หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - ตอนที่ 1013
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1013 คายออกมา?
หมัดปีศาจเลื่อนลงมาใกล้
สนามรบที่กว้างใหญ่ก็แตกสลาย รอยแตกลึกกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็เสมือนฟ้าดินถูกทำลาย
ใต้หมัดร่างมู่เฉินกำจายด้วยแสงสีทอง เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องออกมาจากท่อนแขนของเขา แสงสีทองก็พวยพุ่งออกมา นี่เป็นครั้งแรกที่ลวดลายทั้งสองแยกออกจากร่างมู่เฉิน พวกมันขยายตัวก่อร่างเป็นมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบินฉวัดเฉวียนไปรอบๆ สร้างปราการแสงสีทองราวกับเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดปกป้องมู่เฉินไว้ภายใน
มังกรและหงส์ฟ้าบินอยู่รอบตัว ทันใดนั้นพวกมันก็เปิดปาก แสงสีทองพร่างพราวเทลงมาห่อหุ้มร่างมู่เฉินราวกับม่านน้ำตก
น้ำตกทองคำหลั่งไหลเข้าไปชำระล้างร่างมู่เฉินอย่างต่อเนื่อง เลือดเนื้อของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองภายใต้การการชำระนี่ ซึ่งบรรจุไปด้วยเกียรติภูมิอันคลุมเครือ
นี่คือการชำระล้างจากแก่นบริสุทธิ์ของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงซึ่งทรงพลังกว่าแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าที่มู่เฉินซึมซับก่อนหน้าเสียอีก!
ภายใต้การชำระล้างเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ร่างของมู่เฉินจะเริ่มมีรัศมีของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง กระทั่งเลือดของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้มีพลังชีวิตที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น
ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ มู่เฉินก็สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์ในร่างกาย คลื่นพลังงานที่ทำให้เขายังใจหวั่นพลุ่งพล่านในเลือดเนื้อ ความรุนแรงราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
มู่เฉินกำมือช้าๆ พลังงานที่เพิ่มขึ้นทำให้เขาแทบจะคำรามขึ้นสู่ชั้นฟ้า เขารอนานเกินไปสำหรับความก้าวหน้าวันนี้
แสงสีทองพล่านในดวงตาปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลัง เขารู้สึกได้ว่าตอนนี้ด้วยพลังกายเพียงอย่างเดียวเขาก็สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้!
ถ้ารวมกับคลื่นหลิงด้วยแล้ว มู่เฉินมั่นใจว่าภายใต้ระดับจื้อจุนขั้นแปดมีจอมยุทธ์ไม่กี่คนที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวได้
การปรับแต่งพลังกายในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้ไม่ทำให้เขาผิดหวังเลย
มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบินฉวัดเฉวียนรอบตัว มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่หมัดโลหิตที่กดลงมา เมื่อมองพลังทำลายล้างที่บรรจุอยู่ภายในหมัด แววตาเขาก็วูบไหวก่อนที่จะยิ้ม “อย่างนี้นี่เอง…”
มู่เฉินพึมพำเบาๆ แล้วเรียกร่างมังกรและหงส์ฟ้ากลับมา ในเวลาเดียวกันเขาก็ดึงคลื่นหลิงกลับคืนทั้งหมด ถอนการป้องกันทุกอย่าง
เขายืนอยู่ใต้หมัดโดยไม่มีการป้องกันใด ปล่อยให้ซัดลงมาจังๆ
ราวกับว่ากำลังเรียกหาความตาย
ทว่าวินาทีก่อนที่จะบรรลุ มู่เฉินก็เข้าใจว่าการทดสอบชั้นห้าเกี่ยวกับเรื่องอะไร…
การทดสอบไม่ใช่ให้ต่อต้านหมัดราชันสงครามโลหิต นั่นเพราะเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ แม้ว่ามู่เฉินจะบรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่ง แต่เขาก็รู้ดีแก่ใจว่าเมื่อไรที่หมัดพุ่งลงมา เขาก็จะสลายกลายเป็นอากาศธาตุ
และไม่ว่าการทดสอบจะยากแค่ไหน ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จ แต่ในการทดสอบนี้มู่เฉินมองไม่เห็นความสำเร็จใดๆ เลย
ดังนั้นความเป็นไปได้หนึ่งเดียวก็คือนี่ไม่ใช่การทดสอบแท้จริง
การทดสอบของชั้นห้าเป็นอย่างอื่น
“หมัดปีศาจพลีชีพ…สละร่าง-สละชีวิต…ถ้าใครอยากจะสืบทอดก็จะต้องมีความกล้าหาญที่จะละทิ้งชีวิตของตน หากไม่มีความกล้าหาญก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนหมัดปีศาจนี้ได้”
ขณะที่กำปั้นกดทับลงมา มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่หมัดทำลายล้างโดยไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ
ตู้ม!
