หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - ตอนที่ 1006
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1006 ตะเกียงเจ็ดดวง
ประกายแสงบนตะเกียงดวงที่เจ็ดจางลงบนแผ่นศิลา
ภาพนี้บอกได้ว่านี่คือล้มเหลว แต่มั่วเฟิงก็ยังคงรักษาสีหน้าสงบนิ่งไม่เสื่อมคลาย ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรกับผลลัพธ์ เขาค่อยๆ ถอนมือกลับขนหงส์ฟ้าสีทองที่แขนก็จางหายไป
กระบวนท่าฝ่ามือเมื่อครู่ดูไม่หนักหน่วง แต่เขารู้ว่านี่เป็นการโจมตีชั้นยอดของตนแล้ว
ที่ด้านหลังใบหน้าของจงเถิงบิดเบี้ยวเมื่อเฝ้ามองฉากนี้ ก่อนหน้าตอนเขาเผชิญหน้ากับมั่วเฟิงดูเหมือนแต่ละฝ่ายจะไม่สามารถทำอะไรกันได้ ไม่คิดว่าในแง่ของความแข็งแกร่งพลังกายเขาจะแพ้อีกฝ่ายอยู่เล็กน้อย
แม้นั่นไม่ได้หมายความว่าพลังการต่อสู้ของมั่วเฟิงแข็งแกร่งกว่า แต่จงเถิงก็รู้สึกไม่ดี สำหรับคนที่ภูมิใจในตัวเองแบบเขา
“ฮ่าๆ ฝีมือของพี่มั่วน่าเกรงขามจริงๆ แต่ตอนที่เจ้าออกกระบวนท่าเมื่อครู่ มีเสียงร้องของหงส์ฟ้าด้วย ดูเหมือนพี่มั่วจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเผ่าหงส์ฟ้าสินะ?” ดวงตาของหานซันกะพริบเบาบางพลางยิ้ม
มั่วเฟิงไม่ตอบกลับและไม่สนใจ เขาจ้องมองที่แผ่นศิลาสีดำเบื้องหน้าพร้อมกับแสงแล่นแปลบปลาบในดวงตา
ฮึ่ม!
ภายใต้การจ้องมองของมั่วเฟิง แผ่นศิลาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว พื้นผิวสั่นไหวจากนั้นรัศมีปั่นป่วนก็พุ่งออกมา เมื่อเทียบกับที่จงเถิงได้รับเห็นชัดว่านี่เข้มข้นกว่า
มั่วเฟิงจ้องมองรัศมีจากนั้นก็ดูดเข้าไปในปากกลืนกินแก่นพลังในอึกเดียว ทันใดนั้นดวงตาเขาก็เปล่งแสงสีแดงเข้ม มิหนำซ้ำยังมีเปลวไฟลุกขึ้นบนชั้นผิวร่างกายด้วย คลื่นพลังงานเล็ดลอดออกมา
ความปั่นป่วนในร่างมั่วเฟิงกินเวลาหลายนาทีก่อนที่เขาจะลืมตา เมื่อเขาลืมตาความกดดันแผ่วเบาก็แผ่ออกจากร่างกาย เห็นได้ชัดว่าหลังจากดูดซับแก่นเทพอสูรกลืนฟ้าแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
เมื่อภาวะการณ์ในร่างกายสงบลง มั่วเฟิงก็ถอยออกจากเบื้องหน้าศิลาพลังยุทธ์ ตอนนี้เหลือหานซันกับมู่เฉินที่ยังไม่ลงมือแล้ว
มู่เฉินมองไปที่หานซัน อีกฝ่ายก็ยิ้มด้วยตายิบหยี “หลังจากดูมาสามรอบ ข้าคันมือไปหมดแล้ว ขอข้าก่อนเลยนะ?”
