หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1435 การเปลี่ยนแปลงของเผ่าฝูถู
ทุกคนต่างตกตะลึง
ไม่มีใครคาดคิดว่าตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่จะเปลี่ยนแปลงต่อหน้าต่อตาพวกเขา…
ตระกูลเฉวียนและมั่วแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขารู้สึกว่าหนังหัวด้านชาไปหมด พวกเขารู้ว่าช่วงเวลาที่ชิงเหยี่ยนจิ้งขึ้นดำรงตำแหน่ง ทั้งสองตระกูลก็ไม่สามารถทำเบ่งได้อีกต่อไป
มิหนำซ้ำตอนนี้ผู้อาวุโสของตระกูลเฉวียนและมั่วยังถูกมู่เฉินปราบปรามอยู่ใต้ภูเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถส่งเสียงคัดค้านใดๆ สักแอะและไม่มีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้นด้วย
ส่วนตระกูลย่อยอื่นๆ แม้จะรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ยอมรับได้มากกว่า เนื่องจากชิงเหยี่ยนจิ้งมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้อาวุโสใหญ่จากพลังที่นางมี บวกกับความไม่พอใจที่พวกเขามีต่อตระกูลเฉวียนและมั่ว ซึ่งนี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับพวกเขา
สมาชิกตระกูลชิงต่างส่งเสียงโห่ร้องยินดี แม้ว่าการดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่จะหมายความว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะต้องออกจากตระกูลเพื่อรักษาความยุติธรรมและการตัดสินใจอย่างยุติธรรม แต่นี่ก็ยังคงเป็นข่าวดีสำหรับพวกเขา
อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งจากตระกูลเฉวียนและมั่ว
“น่าสนใจ…”
เย่าเฉินและหลินเตียวก็อึ้งไปกับฉากนี้ก่อนที่ทั้งสองคนจะยิ้ม ใครจะคิดว่าสถานการณ์จะดำเนินมาในลักษณะนี้? ตอนแรกพวกเขาคิดว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะต้องทนทุกข์จากเจดีย์บรรพบุรุษ แต่สถานการณ์กลับตาลปัตรนางกลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่คนใหม่ของเผ่าฝูถูแล้ว
พวกเขารู้ว่าเมื่อเรื่องนี้มาถึงจุดนี้ก็ถือว่าจบลงแล้ว ชิงเหยี่ยนจิ้งสามารถระงับเสียงทั้งหมดในเผ่าได้ด้วยพลังของนาง
“หึ ช่างเป็นไอ้แก่ที่ไร้ประโยชน์”
หมัวเฮอโยวขมวดคิ้วและสาปแช่ง ตอนแรกเขาหวังว่าจะเกิดการต่อสู้ล้างเลือดระหว่างฝูถูเฉวียนและชิงเหยี่ยนจิ้ง ใครจะไปคิดได้ว่าสุดท้ายจะเกิดผลลัพธ์นี้ นอกจากนี้ฝูถูเฉวียนไม่เพียงแต่ไม่โต้กลับเพื่อได้มา แต่ยังยอมรับโดยสดุดี
มู่เฉินก็ตกใจกับเหตุการณ์เบื้องหน้า ท่าทางเขาประหลาดไปหลายส่วน ตอนแรกเขาตั้งใจจะมารับมารดาแล้วพากันออกจากเผ่าโบราณงี่เง่านี้ แต่ตอนนี้นางกลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าแทน…
“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้เนี่ย…?” มู่เฉินเกาหัวแกรกกรากพลางยิ้มเก้อ
ขณะที่ทุกคนตกตะลึง แววตาของชิงเหยี่ยนจิ้งก็ผ่อนคลายลงเมื่อเห็นฝูถูเฉวียนลงจากตำแหน่งผู้อาวุโสให้อย่างไม่ยึดติด
หากฝูถูเฉวียนเพิกเฉยต่อกฎและตอบโต้ นางอาจต้องใช้เจดีย์บรรพบุรุษและขังเขาไว้ให้สำนึก แต่หากเป็นเช่นนั้นก็จะเกิดผลกระทบใหญ่ต่อเผ่าฝูถู
นอกจากนี้ก็เทียบเท่ากับการสูญเสียจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ต้องรู้ว่าจอมยุทธ์ระดับนี้ทุกคนเป็นเสาหลักของเผ่าและการสูญเสียคนใดคนหนึ่งก็จะทำให้รากฐานของเผ่าเสียหาย
นี่เป็นสาเหตุที่ฝูถูเฉวียนและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ไม่กล้าบังคับนางมาก แม้ว่านางจะถูกจองจำก็ตาม
“อย่างน้อยท่านก็ไม่โง่” แม้ว่าท่าทางนางจะผ่อนคลายลง แต่น้ำเสียงยังคงเย็นชา นางรู้สึกโกรธที่ฝูถูเฉวียนพยายามจับมู่เฉินในอดีต
ขณะที่พูดค่ายกลรอบตัวนางก็ผันผวนและหายไปกลายเป็นสัญลักษณ์หลิงยิ่งมากมายก่อนที่จะพุ่งกลับมาสถิตในแขนเสื้อของนาง