ในที่สุดหมัดปีศาจก็ทิ้งทุ่นไปบนร่างมู่เฉิน ทำเอาพื้นดินแตกร้าว คลื่นกระแทกที่น่ากลัวกวาดหายนะรุนแรง ทั้งสวรรค์และโลถูกทำลาย …
ฉากนี้เป็นฉากสุดท้ายที่คนนอกเจดีย์เห็น หลังจากนั้นหน้าจอก็สั่นสะเทือนก่อนที่จะแตกสลายไป
ด้านนอกเจดีย์เงียบกริบลง
จิ่วโยวมองไปที่หน้าจอที่จางหายไป ใบหน้าของนางซีดเผือดลงทันที แม้ว่าพวกนางจะอยู่ภายนอกเจดีย์ก็ยังคงรู้สึกได้ว่าหมัดปีศาจพลีชีพน่ากลัวเพียงใด ในเมื่อมู่เฉินไม่สามารถหลบหนีได้ ชัดว่าเขามีอันตรายเข้าแล้ว
จอมยุทธ์เผ่าอื่นๆ ก็ส่ายหน้า บางคนรู้สึกสงสาร บางคนรู้สึกดีใจ พวกเขาทั้งหมดมีท่าทางที่แตกต่างกันเมื่อมองจิ่วโยว
หลิ่วชิงเผ่ากระเรียนฟ้าก็อึ้งกับเหตุการณ์นี้เช่นกัน เมื่อนางฟื้นจากอาการตกใจก็หันขวับไปมองจิ่วโยวด้วยสายตาสะใจ ไม่ว่าก่อนหน้ามู่เฉินจะโดดเด่นเพียงใด แต่การกระทำโง่เขลาครั้งสุดท้ายของเขาก็ทำให้ความพยายามทั้งหมดล้มเหลว
ในเมื่อตายไปแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่เขาแสดงออกมาก่อนหน้าจะโดดเด่นแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อะไร
บนพื้นดินใกล้กับเจดีย์ฝึกพลังกาย จงเถิง มั่วเฟิงและหานซันซึ่งก่อนหน้าเลือกที่จะยอมแพ้ก็ปรากฏตัวขึ้น ทั้งสามมองหน้าจอที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความอึ้งงัน ตอนท้ายสุดพวกเขาเหมือนเห็นร่างเงาของมู่เฉินถูกบดขยี้จนกลายเป็นฝุ่น
มั่วเฟิงฉายสีหน้าน่าเกลียดและโกรธแค้น หากเขารู้ว่าเรื่องเป็นแบบนี้ เขาน่าจะลากมู่เฉินออกมาพร้อมกัน แต่เขาก็รู้สึกสงสัยเพราะด้วยนิสัยของมู่เฉิน อีกฝ่ายไม่ใช่คนประมาท ในเมื่อรู้ว่าตนเองจะต้องตาย ทำไมยังอยู่ในนั้นอย่างดื้อรั้น
หานซันมีสีหน้าซับซ้อนเมื่อมองเจดีย์ จากนั้นก็ส่ายหัวด้วยความสงสาร
จงเถิงอึ้งงันไป คนที่ดึงเขาลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าตายเช่นนี้เนี่ยนะ?
