หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1436 ของขวัญสำหรับการพบหน้า
งานชุมนุมสายเลือดเผ่าฝูถูสิ้นสุดลง ความสงบสุขหวนกลับคืน
เมื่องานชุมนุมจบลง ความผันผวนในเผ่าฝูถูก็ค่อยๆ เบาบางลงเช่นกัน แม้ว่าผู้อาวุโสใหญ่จะเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่ง แต่ศักดิ์ศรีและพลังของชิงเหยี่ยนจิ้งก็เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ยิ่งนัก ดังนั้นนอกเหนือจากการสั่นสะเทือนบางอย่างของตระกูลมั่วและเฉวียนแล้ว สมาชิกคนอื่นๆ ก็ยอมรับความเป็นจริงนี้ได้
แขกที่มาชมงานในเผ่าฝูถูก็อยู่ต่อไปอีกสองสามวันก่อนที่จะลากลับไป สามารถจินตนาการได้ว่าหลังจากที่พวกเขากลับไปเรื่องราวต่างๆ ในเผ่าฝูถูจะดังก้องไปทั่วมหาพันภพ เวลานั้นชื่อของมู่เฉินก็จะกระจายออกไป
เพราะแม้ว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะเป็นคนมาปิดเหตุการณ์ในเผ่าฝูถู แต่ในระหว่างทางฝีมือของมู่เฉินก็น่าตกใจอย่างยิ่ง
เขาไม่เพียงแต่เอาชนะผู้อาวุโสตระกูลเฉวียนหลายคนด้วยขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้น เขายังอาศัยพลังของค่ายกลพิทักษ์เพื่อปราบปรามผู้อาวุโสเจ็ดถึงแปดส่วนของเผ่า บังคับให้ฝูถูเฉวียนต้องเคลื่อนไหว…
ความสำเร็จนี้สร้างความตกตะลึงแท้จริงและทำให้ทุกคนพูดไม่ออก
บนภูเขาลูกหนึ่งในเผ่าฝูถู
มีคฤหาสน์ขนาดใหญ่พร้อมเก๋งหินและภูเขาเทียมที่ตกแต่งสวนที่นี่ได้อย่างงดงาม
ที่นี่เป็นที่พักที่ดีที่สุดของเผ่าฝูถูเพื่อใช้รับรองแขก ซึ่งตอนนี้เป็นที่พักชั่วคราวของมู่เฉิน
เมื่องานชุมนุมสายเลือดสิ้นสุดลง ผู้อาวุโสทุกคนต่างต้องการให้มู่เฉินย้ายออกจากที่พักรูหนูพร้อมกับยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกอายที่จะปฏิเสธ…
เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเกิดจากชิงเหยี่ยนจิ้งในฐานะผู้อาวุโสใหญ่
หากเป็นในอดีตแม้ว่ามู่เฉินจะไม่ได้เป็นตัวกาลกิณี แต่สถานะของเขาในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้นคงไม่มีโอกาสที่เขาจะได้รับความสำคัญใดๆ จากทางเผ่า แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว…
เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งหลุดพ้นข้อหา มิหนำซ้ำยังขึ้นดำรงผู้มีอำนาจสูงสุดของเผ่าฝูถู จึงไม่มีใครกล้าละเลย มู่เฉินบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของนาง แต่ละคนทำเสมือนเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเลยทีเดียว
ทว่ามู่ฉินก็ยังคงสงบนิ่งระหว่างการปฏิบัตินี้ ในเมื่อพวกเขายืนยันที่จะมอบให้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่เขาจะต้องสุภาพ แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ให้อะไรเขาก็ไม่สำคัญเช่นกัน
