หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1416 ผู้นำสามสายเลือด
ตึง ตึง!
คลื่นหลิงมหาศาลกวาดอาละวาด กลองบนยอดเขาแต่ละยอดลอยขึ้นสู่ท้องฟ้ากระจายคลื่นเสียงออกมา ทำให้เกิดเสียงชวนใจสั่นระรัวระหว่างสวรรค์และโลก
เมื่อเสียงกลองดังขึ้น ทุกสายตาก็พุ่งตรงไปที่แท่นหยกทั้งสิบเก้าต้น
บนแต่ละแท่นหยกมีร่างจอมยุทธ์ยืนตระหง่ายอยู่ ซึ่งมีความผันผวนคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงพวยพุ่งระหว่างฟ้าดิน
ทุกคนล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแท้จริง
เมื่อมองฉากนี้ ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความอิจฉา ต้องรู้ว่าการประเมินรากฐานของขุมกำลังง่ายมาก เพียงแค่นับจำนวนจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็เท่านั้น
พูดโดยทั่วไป ขั้วอำนาจที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนเดียวก็พอจะก้าวเข้าสู่ตำแหน่งของขั้วอำนาจสูงสุดได้ แต่มีเพียงขั้วอำนาจที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหลายคนเท่านั้นถึงจะนับว่าโดดเด่นในกลุ่มขั้วอำนาจสูงสุด
ตอนนี้เผ่าฝูถูเผยให้เห็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสิบเก้าคน ยิ่งกว่านั้นนี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด
เผ่าโบราณใดบ้างที่ไม่มีไพ่ตายซ่อนอยู่
และนี่ก็คือรากฐาน
รากฐานที่สั่งสมมานานนับหมื่นปี
ขั้วอำนาจสูงสุดทั่วไปอาจจรัสแสงได้ในช่วงสั้นๆ แต่สุดท้ายก็สลายหายไป มีเพียงเผ่าโบราณเท่านั้นที่สามารถพัฒนาและอยู่รอดต่อไปได้ หลังจากผ่านความยากลำบากเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น
เผชิญหน้ากับเผ่าโบราณที่มีรากฐานเช่นนี้ แม้แต่มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเคร่งเครียด เผ่าโบราณทั้งห้าสมกับชื่อเสียงอย่างแท้จริง
“ดูเหมือนว่าตำหนักมู่จะต้องให้ความสำคัญกับการดูแล หากต้องการยืนยงอยู่ได้” มู่เฉินตกอยู่ในภวังค์ความคิดตนเอง แม้ว่าตำหนักมู่อาจเรียกได้ว่าเป็นขั้วอำนาจสูงสุด แต่ก็เป็นเพราะการดำรงอยู่ของเขา เมื่อเทียบกับเผ่าฝูถูแล้ว ก็เหมือนกับหิ่งห้อยบินวนเวียนหน้าดวงจันทร์ดวงใหญ่
แต่ตำหนักมู่ก็เพิ่งได้ก่อตั้งไม่นาน ผลสำเร็จเท่านี้นับว่าดีแล้ว หากอนาคตมีโอกาสสามารถครอบครองทวีปเทียนหลัวซึ่งเป็นหนึ่งในมหาทวีปของมหาพันภพ บวกกับการมีอยู่ของวังสวรรค์บรรพกาล มู่เฉินเชื่อว่าจะมีจอมยุทธ์โดดเด่นเกิดขึ้นในตำหนักมู่ ในอนาคตบางทีอาจสามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูที่เป็นหนึ่งในขุมกำลังสูงสุดที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเผ่าฝูถูเลย
มู่เฉินค่อยๆ ดึงความคิดกลับมาและมองไปที่ร่างเงาทั้งสิบเก้าร่างและพบว่าแท่นหยกเหล่านั้นแบ่งแยกกันชัดเจน
โดยรวมก็คือแยกออกเป็นสี่ส่วนอย่างคลุมเครือ
“นี่น่าจะเป็นตระกูลเฉวียน มั่ว ชิงและสายตระกูลย่อยของเผ่าฝูถู…” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง สายตาของเขาพุ่งไปที่ตระกูลเฉวียนบริเวณนั่นแข็งแกร่งที่สุดโดยครอบครองครึ่งขอบฟ้าเลยทีเดียว
มีแท่นเจ็ดแท่นในทิศทางนั้น โดยมีร่างเงาสีดำยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนแท่นที่สูงที่สุด เขามีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา สายตาอบอุ่น พร้อมกับแสงหลิงไหลเวียนอยู่บนร่างกาย
