หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - ตอนที่ 1350
หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1350 สำนักเมฆาม่วง
ทวีปเทียนหลัว ภูมิภาคทางเหนือ โถงใหญ่ตำหนักมู่
จอมยุทธ์ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ในโถง ตอนนี้ตำหนักมู่เป็นขั้วอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในภูมิภาคทางเหนืออย่างไม่ต้องสงสัย ขั้วอำนาจมากมายในภูมิภาคทางเหนือมาสวามิภักดิ์ เหล่าจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนมาขอเข้าร่วม ทำให้ตำหนักมู่เติบโตขึ้นอย่างโดดเด่น
แต่ขณะนี้แม้จะมีจอมยุทธ์มารวมตัวกันมากมาย แต่บรรยากาศก็ยังรู้สึกกดดัน
บนบัลลังก์สีทองมั่นถัวหลัวตัวเล็กบางสวมชุดดำนั่งอยู่ ในฐานะรักษาการประมุขชื่อเสียงของนางมาถึงขีดสุดแล้ว
หลังจากตำหนักมู่ก่อตั้งขึ้น ประมุขมู่เฉินก็จากไปจนตอนนี้ยังไม่ได้กลับมา ดังนั้นเรื่องราวทั้งหมดจึงถูกจัดการโดยมั่นถัวหลัว
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในภูมิภาคทางเหนือรู้จักแต่ชื่อของมั่นถัวหลัว สำหรับประมุขมู่เฉินผู้ลึกลับไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย
ถัดจากมั่นถัวหลัวก็คือหลิ่วเทียนเต้า วั้นเซิ่ง โยวมิ่งและขั้วอำนาจเก่าแก่อื่นๆ ของภูมิภาคทางเหนือ ทว่าตอนนี้ทั้งหมดเข้าร่วมตำหนักมู่แล้ว
ลงไปอีกขั้นเป็นจอมยุทธ์คนอื่นๆ ซึ่งการรวมตัวนั้นเมื่อเทียบกับในอดีตก็แข็งแกร่งขึ้นมาก
มั่นถัวหลัวเคาะปลายนิ้วบนพนักแขนขณะที่มองไปรอบๆ ครู่หนึ่งต่อมานางก็เอ่ยช้าๆ ว่า “ข้าได้รับสารว่าทูตของสำนักเมฆาม่วงจะมาถึงตำหนักมู่เร็วๆ นี้”
ทั่วทั้งห้องโถงเงียบลง ใบหน้าของผู้คนมากมายเปลี่ยนเป็นขนพองสยองเกล้าเมื่อได้ยินคำว่าสำนักเมฆาม่วง
ทวีปเทียนหลัวเป็นหนึ่งในมหาทวีปของมหาพันภพที่มีดินแดนกว้างใหญ่ ตามการจัดสรรของที่นี่ถูกแบ่งออกเป็นห้าจักรวรรดิได้แก่เหนือ-ใต้-ตะวันออก-ตะวันตกและกลาง
ภูมิภาคทางเหนือเป็นเพียงมุมเล็กๆ ของจักรวรรดิเหนือ
แม้ว่าตำหนักมู่จะขึ้นเป็นเจ้าเหนือหัวของภูมิภาคทางเหนือแล้ว แต่ก็ถือว่าธรรมดาในจักรวรรดิเหนือเท่านั้น สำนักเมฆาม่วงที่มั่นถัวหลัวพูดถึงก่อนหน้าเป็นหนึ่งในสามขั้วอำนาจของจักรวรรดิเหนือ
ว่ากันว่าผู้อาวุโสทุกคนในสำนักเมฆาม่วงเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ซึ่งมีรากฐานที่แข็งแกร่งมาก
เมื่อเทียบกับสิ่งนั้น ตำหนักมู่ที่มีเพียงมั่นถัวหลัวค้ำจุนอยู่คนเดียว ช่างคล้ายกับหิ่งห้อยโดยไม่ต้องสงสัย
น้ำไหลลึกในทวีปเทียนหลัว ในอดีตแม้ว่าแคว้นเซี่ยและตำหนักเทพปีศาจจะมีชื่อเสียง แต่พวกเขาก็ยังต้องหลังงุ้มลงเมื่อเทียบกับขั้วอำนาจระดับนั้น
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงตกใจเมื่อได้ยินเรื่องสำนักเมฆาม่วง
“พวกมันต้องการอะไร?” หลังจากครุ่นคิดสั้นๆ หลิ่วเทียนเต้าก็ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
