หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - ตอนที่ 1010
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1010 ใช้เงินแก้ปัญหา
มือเรียวคว้าขนสีทองเข้มคมกริบไว้ราวกับหินผา
ไม่ว่าขนนกจะปลดปล่อยแสงสีทองแค่ไหนก็ไม่อาจหลุดเป็นอิสระได้
หลังจากจับขนนกเอาไว้ได้ ดวงตาของมู่เฉินที่ยังพร่างด้วยแสงสีทองบางเบาก็มองไปที่จงเถิงพลางพูดออกมาช้าๆ “ดูเหมือนพี่จงจะไร้ความปรานีแท้จริงเมื่อออกกระบวนท่านะ”
ใบหน้าของจงเถิงน่าเกลียดอย่างถึงที่สุด เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะฟื้นพลังได้ในวินาทีสำคัญนี้ นอกจากนี้มันยังหยุดขนนกสีทองไว้ด้วยมือข้างเดียว ต้องรู้ว่าพลังอำนาจของขนนกนี้สามารถเทียบเคียงได้กับอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเลยทีเดียว ต่อให้เป็นจอมยุทธขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ถ้าประมาทก็อาจถูกแทงทะลุร่างในพริบตา
นอกจากนี้จงเถิงยังมั่นใจว่าก่อนหน้านี้มู่เฉินไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เห็นได้ว่าพลังกายของมู่เฉินได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมากหลังจากดูดซับแก่นโลหิตบริสุทธิ์ของเทพอสูรกลืนฟ้า
ยามนี้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามยิ่งใหญ่แผ่มาจากมู่เฉิน
“เป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริง!”
จงเถิงรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งในหัวใจ ถ้าเขารู้ก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนที่ก้าวสู่ชั้นสามเขาต้องฆ่ามู่เฉินให้ได้แม้ว่าจะต้องจ่ายราคามหาศาล
แต่ไม่ว่าเขาจะเสียใจมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์สิ้นเชิงในขณะนี้ เผชิญหน้ากับสายตาคมกริบของมู่เฉิน จงเถิงก็ได้แต่ไม่แสดงสีหน้าอะไร ทว่าร่างกายตึงเครียดขึ้น เขาระมัดระวังมู่เฉินสุดกำลัง
ตอนนี้มู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวแล้ว
ดวงตาจงเถิงวูบไหว เขางอนิ้วพยายามดึงขนนกที่มู่เฉินจับได้คืนมา การมีขนนกในมือจะทำให้พละกำลังในต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้น ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันเป็นการดีที่สุดถ้าเขาสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้แม้แต่นิดเดียวก็ตาม
ทว่าการควบคุมของเขากลับไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ แม้ว่าขนนกในมือของมู่เฉินจะดิ้นขลุกขลักไปมาเพื่อให้หลุดพ้น แต่ก็ไม่สามารถได้รับอิสระ สุดท้ายกลับค่อยๆ อ่อนแรงลงเมื่อมู่เฉินเพิ่มแรงในมือ
“ในเมื่อให้แล้วทำไมจะเอากลับอีกล่ะ? พี่จงเป็นคนใจกว้างมาก งั้นข้าขอรับสิ่งนี้ไว้ละกัน” มู่เฉินยิ้มอ่อนให้จงเถิง จากนั้นคลื่นหลิงก็พวยพุ่งออกจากร่างกายอย่างรุนแรงเทลงบนขนนก เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจที่จะชำระเก็บเป็นของตนเอง
ตอนนี้เขาขาดอาวุธอยู่พอดีและขนนกก็มาทันเวลาที่จะใช้เป็นอาวุธ
เมื่อจงเถิงเห็นการกระทำของมู่เฉิน เขาก็โกรธจนแทบคลั่ง แต่อึดใจริ้วรอยเยาะเย้ยก็พลุ่งพล่านในดวงตา ขนนกสีทองนี้ได้รับการปรับแต่งจากขนกระเรียนปีกทองคำ รัศมีที่หลงเหลืออยู่ภายในเป็นของมหาเทพอสูรตัวจริง ถ้าไม่ใช่สมาชิกในเผ่ากระเรียนฟ้าก็จะถูกตอบโต้ด้วยรัศมีกระเรียนปีกทองคำแทน
มู่เฉินโอหังเกินไปแล้ว!