เมื่อเทียบกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ รัศมีของเขาดูอ่อนแอที่สุด แต่ทุกคนที่นี่มีสายตาเฉียบแหลม ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถบอกได้ว่าชายคนนี้ควบคุมคลื่นหลิงของตัวเองราวกับเป็นหลุมดำไม่มีรั่วไหลและหลอมรวมกับฟ้าดินอย่างสมบูรณ์ นั่นเป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะก้าวเข้าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว
เห็นได้ชัดว่าร่างชุดดำอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายและกำลังพยายามที่จะบรรลุขั้นเซิ่ง
เมื่อมองไปที่นั่น มู่เฉินก็หดดวงตา เขารู้สึกได้ถึงรัศมีอันตรายที่มาจากอีกฝ่าย
“นั่นคือประมุขตระกูลเฉวียน—เฉวียนกวาง… เขาเป็นบิดาของเฉวียนหลัวและเป็นหนึ่งในสองจอมยุทธ์ของเผ่าฝูถูที่มีโอกาสสูงสุดในการบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง เมื่อเขาประสบความสำเร็จก็อาจจะได้รับตำแหน่งประมุขเผ่าไป” ชิงซวงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่มองตามสายตาของมู่เฉิน
“พ่อของเฉวียนหลัว?” ดวงตามู่เฉินวูบไหวพลางพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเบนสายตาลงไปก็เห็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนและขั้นหลิงในบรรดาผู้อาวุโสตระกูลเฉวียน
เห็นได้ชัดว่าตระกูลเฉวียนส่งกำลังสูงสุดลงมาปกป้องตำแหน่งของพวกเขา
เมื่อเทียบกับตระกูลเฉวียนแล้ว ตระกูลมั่วมีคนน้อยกว่าหนึ่งคน ทว่าจอมยุทธ์ทั้งหมดก็ปลดปล่อยรัศมีที่ไร้ขอบเขตออกมา
บนแท่นสูงสุดของตระกูลมั่ว เป็นชายวัยกลางคนที่มีดวงตาสีดำสนิทและมีลวดลายสีดำแปลกประหลาดอยู่บนใบหน้า เปล่งรัศมีเยือกเย็นออกมา รูม่านตาของเขาคล้ายกับหลุมดำสองหลุมที่กลืนกินคลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินอย่างต่อเนื่อง
“นั่นคือประมุขตระกูลมั่ว—มั่วถง เขาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเฉวียนกวางเลย” ชิงซวงอธิบายเพิ่มเติม
มู่เฉินพยักหน้า เห็นได้ชัดว่ามั่วถงเป็นจอมยุทธ์อีกคนหนึ่งที่มีศักยภาพในการก้าวเข้าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ทั้งสองคนมีความสามารถอย่างแท้จริง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมตระกูลเฉวียนและมั่วถึงรุ่งเรืองในขณะที่อยู่ในมือพวกเขา
ในตระกูลมั่วก็มีทั้งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนและขั้นหลิงอย่างละสามซึ่งไม่ธรรมดาเช่นกัน หากอยู่ในมหาพันภพ พวกเขาสามารถก่อตั้งขั้วอำนาจสูงสุดระดับยอดเยี่ยมได้เลยทีเดียว
เขาเลื่อนสายตาไปยังตระกูลชิง เมื่อเทียบกับสองตระกูลแล้ว ตระกูลชิงอ่อนแอกว่ามาก
เนื่องจากมีจอมยุทธ์เพียงสามคน นอกจากชิงเซวียนที่เขาคุ้นเคยแล้ว ผู้นำคือชายชราผมขาวที่มีรัศมีทรงพลัง แสงหลิงแผ่ออกมารอบตัวเขาทำให้มิติสั่นสะเทือน เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเช่นกัน
แต่เมื่อเทียบกับเฉวียนกวางและมั่วถงแล้ว ตระกูลชิงอ่อนแอกว่ามาก เนื่องจากรัศมีของสองคนแรกราวกับดวงอาทิตย์ขึ้น ขณะที่ชายชราจากตระกูลชิงราวกับดวงอาทิตย์ตก
เส้นทางของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งต้องไร้ความหวาดเกรง หากสูญเสียความเฉียบคมนั่น ก็หมายความว่าจอมยุทธ์ตระกูลชิงผู้นี้ไม่มีโชคชะตาที่จะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว
“นั่นคือประมุขตระกูลชิงของเรา—ชิงเทียน…” ชิงซวงกล่าว
มู่เฉินพยักหน้าตอบทันที “รัศมีอ่อนแอ…เทียบกับอีกสองคนไม่ได้เลย”
พอได้ยินการประเมินนั้น ชิงซวงก็ยิ้มอย่างขมขื่น “ถ้าท่านน้าจิ้งอยู่เฉวียนกวางและมั่วถงจะเทียบกับนางได้อย่างไร?”