“กฎคือกฎ ไม่งั้นข้าไม่จบเรื่องง่ายๆ แบบนี้หรอก” ฝูถูเฉวียนตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมใครพร้อมกับใบหน้าที่บึ้งตึง
ทว่าตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไร เมื่อเหลือบมองสภาพอนาถบนพิ้นดินก็สะบัดแขนเสื้อ “ในเมื่อตอนนี้เจ้าเป็นผู้อาวุโสใหญ่ก็ต้องจัดการเรื่องยุ่งทั้งหมดนี่เอง ข้าไม่เกี่ยวด้วยแล้วนะ”
จากนั้นสายตาเขาก็กวาดไปที่มู่เฉิน ซึ่งชายหนุ่มสามารถสัมผัสได้ถึงสายตาซับซ้อนของฝูถูเฉวียน
“หวังว่าลูกชายเจ้าจะไม่ทำให้เส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรสูญเปล่าซะละ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ส่งเสียงเข้ม “ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ลูกชายข้าก้าวเดินเพียงลำพังโดยไม่มีทรัพยากรใดๆ จากเผ่าฝูถูและมาไกลได้ขนาดนี้ ความสำเร็จของเขาในอนาคตจะเกินกว่าจอมยุทธ์ทุกคนในเผ่าที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ”
ฝูถูเฉวียนอยากยิ้มเยาะต่อคำพูดนางสักหน่อย แต่เมื่อนึกถึงความสำเร็จของมู่เฉินที่เหนือกว่าทุกคนในที่นี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขากอบทุกอย่างจากความว่างเปล่าด้วยตัวเองพร้อมกับพรสวรรค์ที่มีอย่างแท้จริง
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพ่นลมหายใจทะยานเข้าไปยังส่วนลึกของมิติแล้วหายไปในพริบตา
เมื่อฝูถูเฉวียนจากไปแล้วบรรยากาศที่ตึงเครียดก็บรรเทาลง
“ทักทายผู้อาวุโสใหญ่!”
เมื่อบรรยากาศคลายลง สมาชิกตระกูลชิงก็เปล่งเสียง จากนั้นตระกูลสาขาแม้แต่ตระกูลเฉวียนและมั่วก็ตามมา
เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งเห็นการทักทายของพวกเขา นางก็โบกมือให้
“ผู้อาวุโสใหญ่… ไม่ทราบว่าสามารถปล่อยให้ผู้อาวุโสตระกูลเราทั้งสองออกมาก่อนได้ไหม?” หลังจากลังเลสมาชิกตระกูลของเฉวียนและมั่วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
เมื่อมองภูเขาที่อยู่บนพื้นดินทันใดนั้นชิงเหยี่ยนจิ้งก็รู้สึกปวดหัวจี๊ด งานแรกของการเป็นผู้อาวุโสใหญ่ก็เริ่มไม่ง่ายแท้จริงแล้ว
ทว่านางจะทำเมินปล่อยให้ผู้อาวุโสของทั้งสองตระกูลถูกปราบปรามไม่ได้ ใครบางคนอาจคิดเล็กคิดน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงโบกมือภูเขาเหล่านั้นก็ยกขึ้นก่อนที่จะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
เมื่อภูเขาลอยออกไป เงาสิบกว่าร่างก็ทะยานออกมาทันที
“มู่เฉิน วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยแกไปแน่นอน!” เฉวียนกวางที่เป็นอิสระผมรกรุงรังไปหมด สายตามองไปที่มู่เฉินอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
แต่หลังจากนั้นเฉวียนกวางก็รู้สึกได้ถึงความเงียบงัน ก่อนที่เขาจะเห็นผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของตระกูลเฉวียนพยายามส่งสัญญาณทางสายตาให้
ดังนั้นเขาจึงอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงเย็นดังมาจากท้องฟ้า “โอ้? เจ้าจะทำอะไรลูกชายข้ารึ”
เฉวียนกวางเงยหน้าขึ้นก็เห็นชิงเหยี่ยนจิ้ง หัวใจเขาสั่นสะท้านอุทานออกมาว่า “ชิงเหยี่ยนจิ้ง? ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่?!”
มั่วถงก็รู้สึกงงงวยพร้อมกับแววหวาดเกรง ในเวลาเดียวกันสายตาเขาก็ค้นหาร่างเงาของฝูถูเฉวียน อย่างต่อเนื่อง โดยคิดถามเหตุผลว่าทำไมชิงเหยี่ยนจิ้งถึงอยู่ที่นี่
ชิงเหยี่ยนจิ้งกวาดสายตาเย็นชาประกาศว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าคือผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถู ฝูถูเฉวียนเลือกที่จะเข้าสู่สันโดษแล้ว”
เฉวียนกวางและมั่วถงตกตะลึงทันที ความไม่เชื่อพล่านในสายตาของพวกเขา ขณะที่พวกเขาพูดติดอ่าง “นะ นี่…เป็นไปได้ยังไง?! เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร!”
