หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - ตอนที่ 1202
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1202 คุณสมบัติในการเป็นประมุข
โถงใหญ่เงียบสนิท
หลังจากหลิ่วเทียนเต้าเปิดปากขึ้น ขณะที่จิ่วโยวและคนอื่นๆ จ้องมองเขาอย่างเกรี้ยวกราด หากไม่ใช่เพราะฐานะของหลิ่วเทียนเต้าละก็ พวกเขาคงจะเริ่มแซะอีกฝ่ายเพื่อปกป้องมู่เฉินแล้ว
ทว่าเปรียบเทียบกับพรรคพวกแล้ว มู่เฉินยังคงมีสีหน้าสงบไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ เลย ตามสิ่งที่เขาคาดหมายไว้หลิ่วเทียนเต้าต้องปฏิเสธแน่ เนื่องจากพวกเขามีเรื่องบาดหมางเมื่อในอดีต แน่นอนว่าสาเหตุที่อีกฝ่ายโกรธเคืองขนาดนี้ อาจเป็นเพราะความไม่สมดุลในใจ
ประมุขอีกสี่คนไม่ได้พูดอะไร แต่พวกเขาน่าจะมีความคิดเช่นเดียวกับหลิ่วเทียนเต้า เพียงแค่พวกเขาอดทนมากกว่า ไม่ต้องการโดดเด่นมากไปเท่านั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรทั้งห้าคนก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินไม่มีคุณสมบัติที่จะยืนเหนือพวกเขา
ดังนั้นถ้ามู่เฉินต้องการนั่งในตำแหน่งนี้ นอกเหนือจากการสนับสนุนของมั่นถัวหลัว เขาจะต้องข่มขวัญจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งห้าด้วยพลังของตนเองคนเดียวด้วย มิฉะนั้นขั้วอำนาจที่จะก่อตั้งใหม่จะไม่มั่นคงและสั่นคลอน
ดังนั้นเมื่อมั่นถัวหลัวได้ยินคำพูดของหลิ่วเทียนเต้า นางก็นิ่งเงียบ นางต้องการให้มู่เฉินจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
เมื่อประมุขทั้งห้าเห็นท่าทางของนาง พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจ
มู่เฉินยิ้มบางเงยหน้าขึ้นมองหลิ่วเทียนเต้าพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “ผู้อาวุโสหลิ่วบอกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติ งั้นไม่รู้ว่าคุณสมบัติที่ว่าจะได้รับอย่างไร?”
หลิ่วเทียนเต้ากระตุกเปลือกตาขึ้น “หากเจ้าต้องการอยู่เหนือพวกข้าก็แสดงพลังให้ประจักษ์”
“แม้ว่าเจ้าจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้ว แต่ก็ยังตื้นเขินเกินไป ดังนั้นหากเจ้าต้องการก้าวข้ามพวกข้า ต่อให้พวกข้ายอม ผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเราก็จะไม่พอใจและเรียกร้อง ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งได้”
หลิ่วเทียนเต้าเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เมื่อเอ่ยปากก็ลากกระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาตามมาด้วยเป็นพรวน
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มขณะที่มองอีกสี่คน “ผู้อาวุโสทั้งสี่ก็คงมีความคิดเหมือนกันใช่ไหม?”
ทั้งสี่ตอบแบบไม่ยี่หระ “ถึงแม้พี่ชายน้อยมู่จะก้าวเข้ามาอยู่จุดเดียวกัน แต่เจ้ายังขาดประสบการณ์ ดังนั้นยากที่จะโน้มน้าวใจมวลชนได้”
แม้ว่าพวกเขาจะแสดงการคัดค้าน แต่ก็ไม่ต้องการที่จะสร้างความขุ่นเคืองให้กับจอมยุทธ์อัจฉริยะที่อายุน้อยแบบนี้ ในอนาคตมู่เฉินไปไกลกว่าพวกเขาแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงให้ความสุภาพอยู่บ้างเมื่อพูดกับเขา
มู่เฉินยิ้ม “สุดท้ายคุณสมบัติที่พูดถึง… ก็คือใครกำปั้นใหญ่กว่าสินะ”
คำพูดของมู่เฉินตรงไปตรงมามาก ทั้งห้าคนยิ้มแต่ไม่ได้ลบล้างคำพูดของมู่เฉิน
มือของมู่เฉินลูบโต๊ะขณะยิ้ม ความคมชัดพล่านมารวมกันในนัยน์ตา เขาพูดช้าๆ “งั้นไม่รู้ว่ามีใครคิดจะมาทดสอบกำปั้นดูไหมว่าใครใหญ่กว่ากัน?”