จริงที่กล่าวตอนนี้เฉวียนกวางและมั่วถงยังค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งอย่างขมขื่น ขณะที่ชิงเหยี่ยนจิ้งไปถึงการบรรลุหลิงเจิ้นต้าจงซือแล้ว ในแง่ของความสำเร็จนางนำหน้าทั้งสองไปไกลลิบ
“การจะฟื้นฟูตระกูลไม่ได้อาศัยคนเพียงคนเดียว” มู่เฉินพูดเบาๆ จากนั้นก็เงียบแล้วมองไปที่สามคนสุดท้าย พวกเขาน่าจะมาจากตระกูลย่อยของเผ่าฝูถู ว่ากันว่าเผ่าฝูถูมีกฎว่าสามตำแหน่งในสภาผู้อาวุโสต้องสงวนไว้สำหรับตระกูลย่อยเพื่อรักษาความภักดี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องกลัวเรื่องโดนชิงตำแหน่ง
แน่นอนว่าสิ่งเดียวที่ต้องกังวลก็คือการมีตระกูลย่อยมากเกินไป ย่อมมีคนอยากเข้ามาเสียบแทนที่พวกเขา
มู่เฉินส่ายหัว เขารู้สึกได้เลยว่าตระกูลชิงอยู่ในตำแหน่งอันตรายแล้ว…
ตึง ตึง ตึง!
เสียงกลองดังสะท้อนถี่ขึ้น
“เริ่มได้” เสียงของฝูถูเฉวียนดังก้อง
ฟิ้ว!
เมื่อสิ้นเสียง คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็กวาดสร้างความหายนะ เงาร่างทั้งสามก็ทะยานออกไปก่อนที่จะพลิ้วตัวลงบนแท่นของตระกูลชิง
ชายชราผิวขาวราวหิมะที่มีผิวอ่อนนุ่มราวกับเด็กทารกพลิ้วลงมาบนแท่นที่ชิงเทียนนั่งอยู่พลางโค้งคำนับ “มั่วกู่จากตระกูลมั่ว ขอคำชี้แนะจากท่านด้วย”
มั่วกู่ยิ้ม ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวเขาดูแปลกประหลาด แต่ก็อยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเท่านั้น ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับชิงเทียนที่อยู่ในขั้นเซียนกลับไม่มีความกลัวใดๆ ตรงกันข้ามยังมีแววเยาะเย้ยฉายออกมา
ใบหน้าของชิงเทียนเปลี่ยนไปอย่างไม่น่ามองเมื่อเห็นสิ่งนี้ ก่อนที่เขาจะหันไปมองอีกสองแท่นก็เห็นร่างเงาปรากฏที่เบื้องหน้าชิงเซวียนและผู้อาวุโสตระกูลชิงอีกคน
“เฉวียนหลิงจากตระกูลเฉวียน ผู้อาวุโสชิงเซวียนโปรดชี้แนะด้วย”
“เฉวียนจินจากตระกูลเฉวียน ขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสชิงหยุนด้วย”
ฉากนี้ทำให้เกิดความโกลาหลในฟ้าดินทันที ทุกคนจับจ้องมาที่พวกเขา
ใบหน้าของชิงเซวียนไม่น่าดู ตระกูลมั่วและเฉวียนเคลื่อนไหวพร้อมกัน ชัดว่าทั้งสองตระกูลจับมือร่วมมือกันนานแล้ว
“สารเลว!”
ชิงเซวียนอดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ ตระกูลมั่วและเฉวียนกดหัวตระกูลชิงเอาไว้ตลอดเวลา ไม่คิดว่าสองตระกูลจะหันมาร่วมมือกันในการประลองงานชุมนุมสายเลือดครั้งนี้อีก!
มู่เฉินหรี่ตาลงเมื่อเห็นสถานการณ์นี้
มั่วกู่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง ดังนั้นเขาจะแพ้แน่นอนเมื่อต่อสู้กับชิงเทียน
แต่เฉวียนหลิงเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังขั้นหลิงระยะปลายสามารถเอาชนะชิงเซวียนซึ่งอยู่ในขั้นหลิงระยะกลางได้
สำหรับเฉวียนจินก็จะเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้นอย่างชิงหยุนด้วยขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง
ด้วยวิธีนี้จะเป็นชนะหนึ่งแพ้สอง
งานนี้ตระกูลชิงแพ้แน่นอน
“แผนโหดทีเดียว”
มู่เฉินหัวเราะเยาะ ตระกูลมั่วและเฉวียนตั้งใจที่จะถีบตระกูลชิงออกจากสภาผู้อาวุโส หากบรรลุวัตถุประสงค์ก็คงยากที่ตระกูลชิงจะกลับมาเป็นตระกูลใหญ่ได้อีกครั้ง
ทั้งสองตระกูลวางแผนมาอย่างดี
แต่ในเมื่อมีเขาอยู่ แผนการของพวกมันก็คงไม่ประสบความสำเร็จง่ายๆ แล้ว!