มั่นถัวหลัวเย้ยหยัน “จะมีอะไรอีก? พวกมันก็ต้องการให้ตำหนักมู่ของเราสวามิภักดิ์ การแข่งขันเพื่อตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือจะเกิดขึ้นในไม่ช้า เห็นได้ชัดว่าสำนักเมฆาม่วงต้องการให้เราเป็นกองทัพเดนตายสำหรับพวกมันเพื่อต่อสู้กับอีกสองขั้วอำนาจ”
“ในอดีตภูมิภาคทางเหนือยุ่งเหยิง ดังนั้นจึงไม่ดึงดูดความสนใจของใคร แต่ตอนนี้ตำหนักมู่ของเราได้รวบรวมทุกคนเข้ามาเป็นหนึ่งเดียว ก็ต้องถูกคนอื่นจับตามองเป็นธรรมดา”
ใบหน้าของทุกคนไม่น่าดูเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว พวกเขาเพิ่งรวมภูมิภาคทางเหนือเข้าด้วยกัน แต่กลับถูกบางคนจับตามองก่อนที่จะทันได้เฉลิมฉลอง
“การแข่งขันตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของจักรวรรดิเหนือจะต้องโหดร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย นี่เป็นการต่อสู้ของกองทัพระดับขั้วอำนาจใหญ่ทั้งสาม ทุกการปะทะจะลบกองทัพจำนวนมากอย่างเราออกไป ถ้าเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ข้ากลัวว่า…” วั้นเซิ่งกล่าว
“แต่ถ้าเราปฏิเสธ ก็แปลว่าไม่ให้หน้าสำนักเมฆาม่วง ด้วยพลังที่มีอยู่ตอนนี้เราไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธได้เลย” วั้นตู๋เสอถอนหายใจเอ่ยออกมา
“แต่เราจะไปเป็นกองทัพเดนตายให้สำนักเมฆาม่วงไม่ได้นะ!”
“…”
เสียงถกเถียงวุ่นวายดังขึ้นในตำหนัก ทุกคนตื่นตระหนกเกี่ยวกับการมาถึงของทูตสำนักเมฆาม่วงยิ่งนัก
เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นภาพนี้คิ้วก็ขมวดขึ้น ตอนแรกนางเพียงต้องการรวบรวมภูมิภาคทางเหนือทั้งหมดเพื่อเสริมพลังให้ตำหนักมู่ แต่ใครจะคิดว่าดันไปดึงดูดความสนใจของสำนักเมฆาม่วงได้?
‘ปัญหามาถึงตัวซะแล้ว’
“ไม่รู้ว่าตอนนี้ประมุขอยู่ที่ไหน ตำหนักมู่เกิดปัญหาใหญ่ขนาดนี้ เขายังไม่ปรากฏตัวอีก” เมื่อความวุ่นวายกระจายออกไป เสียงไม่พอใจก็ดังขึ้น
“ตั้งแต่ข้าเข้าร่วมตำหนักมู่ก็ยังไม่เคยเห็นประมุขผู้ลึกลับของเรามาก่อน รักษาการประมุขมั่นเป็นคนจัดการทุกอย่าง”
“ดูเหมือนว่าประมุขจะยังเด็กเกินไป มิหนำซ้ำยังเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แม้ว่าเขาจะกลับมา แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้”
เมื่อได้ยินว่าหัวข้อลอยอวลทั่วโถง ใบหน้าของมั่นถัวหลัวก็เย็นชาตวาดว่า “หุบปาก!”
ทุกคนหุบปากฉับ พวกเขาเกรงกลัวแรงกดดันจากมั่วถัวหลัว
แสงเย็นเยือกวูบวาบในนัยน์ตาของมั่นถัวหลัว ทุกคนก็เบนสายตาไป ครู่ต่อมาท่าทางของนางก็เปลี่ยนไปกะทันหันพลางจดจ้องไปที่ประตู “สหายจากสำนักเมฆาม่วงช่วยแสดงตัวด้วยในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว”
“ฮ่าๆ ได้ยินมาว่าประมุขตำหนักมู่เป็นคนพิเศษ ตอนนี้ได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว สมคำล่ำลือจริงๆ” เมื่อเสียงของมั่นถัวหลัวลดลง เสียงหัวเราะเยาะเย้ยก็ดังมาจากด้านนอก
เมื่อได้ยินเสียงนั้นจอมยุทธ์ตำหนักมู่ก็มีสีหน้าเปลี่ยนเป็นความโกรธ เนื่องจากมีคนกล้าล้อเลียนรักษาการประมุขมั่นถัวหลัวของพวกเขา!
