หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - ตอนที่ 1347
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1347 ราชันสังหารปีศาจคนที่สอง
แสงสีทองพวยพุ่งขึ้นภายในตำหนัก
ดึงดูดสายตาทุกคู่ให้จับจ้องไปยังป้ายสีทองพร้อมด้วยตัวอักษรสีแดงเข้มที่ด้านล่างที่ทำให้เกิดแรงกดดันแปลกประหลาด
ราชันสังหารปีศาจ!
เหล่ามือสังหารปีศาจมองไปที่ป้ายด้วยดวงตาลุกโชน ดูเหมือนว่าจะมีน้ำลายไหลออกจากปากของพวกเขา เห็นชัดเจนว่าพวกเขาเข้าใจความหมายของสิ่งนี้ในวังมหาพันภพดี…
ราชันสังหารปีศาจอยู่ด้านบนสุดของพีระมิดในวังมหาพันภพ สูงกว่าแขก ผู้อาวุโสและผู้ดูแลตำหนักบางส่วนด้วยซ้ำ!
พวกเขายอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายก็เพียงเพื่อเพิ่มอันดับ เมื่อสามารถดำรงตำแหน่งราชันสังหารปีศาจได้ พวกเขาก็จะมีชีวิตพลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง
ในมหาพันภพตำแหน่งราชันสังหารปีศาจไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้นำขั้วอำนาจสูงสุดเลย
“เจ้าเด็กนั่นเป็นราชันสังหารปีศาจจริงด้วย…” สายตาอิจฉามากมายจ้องมองมาที่มู่เฉิน โดยเฉพาะคนที่เข้าไปผจญภัยในแดนเซิ่งยวนโบราณมานานหลายปี แต่ยังคงอยู่ในขั้นกลางเท่านั้น
นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่ามู่เฉินเพิ่งได้รับป้ายสังหารปีศาจก่อนที่จะเข้าสู่แดนเซิ่งยวนโบราณเป็นครั้งแรก
ป้ายกะพริบด้วยแสงสีทอง ทำให้ใบหน้าของมั่วโยวดิ่งลงอย่างช้าๆ พร้อมกับความเคร่งเครียดรุนแรงพล่านในส่วนลึกของดวงตา
“เขา? ราชันสังหารปีศาจ? ข้าเคยได้ยินแค่ชื่อของราชันสังหารปีศาจฉิงเทียนเท่านั้น มีคนที่สองตั้งแต่เมื่อไร?” เสียงแหบพร่าของมั่วโยวดังก้อง เขาเพิ่งมาที่เมืองเซิ่งยวน ดังนั้นจึงไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของศิลาสังหารปีศาจ
“ผู้ดูแลตำหนักบ้าไปรึเปล่า? เจ้ายอมรับตัวตนของราชันสังหารปีศาจแบบนี้ได้จริงรึ? นับตั้งแต่ก่อตั้งวังมหาพันภพเมื่อไรกันที่มีราชันต่ำต้อยขนาดนี้?” ใบหน้าของมั่วหยิงและเฮยกวางเขียวคล้ำ ขณะที่พูดด้วยความไม่เชื่อ
“เจ้าไม่กลัวชื่อเสียงของวังจะพังพินาศหากเรื่องนี้กระจายออกไปรึ!”
