หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1415 ฝูถูเฉวียน
ในช่วงสองสามวันนี้
ทั้งสามคนอยู่แต่เรือนพักไม่ได้ก้าวเท้าออกไปไหนเลย แต่ทั้งหลินจิ้งและเซียวเซียวก็พากันแวะเวียนมาหาบ่อยครั้งจนพวกเขาไม่รู้สึกเบื่อ
เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่พุ่งสูงขึ้น แม้จะไม่ได้ออกไปไหนก็ตาม
เรือจะเดินทางข้ามขอบฟ้าทุกวันและทุกรากฐานของขั้วอำนาจเหล่านั้นก็แข็งแกร่งกว่าตำหนักมู่
เฝ้ามองฉากนี้ กระทั่งมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เผ่าฝูถูทรงพลังเพียงใด อิทธิพลของพวกเขาเพียงอย่างเดียวก็สามารถนำขั้วอำนาจมากมายมาเชื่อมสัมพันธ์ได้
ขณะที่ขั้วอำนาจใหญ่มารวมตัวกันมากขึ้น เผ่าฝูถูก็ประกาศเริ่มการประลองงานชุมนุมสายเลือดที่จะมีขึ้นในอีกสามวัน
ภายใต้การรอคอยของทุกคน สามวันก็ผ่านไปในพริบตา
เมื่อวันที่สามมาถึง
เสียงระฆังไพเราะก็ดังขึ้นภายในมิติฝูถู สะท้อนอยู่เป็นเวลานาน
วาบ วาบ!
เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น มวลลมนับไม่ถ้วนก็กวาดข้ามขอบฟ้า เดินทางเข้าไปในเทือกเขา
ทั้งฟ้าดินเดือดพล่าน เนื่องจากวันนี้เป็นวันเริ่มต้นของการประลองงานชุมนุมสายเลือด
มู่เฉินเฝ้าดูฉากนี้จากสวนหน้าเรือนพักด้วยสีหน้าสงบ ขณะที่หลิงซีและหลงเซี่ยงมีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ข้างหลัง นั่นเป็นเพราะตามแผนของมู่เฉินวันนี้เป็นวันที่พวกเขาจะลงมือแล้ว
ร่างเงาหนึ่งพุ่งเข้ามาซึ่งก็คือชิงซวงนั่นเอง เมื่อนางเห็นมู่เฉินก็หยิบป้ายสีฟ้าอมเขียวออกมาจากแขนเสื้อมีคำโบราณว่า ‘ประมุข’ สลักอยู่
เมื่อมองไปที่ป้ายนี้ ชิงซวงก็มีสีหน้าซับซ้อนและกล่าวว่า “นี่คือป้ายประจำตระกูลชิงของเรา ผู้ที่ครอบครองป้ายนี้ก็คือประมุขของตระกูล”
“แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเตรียมจะทำอะไร แต่ด้วยป้ายนี้เหล่าผู้อาวุโสจะไม่สามารถทำอะไรกับเจ้าได้ แม้ว่าตัวตนเจ้าจะเป็นตัวกาลกิณีก็ตาม มีเพียงสภาอาวุโสเท่านั้นที่จะถอดเจ้าออกได้”
แสงประหลาดวูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน เขาไม่คิดว่าตระกูลชิงจะนำป้ายสำคัญนี้ให้กับเขา เพราะถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นตระกูลชิงก็ถือว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยเช่นกัน
“ตามคำพูดของท่านป้าเซวียน ถ้าครั้งนี้เราล้มเหลวตระกูลชิงก็จะถูกลดระดับเป็นตระกูลย่อย ซึ่งนั้นถือเป็นหายนะใหญ่ต่อพวกเรามาก ดังนั้นแทนที่จะนั่งดูตัวเองถูกกดไว้โดยตระกูลเฉวียนและมั่ว สู้ลองเสี่ยงดูสักตั้งดีกว่า” ชิงซวงรู้สาเหตุที่ทำให้มู่เฉินอึ้งไป นางจึงถอนหายใจอธิบายให้ฟัง
ท่าทางของมู่เฉินคลายลงแล้วยื่นมือรับป้ายไปหลังจากลังเลอยู่นาน ด้วยป้ายนี้เขาจะสามารถทำสิ่งที่ต้องการได้
“นอกจากนี้ท่านป้าเซวียนยังให้แจ้งเจ้าว่า นางทำสิ่งที่เจ้าต้องการแล้ว” ชิงซวงเอ่ยอีกครั้ง