แววตาของมั่นถัวหลัววาววับด้วยความโกรธ แต่นางก็สงบสติอารมณ์มองออกไปนอกประตูอย่างเย็นชา นางเห็นแสงเลือนรางก่อนที่เงาร่างสามร่างจะเดินทอดหุ่ยเข้ามา
ทั้งสามคนเป็นตาแก่สวมชุดสีม่วง คนเดินนำหน้ามีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าขาวที่ดูราวกับผิวเด็กทารกพร้อมกับผมสีขาว
ที่ยืนอยู่ด้านข้างเขา เป็นชายชราสองคนที่ดูภาคภูมิใจและไม่แยแส
เมื่อพวกเขาปรากฏตัว พลังงานหลิงมหาศาลก็พัดออก ทำให้จอมยุทธ์ตำหนักมู่ที่อยู่ใกล้ปลิวออกไป
“ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?!”
ใบหน้าของหลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ เปลี่ยนไป พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าทูตทั้งสามที่ส่งมาจากสำนักเมฆาม่วงจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม พลังของสำนักนี้ลึกล้ำไม่อาจหยั่งถึงได้จริงๆ
“สามหาว!”
เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนแสดงท่าทางไม่เกรงกลัว ดวงตาเย็นชาของมั่นถัวหลัวก็วาบแสงเย็นก่อนที่นางจะตบฝ่ามือออกไปแทงทะลุมิติ คลื่นพลังงานพุ่งไปที่ทิศทางของตาแก่หน้าขาวโพลน
เมื่อชายชราหน้าขาวเห็นภาพนี้ ก็เค้นเสียงเหวี่ยงหมัดกระทุ้งออกไป แสงสีม่วงกะพริบบนหมัดเขา ราวกับดวงจันทร์สีม่วงปะทะกับการโจมตีที่เข้ามา
ตู้ม!
คลื่นหลิงป่าเถื่อนกวาดคร่าสร้างความหายนะทำให้โถงสั่นสะเทือน ชายชราหน้าขาวถอยหลังไปหลายก้าว ขณะที่ร่างเล็กบางของมั่นถัวหลัวสั่นเทิ้ม มีรอยแตกกระจายบนพนักแขนที่นางคว้าไว้
การประจันหน้ากันระหว่างทั้งสอง ชัดว่าไม่มีผลแพ้ชนะ
“ฮ่าๆ สมกับเป็นดอกแมนดาลาโบราณจริงๆ ทรงพลังอะไรอย่างนี้ จื่อเทียนเปยทักทายประมุขตำหนักมู่” ชายชรากวาดสายตามองไปที่มั่นถัวหลัวก่อนที่เขาจะพูดพร้อมกับหรี่ตาแคบลง
มั่นถัวหลัวกล่าวโดยไม่มีสีหน้าใด “ข้าไม่ใช่ประมุขเป็นแค่รักษาการประมุข นอกจากนี้สำนักเมฆาม่วงของเจ้ามาที่ภูมิภาคทางเหนือเพื่ออะไร?”