ภายใต้สายตาเย้ยหยันของจงเถิง คลื่นหลิงของมู่เฉินก็กำจายเข้าไปในขนนกสีทอง ทว่าทันใดนั้นร่างกายของเขาก็แข็งทื่อตามที่จงเถิงคาดการณ์ไว้ ขนสีทองดิ้นรนดุเดือด รัศมีเผด็จการยิ่งใหญ่พุ่งพรวดออกมาอย่างคลุมเครือ พยายามที่จะตอบโต้มู่เฉิน
“รัศมีกระเรียนปีกทองคำเรอะ?”
สัมผัสได้ถึงการตีโต้ สายตาของมู่เฉินก็ไม่ได้มีริ้วความตกใจเลย เขายิ้มบางอึดใจก็กำหมัดแน่น ลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงปรากฏขึ้นบนท่อนแขน รัศมีมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเทลงในขนนกสีทอง ระงับรัศมีที่หลงเหลือของกระเรียนปีกทองคำอย่างสมบูรณ์
ในฐานะมหาเทพอสูรเหมือนกัน รัศมีที่เหลืออยู่ของกระเรียนปีกทองคำก็อ่อนด้อยกว่าการผสมผสานของลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตในร่างมู่เฉิน
เมื่อเกิดการปราบปราม รัศมีขนนกสีทองก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว แสงสีทองหดกลับกลายเป็นกระบี่ยาวสีทองในมือของมู่เฉิน กระบี่นี้มีลักษณะแปลกมาก ขอบใบมีดเต็มไปด้วยฟันใบเลื่อย ดูราวกับเป็นขอบขนนก แสงสีทองไหลเวียนอย่างเลืองราง รัศมีคมชัดเปล่งออกมาจากมัน
“กระบี่ใช้ได้” มู่เฉินโบกกระบี่ยาวสีทอง เขาหรี่ตายิ้มร่า
รอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าจงเถิงอันตรธานหายไปตั้งแต่มู่เฉินจับด้ามกระบี่ได้ เขามองดูกระบี่ยาวที่เงียบสงบในมือของมู่เฉินอย่างว่างเปล่า ความไม่เชื่อกระจายเต็มใบหน้า
มู่เฉินระงับรัศมีกระเรียนปีกทองคำบนกระบี่ได้ง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ?
นั่นคือมหาเทพอสูรนะ!
มู่เฉินเป็นมนุษย์จริงไหมเนี่ย?! หรือว่าเขามีสายเลือดมหาเทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย?
ขณะที่สีหน้าจงเถิงว่างเปล่า สายตาเยาะเย้ยของมู่เฉินก็มองมาอีกครั้ง เขาวาดกระบี่ยาวสีทองในมือขึ้น “ดูเหมือนว่าถึงเวลาที่เราจะคิดบัญชีแล้ว”
แม้ว่าเขาจะมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่คำพูดกลับเคลือบไว้ด้วยเจตนาฆ่า
จงเถิงสร้างปัญหากับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามลอบกัดจนปลุกจิตสังหารของเขาขึ้นมา
เมื่อมู่เฉินพูดจบ มั่วเฟิงซึ่งอยู่ด้านหลังก็ก้าวออกมา ทั้งสองประกบจงเถิงเอาไว้ตรงกลาง รัศมีเฉียบคมของพวกเขาพลุ่งพล่านไปหมด ทำเอาใบหน้าของจงเถิงดูไม่ได้เลยทีเดียว
เมื่อมู่เฉินและมั่วเฟิงร่วมมือกัน เขาแทบไม่มีโอกาสชนะเลย