แม้ว่ามารดาของเขาจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่า แต่เขาก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจต่อเผ่า ดังนั้นเขาจึงไม่มีเจตนาที่จะใช้บารมีไปโอ้อวดอะไร
เพราะที่ผ่านมาเขาก็ใช้ชีวิตธรรมดามาตลอด แม้ว่าจะไม่มีเผ่าฝูถู เขาก็ยังมีชีวิตที่ดีได้
“สหายน้อยงานชุมนุมสายเลือดจบแล้ว ถึงเวลาพวกข้าต้องกลับสักที เรามาที่นี่เพื่ออำลา”
เย่าเฉินและหลินเตียว พาเซียวเซียวและหลินจิ้งมาถึงคฤหาสน์ใหญ่
การเดินทางมาเผ่าฝูถูครั้งนี้ก็เพื่อช่วยมู่เฉิน ในเมื่อมู่เฉินสบายดี พวกเขาก็ถึงเวลาจากลาแล้ว
มู่เฉินประสามมือด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ข้าต้องขอขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสองในครั้งนี้ นอกจากนี้โปรดส่งข้อความจากข้าถึงท่านเซียวเหยียนและท่านหลินต้ง คราวนี้มู่เฉินเป็นหนี้ทั้งสองท่านแล้ว”
เย่าเฉินและหลินเตียวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม พวกเขารู้ว่าเหตุผลที่เซียวเหยียนและหลินต้งให้ความสำคัญกับมู่เฉินก็เป็นการลงทุน พวกเขามีสายเฉียบแหลมเกี่ยวกับพรสวรรค์ของชายหนุ่มและรู้สึกว่าเขาจะต้องยืนอยู่ในจุดสูงสุดของมหาพันภพในวันหนึ่งแน่นอน
หลังจากเรื่องในเผ่าฝูถู เย่าเฉินและหลินเตียวก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ด้วยศักยภาพของมู่เฉินมีความเป็นไปได้ที่เขาจะไปถึงจุดสูงสุดในอนาคต
ไม่ใช่แค่ใครก็ได้ที่สามารถติดหนี้บุญคุณเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามในมหาพันภพ ทว่ามู่เฉินมีคุณสมบัติดังกล่าว
“ตอนแรกพวกเขาต้องการมาด้วยตัวเอง แต่ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาจักรวรรดิปีศาจต่างมิติเริ่มเคลื่อนไหว แคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูตั้งอยู่ที่ชายแดนของมหาพันภพ พวกเขาจึงไม่สามารถประมาทได้” เย่าเฉินและหลินเตียวกล่าว
เมื่อมู่เฉินได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็หดลง จักรวรรดิปีศาจต่างมิติเป็นศัตรูตัวฉกาจของมหาพันภพ ตัวเขาก็เคยเห็นความโหดเหี้ยมของเผ่าปีศาจด้วยตัวเขาเอง ตอนที่ไปในพิภพเขตล่าง
“ท่านเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามน่าชื่นชมอย่างแท้จริง”
ชิงเหยี่ยนจิ้งยืนอยู่ข้างมู่เฉินเพื่อมาส่งพวกเขา นางกล่าวว่า “ฝากบอกเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามว่าเผ่าฝูถูก็อยากสร้างสัมพันธไมตรี ภายภาคหน้าเราอาจจะได้ร่วมมือกัน หากจักรวรรดิปีศาจมิติเคลื่อนไหว ส่งข่าวบอกเผ่าฝูถูด้วย”
เมื่อหลินเตียวและเย่าเฉินได้ยินประโยคดังกล่าว สีหน้าก็เคร่งขรึมลง นี่ไม่เหมือนกับมู่เฉิน คำพูดของชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นตัวแทนของเผ่าฝูถูซึ่งเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณ ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู ดังนั้นแม้แต่เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามก็เต็มใจที่จะต้อนรับความสัมพันธ์ดังกล่าว