จื่อเทียนเปยยิ้ม “ข้าเชื่อว่าประมุขมั่นถัวหลัวต้องรู้ว่าการแข่งขันชิงตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของจักรวรรดิเหนือกำลังจะมาถึง ข้าจึงนำคำสั่งของของประมุขสำนักเพื่อเชิญตำหนักมู่เข้าร่วมกับเรา ในอนาคตเมื่อสำนักเมฆาม่วงเติบโตขึ้น ตำหนักมู่จะได้รับรางวัลเป็นดินแดนสำหรับความพยายามที่ให้มา”
ขณะที่เขาพูดก็หยิบหนังสือหยกสีม่วงที่มีแสงหลิงเปล่งประกายออกมา ทำให้เกิดแรงกดดันขึ้นเล็กน้อย เมื่อเขาสะบัดนิ้วหนังสือหยกก็พุ่งไปหามั่นถัวหลัว
มั่นถัวหลัวส่งแรงต่อต้านหนังสือโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ นางตอบกลับเสียงนุ่มนวลว่า “ตำหนักมู่ของเราอ่อนแอนัก ข้ากลัวว่าจะไม่สามารถช่วยอะไรได้มากแม้ว่าเราจะเข้าร่วมกับสำนักเมฆาม่วงก็ตาม ดังนั้นไปเชิญคนอื่นแทนเถอะ”
จื่อเทียนเปยหัวเราะเบาๆ “ท่านมั่นถัวหลัวไม่มีใครกล้าปฏิเสธคำเชิญที่ส่งมาจากสำนักเมฆาม่วง โปรดระมัดระวังการตอบของเจ้าด้วย”
แม้ว่าเขาจะสวมรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยการคุกคาม
ใบหน้าของมั่นถัวหลัววูบไหวด้วยความโกรธเกรี้ยว
จื่อเทียนเปยพูดอย่างไม่แยแส “นอกจากนี้ข้ากลัวว่าอารมณ์ของพวกข้าจะไม่ดีสักเท่าไร ถ้าไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ ในเวลานั้นพวกข้าจะไม่รับผิดชอบหากเกิดอะไรขึ้นกับตำหนักมู่”
แม้ว่าจะมีเพียงสามคน แต่ทุกคนล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ตราบใดที่หนึ่งในนั้นเข้าขัดขวางมั่นถัวหลัว อีกสองคนก็จะสร้างหายนะล้างบางตำหนักมู่จนสะอาดเรี่ยมเร้แน่นอน
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น จอมยุทธ์ในโถงก็สีหน้าเปลี่ยนเป็นทั้งโกรธและหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคาดคิดว่าสำนักเมฆาม่วงจะเอาแต่ใจมากขนาดนี้
ร่างเล็กบางของมั่นถัวหลัวสั่นสะท้านด้วยความโกรธ นางกำมือแน่นจ้องมองไปที่จื่อเทียนเปย สีหน้าของนางเปลี่ยนแปลงวูบไหวก่อนที่อาการต่อต้านจะค่อยๆ สงบลง
เนื่องจากนางสู้ทั้งสามคนไม่ไหวจริงๆ
“ฮ่าๆ ตกลงตามนี้เนอะ? การติดตามสำนักเมฆาม่วงไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับพวกเจ้าทุกคนหรอก” จื่อเทียนเปยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโบกมือหนังสือหยกม่วงก็บินไปหามั่นถัวหลัว
ทุกคนเฝ้ามองหนังสือหยกร่วงลงมาพร้อมกับความมืดมิด สิ่งที่สำนักเมฆาม่วงทำสร้างความอับอายให้ตำหนักมู่ของพวกเขานัก
มือของมั่นถัวหลัวกำแน่นก่อนที่นางจะถอนหายใจพร้อมหลับตาลง นางไม่ต้องการดูหนังสือหยกนั่น
แต่ในความเงียบเมื่อหนังสือหยกม่วงกำลังจะตกลง มือข้างหนึ่งก็ยื่นคว้าไว้
“ใคร?” จื่อเทียนเปยสีหน้าเปลี่ยนไปขณะที่ตะเบ็งเสียง
มิติบิดเบี้ยวร่างอ่อนเยาว์ก็ปรากฏเบื้องหน้าสายตาทุกคนที่จ้องมองด้วยความตะลึงใจ เขาจับหนังสือหยกพร้อมกับขมวดคิ้ว
“สำนักเมฆาม่วง? พวกเจ้ามีค่าพอที่จะให้ตำหนักมู่ไปเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเหรอ?”
ขณะที่พูดเขาก็ออกแรงมากขึ้น หนังสือหยกแตกสลายเป็นผุยผงสีม่วงภายใต้สายตาที่ตกตะลึงนับไม่ถ้วน
พวกหลิ่วเทียนเต้าก็ตะลึงงันไป แม้แต่มั่นถัวหลัวก็เบิกตากว้างเมื่อมองไปที่ร่างคุ้นเคย จากนั้นเสียงอุทานก็ดังสะท้อนในโถง
“ท่านประมุข?!”
“มู่เฉิน?”