หลังจากตะลึงงันไปพักหนึ่ง เขาก็อดยิ้มไม่ได้ “งี่เง่าจริงๆ!”
ในมุมมองของจงเถิง มู่เฉินคงคิดว่าตนเองจะได้รับโอกาสยิ่งใหญ่เหมือนที่แล้วมา ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมแพ้เนื่องจากความโลภที่มี แต่สุดท้ายใครจะไปคิดว่าหมัดของราชันสงครามโลหิตจะน่าสยดสยองเพียงนั้น แม้กระทั่งพวกเขายังเล็กเท่ามดไม่สามารถต้านทานอะไรได้
ทว่าไม่เพียงแต่เฉินมู่ไม่ต้องการที่จะยอมแพ้ เขายังบ้าระห่ำ เขาคิดว่าจะสามารถผ่านด่านได้ด้วยความเพียรพยายามเรอะ? โง่บรมโง่จริงๆ!
ทว่าขณะที่จงเถิงกำลังจะหัวเราะร่วน สายตาราวกับใบมีดเย็นเยียบก็กรีดแทงเข้ามา เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นจิ่วโยวมีท่าทางเย็นชาอยู่ไม่ไกลนัก
“ข้าพูดผิดเหรอ?” เผชิญหน้ากับสายตาเย็นชาของจิ่วโยว จงเถิงก็ยิ้มสบายๆ
ในเมื่อมู่เฉินตายไปแล้ว เขาก็ไม่ต้องกังวลอีก แม้ว่าจิ่วโยวและมั่วเฟิงจะต่อกรได้ยาก แต่อีกฝ่ายก็ไม่สามารถทำอะไรกับพวกเขาได้ บางทีเขาอาจจะบีบให้จิ่วโยวคืนของเหลวจื้อจุนล้านหยดที่มู่เฉินเอาไปจากเขาได้ด้วย
“ดูเหมือนว่าบทเรียนในเจดีย์จะยังไม่เพียงพอ ทุกคนได้เห็นว่าเจ้าน่าสงสารแค่ไหนในตอนนั้น” จิ่วโยวพูดอย่างเย็นชา
เมื่อจิ่วโยวพูดจบ ทุกคนโดยรอบก็มองไปที่จงเถิงด้วยสายตาพิลึกพิลั่น ชัดว่าต่างจำสภาพน่าสงสารของเขาได้
ใบหน้าของจงเถิงมืดครึ้มลง อัจฉริยะเผ่ากระเรียนฟ้าถูกมนุษย์บีบให้มาอยู่ในสภาพน่าสังเวช ช่างน่าอัปยศ มิหนำซ้ำจิ่วโยวยังกรีดบาดแผลเพิ่มให้อีกต่างหาก
สายตามืดมนของจงเถิงมองไปที่จิ่วโยว คลื่นหลิงค่อยๆ รวมตัวกันรอบตัว จิ่วโยวก็ไม่น้อยหน้า นางจ้องมองจงเถิงด้วยสายตาเย็นชาขั้นสุด
ทั้งสองปลดปล่อยคลื่นหลิงเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่ากำลังจะเคลื่อนไหวแล้ว
เมื่อสมาชิกเผ่ากระเรียนฟ้าเห็นก็รีบปรากฏตัวด้านหลังจงเถิง สายตาไม่เป็นมิตรจ้องไปที่จิ่วโยว
“หึ ดูเหมือนว่าเผ่าวิหคโลกันตร์จะสร้างความขุ่นเคืองกับคนไปทั่ว… แบบนี้เผ่าอีกาสายฟ้าของข้าขอร่วมด้วยสิ” ขณะที่พวกจิ่วโยวกำลังเผชิญหน้ากับเผ่ากระเรียนฟ้า เสียงหัวเราะเย็นเยือกก็ดังกึกก้องจากลู่สุยที่นั่งนิ่งรักษาอาการบาดเจ็บ เขายืนขึ้นจ้องมองจิ่วโยวอย่างเย็นชา