“เราจะนำคำพูดของเจ้าไปบอกอย่างแน่นอน” หลินเตียวและเย่าเฉินตอบกลับ
“เฮ้ มู่เฉิน! อย่าลืมไปเยี่ยมกันที่แคว้นหวูนะ ครั้งต่อไปที่เราพบกันข้าจะบุกเข้าระดับเทียนจื้อจุนเหมือนกัน!” หลินจิ้งกำหนัดแน่นพลางพูดกับมู่เฉิน
มู่เฉินยิ้ม “เจ้าทำได้แน่นอน”
ความสามารถของหลินจิ้งไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย เพียงแต่นิสัยติดเล่นเกินไปและนางไม่เคยสัมผัสกับความเป็นตายเช่นเดียวกับเขา ไม่อย่างนั้นนางเหนือกว่าเฉวียนหลัวและมั่วซินอย่างแน่นอน
“ตอนแรกเห็นเจ้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว ข้ายังตั้งใจจะประลองกับเจ้าสักหน่อย แต่หลังจากได้เห็นการแสดงฝีมือของเจ้าระหว่างงานชุมนุมสายเลือด ข้าก็ไม่อยากทำให้ตัวเองอับอาย ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าทำไมท่านพ่อถึงมองเจ้าสูงนัก นั่นเพราะเจ้าก็เหมือนกับเขา เป็นสัตว์ประหลาดด้วยกันทั้งคู่” เซียวเซียวจ้องไปที่มู่เฉินและพูดอย่างจริงจัง
ทันใดนั้นเส้นสีดำก็ปกคลุมหน้าผากของมู่เฉินทันที ‘เรียกพ่อตัวเองว่าสัตว์ประหลาด มันดีเหรอ?’
เย่าเฉินและหลินเตียวส่งยิ้มให้กัน แต่ก็ไม่คิดอยู่ต่อ หลังจากร่ำลามู่เฉินและชิงเหยี่ยนจิ้ง พวกเขาก็โบกมือพาเซียวเซียวและหลินจิ้งไป ขณะที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
“สหายน้อยไว้พบกันใหม่”
เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วท้องฟ้าขณะที่พวกเขาหายไป
มู่เฉินยืนนิ่งเฝ้าดูพวกเขาจากไป
“เฉินเอ๋อ เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามเป็นวีรบุรุษ แม้ว่าพวกเขาจะมาจากพิภพเขตล่าง แต่พรสวรรค์ของพวกเขาก็พิเศษเหนือกว่าทุกคนในมหาพันภพ ดังนั้นสายตาของพวกเขาจึงเฉียบแหลมมาก ในมหาพันภพมีผู้คนไม่มากที่จับตาพวกเขาได้ ข้ารู้สึกภูมิใจที่เจ้าสามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสองคนได้” ชิ้งเหยี่ยนจิ้งลูบหัวของมู่เฉินเบา ๆ ขณะที่หัวเราะ
“ผู้อาวุโสทั้งสองเป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง” มู่เฉินเห็นด้วย หลังจากได้พบปะพวกเขาสองคน เขาก็สัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของทั้งสองคน
“แต่เฉินเอ๋อของแม่ก็ไม่เลว ในอนาคตเจ้าจะสามารถยืนอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาได้อย่างแน่นอน” ชิงเหยี่ยนจิ้งกล่าว
“ขออวยพรให้เป็นจริง”
มู่เฉินยิ้มจากนั้นก็พูดต่อ “ท่านแม่ เราจะกลับไปที่มณฑลเป่ยหลิงเมื่อไร? ท่านพ่อรอวันนี้มายี่สิบกว่าปีแล้ว…”
แม้ว่าจะไม่มีใครในเผ่าฝูถูกล้าท้าทาย ทุกคนให้ความเคารพเขา แต่มู่เฉินก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นาน