พวกเขาถูกระงับเพียงช่วงสั้นๆ ทำไมสถานการณ์ทั้งหมดถึงเปลี่ยนไป?
พวกเขามองไปที่ผู้อาวุโสตระกูลเฉวียนและมั่วที่สวมสีหน้าขมขื่น แต่ไม่มีใครหักล้างคำพูดของนาง
เมื่อเฉวียนกวางและมั่วถงได้สติ พวกเขาก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าสถานการณ์จะก้าวหน้าไปในลักษณะนี้ ตอนนี้ชิงเหยี่ยนนจิ้งดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่และกุมอำนาจของเผ่าฝูถูไว้แล้ว จากนี้ไปพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้อีก เว้นแต่พวกเขาจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งและชิงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่มาจากชิงเหยี่ยนจิ้ง
ทว่าแม้พวกเขาจะอยู่ในขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุด ห่างจากขั้นเซิ่งเพียงก้าวเดียว แต่พวกเขาก็รู้ว่านี่อาจเป็นก้าวที่ไม่สามารถก้าวไปได้ตลอดชั่วชีวิต
เมื่อนึกถึงการกลั่นแกล้งตระกูลชิงในอดีตและทัศนคติของพวกเขาที่ต่อต้านชิงเหยี่ยนจิ้งและมู่เฉินแม้แต่เฉวียนกวางและมั่วถงก็อดรู้สึกวิงเวียนไม่ได้
พวกเขารู้ดีว่าตระกูลเฉวียนและมั่วจะไม่มีช่วงเวลาที่ดีในอนาคต
แม้จะมีความยุ่งเหยิงในใจทั้งสองคนก็ยังเป็นประมุขตระกูล ดังนั้นจึงได้แต่ระงับอารมณ์และฝืนยิ้มให้ชิงเหยี่ยนจิ้ง “ถ้างั้นพวกเราขอทักทายผู้อาวุโสใหญ่”
ชิงเหยี่ยนจิ้งฉายท่าทางเย็นชาก่อนจะพยักหน้าส่งๆ นางทั้งเกลียดและขยะแขยงเฉวียนกวางและมั่วถง แต่ทั้งสองเป็นประมุขตระกูล หากนางจัดการกับพวกเขาก็จะนำปัญหามาสู่เผ่า ดังนั้นนางไม่สามารถทำอะไรเร่งรีบในขณะนี้ได้ ตราบใดที่นางดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ก็มีโอกาสมากมายที่จะปราบปรามทั้งสองตระกูลในอนาคตเพื่อลดความได้เปรียบลง
“กลับไปที่ตัวเองซะ”
เมื่อได้ยินเสียงของชิงเหยี่ยนจิ้ง เฉวียนกวางและมั่วถงก็พยักหน้าอย่างขมขื่นก่อนที่จะพาผู้อาวุโสที่อยู่ใต้อาณัติกลับไปที่ภูเขาต่างๆ
เมื่อมองไปที่แขกผู้ทรงเกียรติ ความเย็นชาในดวงตาของชิงเหยี่ยนจิ้งก็ค่อยๆ ลดลงและกลับมาเป็นอบอุ่นอ่อนหวาน
“ข้าให้ทุกคนดูเรื่องตลกในวันนี้แล้ว งานชุมนุมสายเลือดเผ่าฝูถูจะสิ้นสุดลงในวันนี้ ขอเชิญทุกท่านอยู่ที่เผ่าฝูถูต่ออีกสองสามวันเพื่อให้ทางเราจะได้ต้อนรับในฐานะเจ้าภาพ”
น้ำเสียงของชิงเหยี่ยนจิ้งอบอุ่น แต่เนื่องจากทุกคนได้เห็นความเด็ดขาดของนางเมื่อครู่ พวกเขาจึงได้แต่แสดงความขอบคุณอย่างรวดเร็ว
เมื่อสายตานางหันไปทางเย่าเฉินและหลินเตียวสีหน้าก็อบอุ่นขึ้นอีกหลายส่วน “ขอบคุณมากสำหรับท่านสองที่ช่วยดูแลเฉินเอ๋อ หากมีโอกาสในวันหน้าข้าจะเดินทางไปยังแค้วนหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูเป็นการส่วนตัว เพื่อเยี่ยมคารวะเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม”
พบปะกับหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง แม้แต่เย่าเฉินแลหลินเตียวยังต้องแสดงความเคารพ พวกเขาจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ก็ถอนหายใจ ตอนแรกพวกเขาเพียงแค่มาชมงานชุมนุมสายเลือด แต่ใครจะคิดว่าพวกเขาจะได้ชมการแสดงที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้…
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเผ่าฝูถูจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่…
สำหรับมู่เฉิน… ชื่อของเขาจะดังก้องไปทั่วมหาพันภพ บวกกับการที่มารดาเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูก็คงไม่ค่อยมีใครกล้าท้าทายอีกแล้ว…