เมื่อได้ยินเสียงของมั่วหยิง ลู่ทงก็ยิ้มบาง “ป้ายสังหารปีศาจสามารถเพิ่มคะแนนได้โดยใช้ชิ้นส่วนวิญญาณของเผ่าปีศาจต่างมิติเท่านั้น ในเมื่อเขาสามารถก้าวขึ้นสู่ระดับราชันสังหารปีศาจได้ นั่นหมายความว่าเขามีส่วนร่วมอย่างเพียงพอแล้ว”
“เขาแค่โชคดี เศษวิญญาณของจอมปีศาจระดับเทียนนั่นได้มาเพราะบรรพบุรุษของพวกข้าช่วยเขาไว้ เขาหาผลประโยชน์จากด้านข้าง!” เฮยกวางพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ลู่ทงส่ายหัว “ข้าไม่สนใจว่าเขาได้รับเศษวิญญาณจอมปีศาจระดับเทียนมาได้อย่างไร ข้ารู้แค่ว่าเขาได้รับการยอมรับจากป้ายสังหารปีศาจและถูกยกให้เป็นราชันสังหารปีศาจ”
“นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นั่นหมายความว่ามีจอมปีศาจระดับเทียนตายในมือของเขา แม้ว่าจะเป็นเพียงเศษวิญญาณ เขาก็มีส่วนช่วยอย่างมากในการลบล้าง ถือว่าเป็นการสนับสนุน ตามบัญญัติตั้งแต่ก่อตั้งวังมหาพันภพ ในเมื่อเขาสังหารเผ่าปีศาจได้สำเร็จทางวังก็ไม่คิดปฏิเสธ”
ขณะที่พูดเขาก็หันไปมองเฮยกวาง มั่วหยิงและมั่วโยวพูดย้ำช้าๆ “นอกจากนี้ข้าได้รายงานเรื่องนี้ไปยังกองบัญชาการใหญ่แล้ว ข่าวที่ได้รับแจ้งก็คือ… พวกเขายอมรับเรื่องนี้เช่นกัน”
โห่
ทันใดนั้นทั้งตำหนักก็เกิดความโกลาหล ดวงตาสีแดงนับไม่ถ้วนจ้องมองมาที่มู่เฉิน นั่นไม่ได้หมายความว่านับจากวันนี้เป็นต้นไปวังมหาพันภพจะมีราชันสังหารปีศาจคนที่สองเรอะ?
ตอนนี้ชายหนุ่มกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวังมหาพันภพ แม้แต่ผู้ดูแลตำหนักก็ยังอยู่ใต้ระดับเขา
ใบหน้าของเฮยกวางและมั่วหยิงน่าเกลียดลงหลายส่วน ใบหน้าของมั่วโยวก็มืดครึ้มลง หากวังมหาพันภพยอมรับตัวตนของมู่เฉินในฐานะราชัชนสังหารปีศาจจริงๆ ละก็ เรื่องนี้เป็นปัญหาแน่
ราชาผู้สังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพดำรงตำแหน่งสูงล้ำในมหาพันภพไม่ต้องพูดถึงเขาเลย เขาอยู่ในระดับเดียวกับผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าโบราณด้วยซ้ำ
ดังนั้นหากพวกเขาต้องการจับมู่เฉินไปในวันนี้ ก็เท่ากับว่าท้าทายวังมหาพันภพ ซึ่งผลลัพธ์นั้นช่างเลวร้ายเหลือเกิน
ในฐานะผู้อาวุโสลำดับเก้าของเผ่าฝูถู มั่วโยวรู้ชัดเจนเกี่ยวกับความแข็งแกร่งและรากฐานของวังมหาพันภพ ในระดับหนึ่งสำนักนี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเผ่าฝูถูเลย เพียงแต่ว่าวังมหาพันภพมุ่งเน้นจัดการเผ่าปีศาจต่างมิติจึงไม่เคยแทรกแซงในเรื่องมหาพันภพ
ผู้ดูแลตำหนักไม่ได้สนใจมองไปอีกฝ่ายต่อไป เขาคืนป้ายให้กับมู่เฉิน ประสานมือขึ้นด้วยรอยยิ้ม “แดนเซิ่งยวน เจ้าตำหนักหมื่นพัน—ลู่ทง ทักทายราชันสังหารปีศาจ”
มู่เฉินผงะไปก่อนที่จะพูดอย่างรัว “เจ้าตำหนักลู่ อย่าแกล้งข้าแบบนี้เลย”
สถานการณ์นี้เหนือความคาดหมายของเขา เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ากองบัญชาการใหญ่ของวังมหาพันภพจะยอมรับราชันสังหารปีศาจอย่างเขาจริงๆ
ลู่ทงยิ้ม “สถานะของราชันสังหารปีศาจในวังมหาพันภพสูงกว่าข้าด้วยซ้ำ ดังนั้นเจ้าสามารถรับการคารวะได้เต็มที่”
เมื่อมั่วโยว มั่วหยิงและเฮยกวางเห็นสิ่งนี้ใบหน้าก็ยิ่งดูไม่น่าดู เพราะพวกเขาบอกได้เลยว่าที่ลู่ทงตั้งใจทำสิ่งนี้ก็เพื่อให้พวกเขาตระหนักถึงความสำคัญของมู่เฉินในฐานะราชันสังหารปีศาจ
“ทำยังไงดี?” สายตาของมั่วหยิงสั่นไหวก่อนที่จะหันไปมองมั่วโยว คลื่นเสียงที่ถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นหลิงส่งไปยังมั่วโยวทันที
มั่วโยวไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้า แต่เกิดอาการหน้ากระตุกครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะส่ายหัว
“ผู้อาวุโสเก้า!”