สิ่งที่เขาต้องการทำที่สุดตอนนี้คือกลับไปที่มณฑลเป่ยหลิงพร้อมกับชิงเหยี่ยนจิ้ง
แม้ว่าที่นั่นจะกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับทวีปเทียนหลัวหรือเผ่าฝูถู แต่ก็เป็นบ้านในหัวใจของมู่เฉิน
เขาเติบโตที่นั่นและได้รับความมุ่งมั่นที่จะก้าวเข้าสู่มหาพันภพจากบ้านอันอบอุ่น…
ขณะเดียวกันเขาก็ไม่เคยลืมคำสัญญาที่มีให้ต่อบิดา…
แม้ว่าชายคนนั้นจะเป็นเพียงเจ้าเขตมู่เล็กๆ แต่เขาก็เลี้ยงดูปกป้องมู่เฉินจนเติบใหญ่ ดังนั้นภาพของบิดาคือวีรบุรุษในใจของมู่เฉินเสมอ
สายตาของชิงเหยี่ยนจิ้งเหม่อลอยไปเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะฉายแววตาอ่อนโยนเมื่อนึกถึงสามี “เขาไม่ทำให้ข้าผิดหวังที่เลี้ยงดูบุตรชายได้ดีพร้อมขนาดนี้”
ในเวลาเดียวกันน้ำเสียงของนางก็เต็มไปด้วยความปรารถนาเข้มข้น
“หลังจากแม่จัดการเรื่องต่างๆ ในเผ่าฝูถูเรียบร้อย ก็น่าจะเดินทางกลับพร้อมลูกได้”
รอยยิ้มเพิ่มขึ้นที่มุมริมฝีปากของชิงเหยี่ยนจิ้ง ขณะนางมองไปที่มู่เฉินก็ยิ้มกว้างออกมา “แต่ก่อนหน้านั้นข้ามีของขวัญเล็กๆ สำหรับเจ้าด้วย”
ก่อนที่มู่เฉินจะตอบ นางก็คว้าแขนบุตรชายพร้อมกับคลื่นหลิงโอบทั้งสองคนไว้
เมื่อแสงหายไปมู่เฉินก็เห็นทิวทัศน์ใหม่ ที่นี่เป็นสถานที่เก่าแก่มีเจดีย์หินสูงตระหง่านโบราณ
มู่เฉินคุ้นเคยกับสถานที่นี้ ตอนที่เขาปรับแต่งเจดีย์พุทธะก็ได้มายังสถานที่แห่งนี้ ซึ่งทำให้เขาเกือบถูกฝูถูเฉวียนจับได้ด้วย
“ท่านแม่?”
ชัดว่าเขาไม่รู้ทำไมชิงเหยี่ยนจิ้งถึงพาเขามาที่นี่
“ในเผ่าฝูถูเมื่อจอมยุทธ์บรรลุระดับเทียนจื้อจุนก็จะมีคุณสมบัติที่จะมาที่นี่และดูดซับรัศมีบรรพบุรุษเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งเจดีย์ของพวกเขาเป็นครั้งที่สอง” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะส่ายหัว “คงไม่เหมาะสมล่ะมั้งขอรับ?”
แม้ว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะพูดแบบสบายๆ แต่มู่เฉินจะไม่รู้ว่าสิ่งนี้มีค่าแค่ไหนได้อย่างไร? มีจอมยุทธ์ไม่มากนักที่จะได้รับสิ่งนี้ นอกจากนี้พูดแบบตรงๆ ตัวเขาก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเผ่า
เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งได้ยินคำพูดเหล่านั้นก็ตอบว่า “ตอนนี้แม่เป็นผู้อาวุโสใหญ่และถ้าข้าบอกว่าเจ้ามีคุณสมบัติคุณก็คือมีคุณสมบัติ นอกจากนี้นี่ยังเป็นสิ่งที่เผ่าฝูถูเป็นหนี้เจ้า ตอนนั้นพวกเขาละเลยเจ้า ดังนั้นนี่จึงถือเป็นการขอโทษ”
เมื่อเห็นด้านเผด็จการของชิงเหยี่ยนจิ้ง มู่เฉินก็ยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะพยักหน้ารับ
“งั้นข้าก็ขอบคุณท่านแม่”
เขารู้ดีว่าโอกาสที่เจดีย์ของเขาจะพัฒนาเป็นครั้งที่สองนั้นหายากเพียงใด ในเมื่อตอนนี้ส่งมาถึงตรงหน้า ก็น่าเสียดายที่จะต้องสละสิทธิ์ไป