เขาได้รับความอับอายหนักหนาตอนถูกบังคับให้ต้องออกจากเจดีย์ฝึกพลังกายโดยมู่เฉิน ในเมื่อมู่เฉินตายไปแล้ว เขาก็สาดความขุ่นเคืองทั้งหมดให้กับจิ่วโยว
เมื่อจิ่วโยวเห็นกลุ่มอีกาสายฟ้ากระโจนลงมาเล่นด้วย ใบหน้าของนางก็มืดครึ้ม สายตาเย็นเยือกลง
มั่วเฟิงและมั่วหลิงปรากฏตัวข้างจิ่วโยว คลื่นหลิงไร้ขอบเขตเพิ่มขึ้นรอบตัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพร้อมรบทุกเวลาแล้ว
“พอมู่เฉินไม่อยู่ พวกเจ้าก็มาอวดดีเลยรึ?” จิ่วโยวกวาดแสงเย็นใส่ลู่สุยและจงเถิงขณะที่เยาะเย้ย
จงเถิงยิ้มอ่อนพลางส่ายหัว “ก่อนหน้านี้แค่เพราะพวกเขาสองคนบีบข้า ถ้าสู้กันตัวต่อตัวมู่เฉินจะอยู่ในสายตาของข้าได้ยังไง? ที่จริงข้าหวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดกับเขาซะอีก ข้าจะได้ให้เขาคายของเหลวจื้อจุนที่ปล้นไปจากข้าออกมา!”
“จริงรึ?”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ดวงตาของจิ่วโยวก็เปล่งประกาย ยิ้มเยาะเย้ยขึ้น
จงเถิงที่เห็นรอยยิ้มของจิ่วโยวก็รู้สึกไม่สบายใจได้แต่เค้นเสียงเย็นขึ้นจมูก “เจ้าคิดว่าไอ้บ้านั่นยังมีชีวิตอยู่เรอะ? ฝันไปเถอะ!
ใบหน้าของจิ่วโยวที่ซีดขาวในตอนแรกกลับคืนปกติแล้ว นางมองไปที่จงเถิงด้วยรอยยิ้มไม่เชิงยิ้ม “ข้าว่าพวกเจ้าน่าจะรู้เกี่ยวกับพันธะโลหิตระหว่างข้ากับมู่เฉินใช่ไหม?”
จงเถิงหัวเราะ “เจ้ายังกล้าพูดถึงเรื่องนี้…”
เมื่อพูดขึ้น เขาก็นึกอะไรได้ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปรุนแรง หากจิ่วโยวและมู่เฉินสร้างพันธะโลหิตต่อกัน จิ่วโยวก็จะต้องถูกกระทบจากความตายของมู่เฉิน ทว่าตอนนี้แม้สายตาของนางจะเย็นชา แต่ก็ไม่เหมือนได้รับบาดเจ็บอะไร
นั่นหมายความว่า…มู่เฉินยังไม่ตาย!
ทันทีที่ใบหน้าของจงเถิงเปลี่ยนไป แสงเจิดจรัสก็พุ่งออกมาจากเจดีย์ เมื่อแสงหายไปร่างเงาหนึ่งก็ยืนเงียบๆ บนแท่นหินนอกเจดีย์
ม่านตาสีดำสนิทของเขาจับจ้องไปที่จงเถิงอย่างช้าๆ มุมโค้งเย็นเยือกยกขึ้นที่มุมปาก
“เจ้าต้องการให้ข้าคายของเหลวจื้อจุนที่เอามาจากเจ้าให้เหรอ?”