบจำกัดอยู่แค่ตอนที่ถูกผนึกในปีนั้น”
“เช่นนั้นทักษะฉีกมิติชุดนี้……”
ฝูเหยาจื่อถอนหายใจเบา ๆ เอ่ยว่า “ในอดีตพวกเราทั้งห้าคน ระหว่างกันไม่สามารถไว้วางใจอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นแบ่งทักษะฉีกมิติชุดนั้นออกเป็นห้าส่วนเพื่อความปลอดภัย ส่วนของเหวยซือย่อมสามารถถ่ายทอดให้เจ้า แต่ว่า อีกสี่คนสรุปแล้วได้ถ่ายทอดลงมาหรือไม่ ข้ากลับไม่มีหนทางแล้ว”
“……” โม่เทียนเกอเงียบงันไป ถ้าหากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็แข็งขืนมิได้
รอจนผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งหมดเข้ามาจนสิ้น อาจารย์เต๋าหยวนมู่เอ่ยว่า “สหายเต๋าทุกท่าน หากต้องการออกไป สามารถออกไปจากที่นี่โดยตรง แต่หลังออกไปแล้วกลับไม่สามารถเข้ามาอีก เอาล่ะ สถานที่แห่งโบราณกาลนี้สรุปว่ามีวาสนาเท่าใด อันตรายเท่าใด พวกเราล้วนไม่ทราบ แล้วแต่วาสนาแต่ละคนเถอะ”
ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ในที่แห่งนี้ ก่อนจะเข้าสู่สถานที่ลับนี้ กว่าครึ่งหาพันธมิตรกันเสร็จแล้ว ขณะนี้ปรึกษากันสั้น ๆ แล้วจึงจากไปทีละสองสามคน
ผู้เยาว์ก่อเกิดตานทั้งห้าคนที่ครอบครองวัตถุศักดิ์สิทธิ์ล้วนไม่ขยับ คนอื่นเป็นเพราะว่าต้องฟังคำสั่งของผู้อาวุโส โม่เทียนเกอกลับเป็นเพราะไม่แน่ใจว่าผู้อาวุโสจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายเหล่านี้สรุปแล้วคิดอย่างไร
อาจารย์เต๋าหยวนมู่และบัณฑิตอวี๋ก็ราวกับรู้สึกว่าจัดการได้ยากอยู่บ้าง ขณะนี้ขมวดคิ้วถ่ายทอดเสียงกันลับ ๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง อาจารย์เต๋าหยวนมู่เอ่ยว่า “สหายน้อย ก่อนหน้านี้เจ้าเคยพูดว่า เจ้าได้ล่วงรู้วิธีการได้รับชะตาเซียนจากผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อ อีกทั้งใช้สิ่งนี้มาเจรจาเงื่อนไขกับพวกเรา เช่นนั้นถัดจากนี้ต้องร่วมทางกับพวกเราใช่หรือไม่”
โม่เทียนเกอยิ้มทีหนึ่ง ส่ายหน้า “ผู้อาวุโส ท่านจะต้องทราบว่า ชะตาเซียนที่แท้จริงอยู่ในวังเซียนนั่น เพียงไม่ทราบว่าจะได้รับได้อย่างไรอย่างแน่ชัด ถูกหรือไม่เจ้าคะ”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่ขมวดคิ้ว พยักหน้า
โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราพบกันใหม่ที่วังเซียนก็เป็นเช่นเดียวกัน ระหว่างทางนี้ก็ให้ข้าเสาะหาสมบัติเองเถอะนะ? พูดตามตรง ถ้าร่วมทางกับพวกผู้อาวุโส ผู้เยาว์เกรงว่าบนเส้นทางนี้จะไม่ได้รับผลประโยชน์อะไร”
วาจานี้ของนางพูดได้ตรงไปตรงมา อาจารย์เต๋าหยวนมู่กลับพูดอะไรได้ยาก หากร่วมทางกับพวกเขา เห็นสมบัติอะไร นางกับฉินซีมีเพียงสองคน จะต้องไม่สามารถแบ่งอย่างเท่าเทียม ด้วยเหตุนี้ต้องการจะเคลื่อนไหวเพียงลำพัง นี่ก็ปกติมาก และด้วยความแข็งแกร่งของฉินซี ก่อนที่จะมาถึงวังเซียนน่าจะสามารถคุ้มครองความปลอดภัยของนางได้
เขาใคร่ครวญสั้น ๆ แล้วพยักหน้า “เอาเถอะ เอาตามที่สหายน้อยโม่ว่าไว้ พบกันใหม่ที่วังเซียน”
พูดจบ อาจารย์เต๋าหยวนมู่โบกมือ พาสำนักจิ่วเยี่ยนทั้งกลุ่มไป จากนั้นเป็นผู้ฝึกตนของสำนักศึกษาเยว่ซาน, วัดหัวเหยียน เพียงพริบตาก็ไปกันกว่าครึ่งแล้ว
เมี่ยวอิงหยวนจวินผู้นั้นไม่ได้ไป กลับยิ้มแย้มทักทายทั้งสองคน “สหายเต๋าฉิน, ฉินฟูเหริน พวกท่านไม่เตรียมจะร่วมทางกับคนอื่นจริง ๆ หรือ”“
ฉินซีลังเลเล็กน้อย กุมหมัดขออภัยว่า “สหายเต๋าเมี่ยวอิง พวกเราสองสามีภรรยาจากกันนาน กลับไม่สะดวกจะร่วมทาง ก่อนหน้านี้ขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่น หากมีโอกาสจะไปขอบคุณอีก”
เมี่ยวอิงหยวนจวินยิ้มและโบกมือ “เรื่องเล็กนิดเดียว สหายเต๋าฉินไยต้องเกรงใจขนาดนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็พบกันใหม่ที่วังเซียนเถอะ” จากนั้นก็ไม่ได้ล่าช้ามากนัก พาผู้ฝึกตนของโรงเรียนจิ้งซวีจากไป
รอจนคนทั้งหมดล้วนจากไป ฉินซีเอ่ยว่า “หลายวันก่อน ข้าคลาดกับเจ้า เมี่ยวอิงหยวนจวินผู้นี้ไม่เพียงช่วยข้าเสาะหาตำแหน่งของเจ้า ยังมอบโอสถรักษาบาดเจ็บให้ข้าจำนวนหนึ่ง ว่าไปแล้วก็ติดค้างน้ำใจของนาง”
เรื่องนี้ โม่เทียนเกอเคยได้ยินเขาเอ่ยถึงสั้น ๆ มาแล้ว เอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนี้ พวกเราหาโอกาสคืนน้ำใจนางก็พอ” พูดจบก็มองเขาอย่างห่วงใย “ซือเกอ อาการบาดเจ็บของท่านสรุปแล้วเป็นอย่างไร ที่ข้ายังมีโอสถรักษาบาดเจ็บจำนวนมาก หรือพวกเรารอสักหน่อยค่อยไปวังเซียนเป็นไร?”
……………….
ทำไมเรารู้สึกว่าผู้ฝึกตนชุดน้ำเงินสะพายกระบี่นั้นต้องเป็นคนที่เคยออกมาแล้ว แต่เรานึกไม่ออกว่าใคร…