เมื่อมู่เฉินพูด พายุใหญ่ก็โหมกระหน่ำในห้องโถง แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวเข้าครอบงำไปทั่ว มิติโดยรอบก็บิดเบี้ยวราวกับคลื่นน้ำ
ที่เบื้องหลังมู่เฉินท่าทางของจิ่วโยวและเหล่าจอมพลเปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกอึดอัดจากแรงกดดันที่มาจากมู่เฉินจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
นี่ทำให้พวกเขาถอนหายใจ ความแตกต่างระหว่างระดับจื้อจุนขั้นเก้ากับระดับตี้จื้อจุนกว้างใหญ่จริงๆ
ประมุขทั้งห้าหดตาลง เสื้อผ้าเผยิบผยาบ แสงหลิงส่องประกายรอบตัวขณะที่ต้านทานแรงกดดันที่มาจากมู่เฉิน
“ฮ่าๆ พี่ชายน้อยมู่คมราวกับกระบี่จริงๆ”
หลิ่วเทียนเต้ายิ้ม จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อพลางพูดต่อว่า “งั้นข้าขอเป็นคนทดสอบเจ้าเอง”
เขารู้ว่ามู่เฉินเคี้ยวไม่ง่าย แต่เขาก็มั่นใจเพราะว่าอยู่ในระดับตี้จื้อจุนมานานหลายปี มู่เฉินยังสดใหม่เกินไป ดังนั้นเขาจึงมีความมั่นใจว่าสามารถปราบปรามอีกฝ่ายได้
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะขัดมู่เฉินมาก พวกเขาเพียงแค่ต้องการลบความเฉียบคมของมู่เฉินลงบ้าง สอนให้รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเผชิญหน้ากับพวกเขาทั้งห้าตามลำพัง
“ไม่รู้ว่าเจ้าจะพิสูจน์ให้เห็นยังไง? ต่อให้ต้องการประลองซึ่งหน้า ข้าก็ยินดีนะ” หลิ่วเทียนเต้ากล่าวเสียงกร้าวราวกับว่าต้องการต่อสู้กับมู่เฉิน หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เขาจะสามารถระงับความคมของมู่เฉินได้ ในเวลาเดียวกันตำแหน่งของเขาในพันธมิตรก็จะเพิ่มขึ้น
เมื่อเห็นหลิ่วเทียนเต้าแข็งขันขนาดนี้ มู่เฉินก็พลิกนิ้วนุ่มนวลพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน “แม้ว่าการประลองจะปฏิบัติได้จริง แต่ก็ไม่เป็นที่น่าเพียงพอ”
ทั้งคู่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ดังนั้นพวกเขาจะต้องเดิมพันด้วยความเป็นตายหากต้องการจะรู้ผลแพ้ชนะ นั่นเป็นภาพที่มู่เฉินไม่ต้องการเห็น เพราะถ้าเขาได้เป็นประมุขขึ้นมา ก็ไม่ต้องการสูญเสียกำลังพลไป
คนอย่างหลิ่วเทียนเต้าไม่ใช่หัวผักกาดที่พบได้ทุกที่
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน หลิ่วเทียนเต้าก็คิดว่าอีกฝ่ายไม่มั่นใจที่จะต่อสู้ “ข้าว่าตามเจ้า ไม่ว่าเจ้าต้องการต่อสู้ด้วยวิธีใดก็ตาม”
มู่เฉินยิ้มบางก่อนจะยื่นมือออกมาแสงหลิงรวมตัวกันอยู่ภายใน “ในเมื่อผู้อาวุโสหลิ่วมีความมั่นใจมาก งั้นข้าจะสร้างค่ายกล ตราบเท่าที่ท่านสามารถทนอยู่ได้ถึงสองชั่วโมง ข้าจะยอมรับความพ่ายแพ้และจะยอมรับท่านในฐานะหัวหน้า”
โห่
เสียงปั่นป่วนดังขึ้นในโถง ทุกคนมองมู่เฉินด้วยความไม่อยากจะเชื่อ พวกเขารู้ว่ามู่เฉินเชี่ยวชาญด้านค่ายกล แต่เขามีความสามารถในการสร้างค่ายกลระดับจงซือหรือ?