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้ปฏิเสธอะไรอีกฝ่าย
เมื่อหานซันเห็นคำตอบก็ก้าวออกไป ไม่ว่าจะเป็นสายตาภายในหรือภายนอกเจดีย์ก็พุ่งตรงมาที่เขาในเวลานี้
จากบางมุมมอง หานซันน่าจะอยู่ในอันดับต้นของสิบจอมยุทธ์อัจฉริยะที่เข้าสู่เจดีย์ ความสามารถในการต่อสู้ของเขาเป็นสิ่งที่แม้แต่คนที่มีความภาคภูมิใจอย่างจงเถิงยังต้องยอมรับ ในแง่ของพลังกายในฐานะสมาชิกเผ่าแรดอสูร เขามีข้อได้เปรียบมากมาย
แน่นอนว่าความแข็งแกร่งทางกายภาพเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพลังในการต่อสู้ ดังนั้นในศึกมรณะที่แท้จริงเราไม่อาจได้รับชัยชนะโดยอาศัยพลังนี้เพียงลำพัง
อัจฉริยะอย่างพวกจงเถิงน่าจะมีวิธีพิเศษเพื่อชดเชยช่องว่างของพลังกาย
ภายใต้สายตาของทุกคนที่จ้องมองมา ร่างของหานซันก็ยืนอยู่เบื้องหน้าศิลาพลังยุทธ์ เขายืนด้วยท่าสองมือไพล่หลัง เงยหน้ามองไปที่แผ่นศิลา ท่วงท่าสบายๆ พร้อมกับมีแรงกดดันที่น่าอัศจรรย์กระจายออกไปจากร่างเขา
ยามนี้เขาราวกับแรดปีศาจยุคดึกดำบรรพ์ที่พุ่งทะลุผ่านชั้นฟ้าและชั้นดิน ราวกับว่าสามารถทำลายภูเขาที่ขวางทางออกจนหมดได้
หานซันปิดตาลง ร่างค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเลือดในร่างกายของเขากำลังเริ่มเดือดพล่าน ก่อนที่เลือดและรัศมีจะซึมออกมา ก่อตัวเป็นแรดสีแดงโลหิตขนาดใหญ่หลายสิบจั้งที่เบื้องหลัง
แรดยืนตระหง่านบนพื้นดิน เขาแรดสีแดงเลือดโง้งอยู่บนหน้าผาก ขณะที่เขาขยับเบาๆ ก็ตัดผ่านมิติ แสดงให้เห็นว่าเฉียบคมแค่ไหน
แรดตัวใหญ่ยืนเงียบๆ อยู่ข้างหลังหานซัน เท้าหน้าตะกุยดินอย่างช้าๆ เตรียมพร้อมพุ่งชน แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้เกิดเสียงดังใดๆ แต่ทุกคนก็รู้สึกได้ว่ารัศมีของแรดตัวใหญ่นี้กำลังพลุ่งพล่าน
ริ้วแสงสีโลหิตรอบตัวหานซันค่อยๆ หนาแน่นขึ้นจนถึงขีดสุด
ทันใดนั้นดวงตาเขาก็เปิดกว้าง สีนัยน์ตาทั้งสองเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน อึดใจต่อมาเขาก็ก้าวออกไปพร้อมสองนิ้วประสานกันแทงไปที่แผ่นศิลาสีดำ
ที่ด้านหลังแรดโลหิตก็พุ่งออกมาทะลุผ่านร่างหานซัน มันลดหัวโดยให้เขาหลอมรวมกับนิ้วมือของหานซันอย่างสมบูรณ์แบบ
ดัชนีนี้แฝงด้วยแรดอสูรที่มีพลังทำลายโลก เขานี้สามารถแทงทะลุเกราะป้องกันใดๆ ได้
ตึง!
ดัชนีของหานซันทะลุผ่านมิติแทงลงไปรุนแรงบนแผ่นศิลาภายใต้สายตาที่จ้องมองมานับไม่ถ้วน แรงกระทบทำให้นิ้วทั้งสองเกิดรอยฉีกขาดขึ้นทันควัน ทั่วทั้งเรียวนิ้วอาบด้วยเลือด
ทว่าพื้นผิวของแผ่นศิลาก็เพียงสั่นไหวเล็กน้อย ระลอกคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายอยู่บนพื้นผิวนั่น
การเคลื่อนไหวนี้น่าตื่นตายิ่งกว่าสามครั้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าซะอีก!