“ทั้งสองเราเข้ามาในเจดีย์ฝึกพลังกายเพื่อแสวงหาโอกาส ไม่จำเป็นที่จะต้องเสี่ยงชีวิตหรอกมั้ง? นอกจากนี้เรายังอยู่แค่ในชั้นสี่ ถ้าเราต่อสู้กันแบบศึกมรณะ ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับเช่นกัน ซึ่งข้าเชื่อว่านั่นคงเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครต้องการเห็นใช่ไหม?” ใบหน้าของจงเถิงเปลี่ยนไป ก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
มู่เฉินยิ้มอ่อน “ข้าว่าถ้าแค่ต้องการบีบให้เจ้าออกจากเจดีย์ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไรมากนะ”
สายตาจงเถิงมืดครึ้มทันที ถ้าเขาถูกบีบให้ออกจากเจดีย์ เขาจะสูญเสียสิทธิ์ในการเข้าสู่ชั้นห้า ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นการสูญเสียยิ่งใหญ่สำหรับเขา
“แกต้องการอะไร!” จงเถิงกัดฟัน ยามนี้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมอ่อนให้
“ที่จริงจะให้ข้าไม่เอาเรื่องที่เจ้าลอบฆ่าก่อนหน้าก็ได้ ง่ายมาก…ของเหลวจื้อจุนสักสามล้านหยด” มู่เฉินแบมือออกพร้อมกับรอยยิ้มฉายบนใบหน้า
ความตะลึงงันผุดขึ้นบนใบหน้าของจงเถิง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ทันตั้งตัวเลย พักใหญ่เมื่อเขาออกจากภวังค์ได้ก็ต้องกัดฟันกรอด “ของเหลวจื้อจุนสามล้านหยดหยด ทำไมแกไม่ปล้นข้าเลย!”
แม้ว่าเขาจะเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะของเผ่า แต่ของเหลวจื้อจุนสามล้านหยดก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถจ่ายทั้งหมดคนเดียว
“งั้นก็ออกจากเจดีย์ไปซะ!”
ใบหน้ายิ้มแย้มของมู่เฉินตึงลงทันที เขาเค้นเสียงแบบไม่ไว้มารยาทใส่
“แก!”
จงเถิงรู้สึกโกรธจนปอดแทบระเบิด แสงเกรี้ยวกราดแวววับในดวงตา แต่สุดท้ายเขาก็ระงับอย่างจนใจ พลางขบฟันแน่น “ข้ามีแค่ล้านหยดหยดเท่านั้น”
“เอามา” มู่เฉินยื่นมือออกไป
ใบหน้าของจงเถิงสลับกันระหว่างสีเขียวกับสีขาว แต่สุดท้ายเขาทำได้เพียงโบกมือ เมื่อขวดสีทองบินออกไปเขาก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในใจ ขวดทองคำกะพริบด้วยคลื่นหลิงแพรวพราวนัก
มู่เฉินรับมา เขากวาดสัมผัสก่อนที่จะพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและดวงตาที่หรี่ลง จงเถิงร่ำรวยอย่างแท้จริงขนาดถือครองของเหลวจำนวนมหาศาลแบบนี้ ของเหลวจื้อจุนล้านหยดเทียบเท่ากับรายได้ครึ่งปีของหอวิหคโลกันตร์เลยทีเดียว
มู่เฉินแยกของเหลวจื้อจุนเป็นสองส่วน จากนั้นก็โยนครึ่งหนึ่งให้กับมั่วเฟิงแล้วยิ้ม “ขอบใจมาก”
ถ้ามั่วเฟิงไม่ได้ช่วยเขาก่อนหน้านี้ เขาอาจได้รับบาดเจ็บเพราะจงเถิงไปแล้ว
มั่วเฟิงรับไว้โดยไม่พูดอะไร ไม่มีใครคิดว่าจะมีของเหลวจื้อจุนมากไปหรอก เนื่องจากสิ่งนี้จำเป็นในการเพาะบ่มขุมพลัง ดังนั้นยิ่งเยอะยิ่งดี
แต่ขณะที่รับไป มั่วเฟิงก็ส่งคลื่นเสียงถามด้วยความสงสัย “ปล่อยมันไปแบบนี้เหรอ?”