เมื่อได้ยินมู่เฉินรู้สึกโล่งใจในใจ หากเรื่องนั้นสำเร็จจริง เขาก็จะมีหลักประกันในการต่อรองกับเผ่าฝูถูและต่อสู้
“มู่เฉิน…เจ้าสามารถปกป้องตำแหน่งของตระกูลชิงเราได้จริงหรือ?” ชิงซวงลังเลขณะที่กัดฟันถาม
นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับตระกูลชิง ชิงซวงไม่รู้ว่าทำไมชิงเซวียนถึงเลือกที่จะเชื่อในตัวมู่เฉิน เนื่องจากเขาเพิ่งจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้เท่านั้น…
ตอนนี้เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้น ความแข็งแกร่งยังไม่เพียงพอที่จะพลิกสถานการณ์ในเผ่าฝูถูเลย
มู่เฉินยิ้ม “ในเมื่อพวกเจ้าไว้ใจข้า ข้าก็จะทำให้ดีที่สุด”
ประกายแสงวูบไหวในดวงตาเขาและความมั่นใจของเขาเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้อื่นเชื่อมั่นในตัวเขาด้วย
ชิงซวงก็เริ่มติดเชื้อกับความมั่นใจของเขา รอยยิ้มที่หายากผุดขึ้นบนดวงหน้าขณะนางพยักหน้า จากนั้นนางก็โค้งคำนับต่อมู่เฉินด้วยความเคารพ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราตระกูลชิงขอขอบคุณเจ้าด้วย”
“ต่างฝ่ายต่างตอบแทนน่ะ…” มู่เฉินโบกมือจากนั้นก็เงยหน้ามองท้องฟ้า “ใกล้ถึงเวลาแล้ว เราไปกันเถอะ”
“ข้าจะนำทางเอง”
ชิงซวงยิ้มพลางทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยมีพวกมู่เฉินทั้งสามคนติดตามอย่างใกล้ชิด
ทั้งกลุ่มทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเคลื่อนผ่านแนวเทือกเขา ขณะเดียวกันก็เห็นริ้วแสงจากสถานที่อื่นๆ เช่นกันพร้อมกับความผันผวนที่น่าทึ่ง
ทว่าร่างเงาบุคคลที่แทบจะไม่เคยเห็นที่มีตำแหน่งระดับสูงในมหาพันภพมีให้เห็นได้ทั่วไปทุกที่ในเผ่าฝูถู ดังนั้นบอกได้ว่าเผ่าฝูถูทรงพลังเพียงใด
ภายใต้การนำของชิงซวงทั้งสี่คนก็ค่อยๆ ลดความเร็วลงหลังจากผ่านไปสิบกว่านาที มองเห็นยอดเขาขนาดใหญ่ที่เบื้องหน้าสูงเสียดฟ้าราวกับเสาสวรรค์
บนยอดเขาแบ่งออกเป็นสี่ฝั่งอย่างชัดเจนซึ่งมีแท่นหยกจำนวนหนึ่งที่มีระดับแตกต่างกันกระจายไปทั่วอย่างเป็นระเบียบและกำจายรัศมีอันคมชัด
ภูเขาขนาดมหึมานี้ยังล้อมรอบด้วยยอดเขาอื่นๆ อีกมากมาย โดยมีที่นั่งโล่งกว้าง ร่างเงาบนท้องฟ้าก็พลิ้วลงมาบนที่นั่งเหล่านั้น
เพียงไม่กี่นาทีเทือกเขาก็คึกคักไปด้วยเสียง
ภายใต้การนำของชิงซวง ทั้งหมดก็พลิ้วตัวลงไปบนภูเขาที่ไม่ค่อยสะดุดตาแห่งหนึ่ง แต่สามารถมองเหตุการณ์บนยอดเขาได้ชัดเจน
เมื่อลงไปมู่เฉินก็กวาดสายตามองไปรอบๆ และสังเกตเห็นเก๋งหรูหราและลานมากมายบนภูเขาที่อยู่ใกล้ที่สุด ซึ่งดูดีกว่าของพวกเขามาก
มู่เฉินรู้ดีว่าที่นั่นเป็นสถานที่ตอนรับขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ เนื่องจากเขามองเห็นเงาของเซียวเซียวและหลินจิ้งตรงนั้น
ชัดว่ามีเพียงขั้วอำนาจเหล่านี้เท่านั้นที่ถือได้ว่าเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของเผ่าฝูถู
ตึง ตึง!