สายตาของผู้คนจับจ้องอยู่บนแผ่นศิลา ระลอกคลื่นกระจายออกไป หลังจากนั้นประกายไฟพร่างพราวก็พวยพุ่งบนตะเกียงทองแดงเหล่านั้นทันที!
ฟู่! ฟู่!
เพียงชั่วลมหายใจ ตะเกียงทองแดงห้าดวงก็ส่องสว่าง จากนั้นตะเกียงดวงที่หกก็สว่างพรึ่บหลังจากชะงักไปครู่เดียว เปลวไฟสีแดงเลือดปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงดังปุ
เมื่อตะเกียงดวงที่หกส่องสว่าง สายตาของมู่เฉินและคนอื่นก็เลื่อนไปที่ตะเกียงดวงที่เจ็ดในเวลาเดียวกัน เนื่องจากพวกเขารับรู้ได้ว่าพลังของหานซันยังไม่หมด
ภายใต้สายตาของพวกเขาประกายไฟแล่นเข้าไปในตะเกียงดวงที่เจ็ด จากนั้นก็รวมตัวกันช้าๆ
ถึงแม้ว่าความเร็วในการรวบรวมจะช้ามาก แต่ก็เสถียรมากกว่าของมั่วเฟิง
ชี่! ชี่!
เมื่อประกายไฟเพิ่มขึ้นถึงระดับหนึ่งก็กระจายออก กลายเป็นเปลวไฟลุกโชติช่วง ทำให้ตะเกียงทองแดงดวงที่เจ็ดถูกจุดอย่างสมบูรณ์
ตะเกียงดวงที่เจ็ดสว่างขึ้นแล้ว!
โห่ๆๆๆ!
ความโกลาหลสะท้อนอยู่นอกเจดีย์ ทุกคนต่างแสดงความประหลาดใจและชื่นชมบนใบหน้า หานซันเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในเผ่าแรดอสูรแท้จริง เขาปราบจงเถิงและมั่วเฟิงได้อย่างราบคาบ
“หานซันน่ากลัวจริงๆ” แม้แต่จิ่วโยวก็พยักหน้าเบาๆ แม้ว่าแผ่นศิลานี้จะวัดแค่ความแข็งแกร่งทางกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่นางก็เข้าใจว่าความแข็งแกร่งโดยรวมของหานซันไม่ได้อ่อนแอแม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด
“ตะเกียงดวงที่เจ็ดสว่างแล้ว”
มั่วหลิงก็อดชื่นชมไม่ได้ ถึงพี่ชายนางจะสามารถจุดไฟในตะเกียงดวงที่เจ็ดได้ แต่ก็ไม่ถึงระดับที่จะทำให้ส่องสว่าง เห็นได้ชัดว่าหานซันเหนือกว่ามั่วเฟิงในแง่ของความแข็งแกร่งทางกายภาพ
“ตอนนี้เหลือพี่ใหญ่มู่เฉินคนเดียว ไม่รู้ว่าความสำเร็จของเขาจะไปถึงระดับไหน?” มั่วหลิงมีท่าทางอยากรู้อยากเห็น
จิ่วโยวส่ายหัว ขนาดตัวนางก็ยังไม่เข้าใจถึงความแข็งแกร่งทางกายภาพของมู่เฉินดีเลย นางรู้แค่ว่ามู่เฉินไม่เคยทิ้งการฝึกฝนบนเส้นทางพลังกาย ตั้งแต่กายาเทพสายฟ้าในอดีตจนมาถึงกายามังกรหงส์ในปัจจุบัน ทั้งสองวิชาล้วนเป็นทักษะการขัดเกลาพลังกายที่ล้ำลึก มิหนำซ้ำมู่เฉินยังประสบความสำเร็จสูงทั้งสองวิชาอีกด้วย
ดังนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะไม่ใช่เทพอสูร พลังกายของเขาก็เปรียบได้กับเทพอสูรยิ่งใหญ่และอาจแข็งแกร่งกว่าด้วย