เมื่อเห็นความตั้งใจนี้ เฮยกวางก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา นี่เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะจับตัวมู่เฉินไป หากเรื่องนี้ส่งกลับไปที่เผ่าก็จะทำให้เกิดคลื่นมหาศาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเวลานั้นก็คงไม่ง่ายที่พวกเขาจะแอบดำเนินการอะไรก่อนรายงาน
มั่วโยวจ้องไปที่เฮยกวาง ด้วยสถานะปัจจุบันของมู่เฉินที่ดำรงตำแหน่งราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ หากพวกเขาจับมู่เฉินในตำหนักหมื่นพัน ก็คล้ายกับการตบหน้าวังมหาพันภพ คนเหล่านั้นคงจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ไปแบบง่ายดายแน่นอน
ดวงตามั่วโยวกะพริบก่อนที่จะหันไปมองมู่เฉิน ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปเป็นอ่อนโยน “มู่เฉิน เจ้าเป็นสมาชิกของเผ่าฝูถู หากเจ้าสามารถไปยังเผ่ากับพวกข้าและมอบวิชาเจดีย์แปดองค์กลับคืนสู่เผ่า บางทีผู้อาวุโสใหญ่อาจปล่อยมารดาของเจ้าก็ได้”
พอได้ยินประโยคดังกล่าว ทุกคนก็เบ้ปากด้วยความรังเกียจ ผีแก่คนนี้พยายามทำตัวดีหลังจากเห็นว่างานหนักไม่ได้ผลเรอะ?
มู่เฉินหลุบตาลงไม่มีริ้วกระเพื่อมบนใบหน้าก่อนที่จะตอบเบาๆ “ข้าจะไปเยี่ยมเผ่าฝูถูแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
เขาไม่ใช่เด็กชายตัวเล็กที่จะเชื่อคำพูดของมั่วโยว ถ้าเขาอยู่ในเงื้อมมือของคนเหล่านี้ ไม่เพียงแต่เขาจะสูญเสียวิชาเจดีย์แปดองค์เท่านั้น ตัวเขาอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อบีบบังคับมารดาอีกด้วย
เมื่อถึงวันที่เขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุน สามารถปกป้องตัวเองได้ เขาก็จะมุ่งหน้าไปยังเผ่าฝูถูแน่!
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่ให้หน้า ใบหน้าของมั่วโยวก็มืดครึ้ม “มู่เฉินอย่าโง่น่า เจ้าคิดว่าสถานะราชันสังหารปีศาจจะสามารถทำให้เผ่าฝูถูยอมศิโรราบได้เหรอ?”