เขาเข้าใจนิสัยของมู่เฉิน ชายคนนี้ไม่ได้ดูเป็นมิตรเหมือนที่เห็นหรอก
“เราไม่สามารถฆ่าใครในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณได้ หากเราบีบเขามากไป เจดีย์ก็จะส่งเขาออกไป… และเมื่อเขาออกไปได้ก็คงมีความคิดแก้แค้นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จนลงมือจัดการจิ่วโยวและมั่วหลิง หากเป็นเช่นนั้นเราก็จะต้องออกจากเจดีย์ไปด้วยเช่นกัน” มู่เฉินยิ้มบางตอบกลับ
“นั่นเป็นสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องทุกข์แสนสาหัส ตอนนี้เราไม่จำเป็นต้องละทิ้งโอกาสในชั้นห้า สำหรับชายคนนั้นเราสามารถจัดการกับเขาได้หลังจากเรื่องทั้งหมดจบลงแล้ว… ส่วนของเหลวจื้อจุนล้านหยดก็แค่คิดว่าเป็นกำไร ถ้าเขายืนกรานที่จะไม่ให้ ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะยังไงเราก็ไม่สามารถละทิ้งโอกาสในชั้นห้าได้…”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ใบหน้าของมั่วเฟิงก็อดประหลาดอย่างช่วยไม่ได้ จงเถิงเป็นคนฉลาด แต่ไม่คิดว่าครั้งนี้จะถูกหลอกให้อับอายโดยมู่เฉิน
ขณะที่มู่เฉินกับมั่วเฟิงส่งคลื่นเสียงคุยกัน จงเถิงก็ดูเหมือนจะคิดอะไรได้ ทันใดนั้นคิ้วก็ขมวดเขาเข้าใจในที่สุด ใบหน้ามืดครึ้มส่งเสียงคำรามลั่น “แกหลอกข้า!”
เขาไม่ใช่คนโง่ ด้วยการกระทำก่อนหน้า หากเขาเป็นมู่เฉินก็ไม่มีทางปล่อยอีกฝ่ายไปแน่นอน แต่การที่มู่เฉินไม่ได้ทำเช่นนี้ ก็หมายความว่ามู่เฉินมีความกังวลเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่แค่คิดมากขึ้นก็จะสามารถคิดออกได้
“แกคิดได้เร็วดีนี่”
มู่เฉินหัวเราะชื่นชมด้วยดวงตาหยี
จงเถิงหัวร้อนฉ่ากับคำพูดของมู่เฉิน แต่โชคดีที่เขาระงับความโกรธไว้ได้ จากนั้นก็สาดประกายเกลียดชังพุ่งใส่มู่เฉิน ก่อนที่จะเดินออกไปพร้อมกับอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เมื่อมู่เฉินเห็นการตอบสนองนั่นก็ไม่ไปใส่ใจอะไร หลังจากเรื่องนี้จบค่อยมาจัดการกับชายคนนี้ ดังนั้นเขาจึงหันไปหาหานซันที่ยืนอยู่ด้านข้างประสานมือให้ “ข้าต้องขอบคุณพี่หานด้วย”
แม้ก่อนหน้าเขาจะดูดซับแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าอยู่ แต่ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงรู้สึกขอบคุณที่หานซันไม่ร่วมวงด้วย มิฉะนั้นถ้าหานซันเคลื่อนไหว สถานการณ์อาจแตกต่างไปจากตอนนี้
“ไม่เป็นไร…”
หานซันยิ้มและพยักหน้า “พี่มู่มีความสามารถอย่างแท้จริง”
ไม่ว่าจะเป็นมู่เฉินที่คว้ากระบี่ขนนกทองคำหรือบังคับให้จงเถิงส่งมอบของเหลวจื้อจุน ล้วนแสดงให้เห็นว่ามู่เฉินไม่ใช่ธรรมดา ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกดีใจ โชคดีที่ความโลภไม่ได้บังตาจนมืดบอด ไม่เช่นนั้นจะเป็นเรื่องปวดกะโหลกที่เป็นศัตรูกับคนแบบนี้
มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเงยหน้าขึ้นมองศิลาพลังยุทธ์ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรประตูที่เต็มไปด้วยความรกร้างว่างเปล่าก็ปรากฏขึ้นด้านหลังแผ่นศิลา
เมื่อมองประตูแสง หัวใจที่สงบของมู่เฉินก็เต้นรัวอย่างไม่สามารถควบคุมได้
เขารู้ว่านี่เป็นเส้นทางสู่ชั้นสุดท้ายของเจดีย์