ขณะที่มู่เฉินกำลังมองไปรอบๆ เสียงระฆังโบราณก็ดังขึ้นจากยอดเขาทุกแห่งในเทือกเขา
ทุกคนเงยหน้าขึ้นก็เห็นรัศมีขนาดใหญ่เปล่งออกมาจากยอดเขามหึมา
ร่างเงาเริ่มปรากฏขึ้นพร้อมกับแต่ละคนปลดปล่อยคลื่นหลิงที่น่ากลัวออกมาทำให้หัวใจผู้คนสั่นไหว
เมื่อแสงหายไป ร่างเงายี่สิบร่างก็ปรากฏขึ้นบนยอดเขาโดยมีคนสิบเก้าคนยืนอยู่ข้างหลังคนคนหนึ่งอย่างเคารพ
เขาเป็นชายชราและเมื่อเทียบกับคนสิบเก้าคนที่ด้านหลังกลับไม่มีพลังงานใดๆ เล็ดลอดออกมาจากร่างกาย ทำให้เขาดูเหมือนชายชราทั่วไปมาก
แต่เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะหดตาลงและฉายความเคารพบนใบหน้า
“จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง!”
มู่เฉินจ้องมองไปที่ชายชราก็รู้สึกเจ็บแปลบบนผิวหนังพร้อมกับความรู้สึกอันตรายเพิ่มขึ้นในใจ
นั่นเป็นเพราะชายชราท่าทางธรรมดาคนนั้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง!
“คารวะผู้อาวุโสใหญ่!”
เมื่อชายชราปรากฏตัวขึ้น เสียงสมาชิกเผ่าฝูถูก็เปล่งออกมาด้วยความเคารพ
ผู้มีอำนาจสูงสุดในเผ่าฝูถูก็คือประมุขแต่ตำแหน่งนี้ว่างเว้นอยู่เป็นเวลานานโดยไม่มีผู้สืบทอด ดังนั้นผู้อาวุโสใหญ่จึงเป็นผู้ดูแลเผ่าฝูถูทั้งหมด นี่คือเหตุผลว่าทำไมเผ่าฝูถูจึงไม่เคยหล่นจากการเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณ ในแง่ของคุณสมบัติไม่มีใครในเผ่าไม่ยอมรับเขา
“นั่นคือผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถู—ฝูถูเฉวียน”
ชิงซวงมองไปที่ชายชราด้วยความเคารพบนใบหน้าก่อนที่จะทอดถอนหายใจ “ตระกูลเฉวียนและมั่วต่อสู้กันมาหลายปี ถ้าไม่ใช่การปรามจากผู้อาวุโสใหญ่ทั้งเผ่าคงจะตกอยู่ในความวุ่นวายไปนานแล้ว”
มู่เฉินยังคงมีสีหน้าสงบ ฝูถูเฉวียนมีความสามารถอย่างแท้จริง ทว่านั่นก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา เนื่องจากชายชราหัวดื้อคนนี้ทำให้เขากับมารดาต้องพรากจากกัน
ภายใต้การจ้องมองรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของฝูถูเฉวียน ขณะที่กวาดสายตามองไป เสียงก็ดังก้องไปทั่วเทือกเขา “วันนี้เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของเผ่าฝูถู ข้ารู้สึกขอบคุณอย่างแท้จริงที่พวกท่านทุกคนมาร่วมเป็นสักขีพยาน”
เมื่อได้ยินคำพูดของฝูถูเฉวียน ขั้วอำนาจต่างๆ ก็ตอบสนองโดยมารยาท
พลังของฝูถูเฉวียนสามารถจัดอันดับเป็นหนึ่งในสุดยอดจอมยุทธ์ของมหาพันภพเลยทีเดียว
หลังจากทักทายกันอย่างสุภาพ ฝูถูเฉวียนก็นั่งลงบนแท่นสูงสุด สายตากวาดไปที่คนสิบเก้าคน “การประลองระหว่างตระกูลเริ่มขึ้น ณ บัดนี้ หากต้องการปกป้องตำแหน่งไว้ก็จงดึงความสามารถที่มีออกมา มิฉะนั้นก็ต้องสละตำแหน่งให้กับคนที่ทำงานหนักกว่าไป”
“รับทราบ!”
ทั้งสิบเก้าคนรับคำเมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสใหญ่ อึดใจก็กลายเป็นร่างแสงพลิ้วตัวลงบนแท่นหยก
ในเวลาเดียวกันคลื่นหลิงไร้ขอบเขตสิบเก้าสายก็กวาดอาละวาดระหว่างสวรรค์และโลก
“การประลองงานชุมนุมสายเลือดเริ่มขึ้นได้!”