“ด้วยความแข็งแกร่งไม่น่าจะยากสำหรับเขาที่จะผ่านการทดสอบชั้นสี่… แต่จะเทียบเคียงกับหานซันได้ไหมก็ต้องรอดูเอาแล้ว” จิ่วโยวกล่าวเสียงขรึม ศักยภาพของหานซันยอดเยี่ยมมากแม้แต่ในข้อมูลที่นางรู้ ดังนั้นนางจึงไม่มั่นใจว่ามู่เฉินจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้หรือไม่
ขณะที่ความโกลาหลดังกึกก้องอยู่นอกเจดีย์
แรดโลหิตด้านหลังหานซันก็จางหายไปอย่างช้าๆ เขาค่อยๆ ถอนนิ้วกลับมา บาดแผลที่นิ้วก็หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อสั่นไหวเบาๆ
เขามองตะเกียงเจ็ดดวงที่สว่าง เขาก็ยิ้มเห็นได้ชัดว่าไม่แปลกใจกับความจริงนี้
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ศิลาพลังยุทธ์เริ่มสั่น อักขระโลหิตจางๆ ปรากฏขึ้นบนพื้นผิว รัศมีปั่นป่วนกวาดออกมา แต่คราวนี้รัศมีนี่กลับถูกผสมกับริ้วสีแดงเข้ม
“นั่นมัน…” มู่เฉินจ้องที่แก่นเทพอสอูรดกลืนฟ้าที่แตกต่างไปจากครั้งก่อนๆ อย่างสิ้นเชิง แสงก็วูบไหวในดวงตา
“นี่คือรัศมีเลือดที่บรรจุอยู่ในเลือดเนื้อของเทพอสูรกลืนฟ้า ซึ่งบริสุทธิ์กว่าแก่นธรรมดา… เฉพาะผู้ที่มีผลงานโดดเด่นเท่านั้นที่จะได้รับ” มั่วเฟิงกล่าวเสียงเรียบ
ไม่ไกลสายตาของจงเถิงก็เต็มไปด้วยความโลภ ขณะที่จ้องมองรัศมีนั่น
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นรางวัลสำหรับการทำให้ตะเกียงดวงที่เจ็ดสว่างไสว
ที่เบื้องหน้าแผ่นศิลา หานซันสูดหายใจเข้าลึก รัศมีสีแดงเข้มถูกดูดซับเข้าไป จากนั้นร่างกายของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด แรดอสูรที่หายไปก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันขยายตัวอย่างรวดเร็วและรัศมีดุดันก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ฮา
การเปลี่ยนแปลงของแรดนี้กินเวลานานก่อนที่จะจางหาย ร่างกายของหานซันกลับมาเป็นปกติ เขาก้มลงมองฝ่ามือก็ยิ้มบางก่อนจะหันหลังกลับ
เห็นได้ชัดว่าเขาพอใจมากกับการเก็บเกี่ยวครั้งนี้
เมื่อหานซันเดินถอยออกมา สายตาของจงเถิงและมั่วเฟิงก็จ้องไปที่มู่เฉิน
ขณะเดียวกันสายตาอยากรู้มากมายจากนอกเจดีย์ก็มุ่งเน้นไปที่มู่เฉินด้วยเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างก็อยากรู้ว่าม้ามืดคนนี้จะไปได้ถึงระดับไหนในการทดสอบนี้
ม้ามืดจะถูกตีกลับสภาพเดิมหรือจะพุ่งก้าวหน้าไปอีก?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ทุกคนเต็มไปด้วยความคาดหวังและความอยากรู้อยากเห็น
ภายใต้สายตาทุกคู่ มู่เฉินก็ค่อยๆ ก้าวย่างไปหาศิลาพลังยุทธ์