“งั้นก็ลองดู” มู่เฉินตอบโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า แม้ว่ามั่วโยวจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน แต่เขาก็ไม่ได้จนหนทาง ในสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าเขาสามารถขอความช่วยเหลือจากเทพจักรพรรดิสงครามได้ เขาไม่เชื่อว่ามั่วโยวจะหยิ่งผยองเมื่อถึงตอนที่หลินต้งมาถึงได้
การขอความช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องน่าอาย ในโลกนี้การยืมกำลังก็เป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเช่นกัน
ใบหน้าของมั่วโยวกระตุกขณะที่จับจ้องไปที่มู่เฉินด้วยความโกรธในใจ
แต่เผชิญหน้ากับสายตานั่น มู่เฉินก็ไม่สนใจ
แววตาของมั่วโยวมืดมนลง เขาจ้องมองมู่เฉินอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ทำให้ไฟที่โหมกระหน่ำในใจสงบลง จากนั้นเขาก็ยกเปลือกตาขึ้น “หวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ตัดสินใจในวันนี้”
เมื่อพูดจบมั่วโยวก็หันกลับจากไปทันที
เมื่อเห็นว่ามั่วโยวยอมแพ้กับเรื่องนี้ ใบหน้าของมั่วหยิงและเฮยกวางก็เคร่งขรึมและไม่เต็มใจ แต่พวกเขารู้ดีว่าวันนี้ทำอะไรกับมู่เฉินไม่ได้แล้ว
ดังนั้นพวกเขาจึงสาดสายตามืดมนไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อจากไป
ใบหน้าของเฉวียนหลัวและมั่วซินดำมืดราวกับก้นกระทะ พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าภายใต้แรงกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ยังคงไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้
“ไอ้เวรโชคดีนักนะ!”
พวกเขาสบตากันพลางกัดฟันแน่น พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะกลายเป็นราชันสังหารปีศาจของวังมหาพันภพกะทันหัน มิหนำซ้ำยังได้รับการยอมรับจากองบัญชาการใหญ่ด้วย…
ทว่าพวกเขาเข้าใจถ่องแท้ว่าถึงความล้มเหลวในการจับมู่เฉินเพื่อรับวิชาเจดีย์แปดองค์ไป
เพียงแค่คิดถึงในอนาคตว่าวิชาเจดีย์แปดองค์จะเป็นของมู่เฉิน หัวใจของทั้งสองก็เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจและโกรธเกรี้ยว
ความโกรธในใจพุ่งสูงขึ้นก่อนที่พวกเขาจะกวาดสายตามองไปที่มู่เฉิน จากนั้นก็สะบัดหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว
มู่เฉินมองทั้งสองคนจากไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในท่าทาง เมื่อคนเหล่านั้นกำลังจะออกจากตำหนัก ในที่สุดเขาก็พูดออกมาอย่างใจเย็น “จะต้องมีสักวันหนึ่งที่ข้าจะเยี่ยมเผ่าฝูถูเป็นการส่วนตัวเพื่อช่วยท่านแม่”
เสียงฝีเท้าของมั่วโยวหยุดลงชั่วขณะที่เอียงใบหน้ามองด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยบนริมฝีปาก เขามองไปที่มู่เฉินอย่างน่าขนลุก เสียงเย็นชาดังก้อง “โอ้? จริงเหรอ? งั้นข้าจะรีบไปปัดกวาดคุกรอการมาถึงของเจ้า…”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูถูก แม้จะมีวิชาเจดีย์แปดองค์ แต่จอมยุทธ์ที่เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็เพ้อฝันไปถ้าคิดจะช่วยนักโทษออกจากเผ่าฝูถู!
แววตาของมู่เฉินคมกริบ เขาจ้องไปที่มั่วโยวด้วยรอยยิ้มบาง “ถึงตอนนั้นข้าจะขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสเก้าเป็นการส่วนตัว”
“ไอ้สารเลวจอมหยิ่ง ข้าจะลับเขี้ยวรอแกเลย” มั่วโยวส่ายหัวด้วยอาการเย้ยหยันก่อนจะหันจากไป
มองกลุ่มเงาที่ห่างออกไปมู่เฉินก็ยิ้มบาง เมื่อถึงเวลาที่เขาไปยังเผ่าฝูถู เขาจะต้องบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนก่อน เวลานั้นเขาจะให้ผีแก่กระหายเลือดตระหนักถึงความหมายของวงล้อแห่งโชคชะตาที่หมุนไป