นอกจากนี้ต่อให้เป็นค่ายกลระดับจงซือก็ได้แต่ขังหลิ่วเทียนเต้าไว้เท่านั้น เรื่องที่ทนอยู่สองชั่วโมงช่างน่าตลกเหลือเกิน
นั่นเป็นเพราะหากมู่เฉินต้องการเอาชนะหลิ่วเทียนเต้า เขาก็ต้องสร้างค่ายกลระดับจงซือขั้นกลางที่สร้างปัญหาให้กับจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนขั้นปลายได้!
มู่เฉินโอหังเกินไปหน่อยรึเปล่า?
“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
หลิ่วเทียนเต้าหัวเราะร่วน ไม่คิดว่ามู่เฉินจะโอหังเพียงนี้ ทว่าเขาก็ยินดีกับคำพูดของมู่เฉิน นั่นเป็นเพราะถ้ามู่เฉินแพ้ก็จะเสียโอกาสที่จะขึ้นไปสู่จุดสูงสุด
ความตั้งใจที่มั่นถัวหลัวต้องการส่งเขาเป็นประมุขก็จะจบสิ้น ในทางตรงกันข้ามเขาอาจสามารถใช้สิ่งนี้ในการกลายเป็นผู้นำคนใหม่ เพราะดูท่ามั่นถัวหลัวไม่ได้สนใจตำแหน่งเท่าไร
“ในเมื่อพี่ชายน้อยมู่มั่นใจซะขนาดนี้ งั้นให้ข้าลิ้มรสหน่อยว่าค่ายกลของเจ้ามีความสามารถมากแค่ไหน!” หลิ่วเทียนเต้ายิ้มเยาะขณะที่ไพล่มือไว้ด้านหลัง
มู่เฉินยิ้มบาง ไม่ได้พูดอีก เขาสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นสัญลักษณ์หลิงยิ่งก็พวยพุ่งออกไปเป็นผนึกสาย
ผนึกเหล่านั้นรวมเข้ากับอากาศ มิติผันผวน เส้นหลิงจำนวนมากเชื่อมโยงกันเป็นค่ายกลที่ลึกซึ้ง
ในชั่วไม่กี่สิบลมหายใจค่ายกลก็ถูกสร้างขึ้น รวบรวมคลื่นหลิงในบริเวณนี้เอาไว้ทั้งหมด
โฮก!
เสียงคำรามของมังกรดังออกมาจากค่ายกลคลุมเครือพร้อมกับแรงกดดันแปลกประหลาด
เมื่อมองเข้าไปที่ค่ายกลขนาดมหึมาบนท้องฟ้า จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งห้าก็หดตาลง ขณะที่เกิดความชื่นชมในหัวใจ ค่ายกลนี้อยู่ในระดับจงซือแท้จริงแล้ว
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมมู่เฉินถึงมั่นใจมาก ที่แท้มีพลังเช่นนี้ ช่างผิดคาดจริงๆ
โฮก!
คลื่นหลิงทรงพลังม้วนตัวอยู่ในผนึกเส้นสายค่ายกลยิ่งใหญ่ก่อเป็นมังกรสามตัว ซึ่งปล่อยแรงกดดันมหาศาล
ด้วยพลังในปัจจุบันของเขา ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารทรงพลังยิ่งกว่าในอดีตหลายเท่า
“ค่ายกลนี้ ใช้ได้เลยทีเดียว”
หลิ่วเทียนเต้ามองค่ายกลด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปเผชิญหน้ากับมู่เฉิน “แต่ถ้านี่คือทั้งหมดที่เจ้ามี ข้าสามารถทำลายได้ทุกเมื่อ”
เขาบอกได้ว่าค่ายกลนี้ค่อนข้างลึกซึ้ง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะคุกคาม
“นอกจากนี้นี่ยังเป็นค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ที่มีช่องโหว่มากมาย หากเจ้าคิดว่าสามารถใช้ค่ายกลไม่สมบูรณ์ในการเอาชนะข้าได้ เจ้าก็ไร้เดียงสาเกินไป” หลิ่วเทียนเต้าเหน็บมู่เฉินอย่างไม่สนใจ
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม สายตาของหลิ่วเทียนเต้าเฉียบคมจริง เขาสามารถบอกได้ว่าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารนี้ยังไม่สมบูรณ์
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้”
มู่เฉินยิ้มวาดตราประทับด้วยมือเดียว
“งั้นก็ขอให้ผู้อาวุโสหลิ่วลิ้นรสฉบับเต็มของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารหน่อยละกัน”