หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1439 ราชันไป่หลิง
ตอนนี้อารมณ์ของถังเชียนเอ๋อบูดสนิท
หลังจากที่มู่เฉินออกจากสำนักศึกษาเป่ยชาง นางก็เลือกที่จะอยู่ในสำนักศึกษาต่อ ด้วยการทำงานหนักและความสามารถที่มี นางบรรลุระดับจื้อจุนขั้นแปดและยังได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาวั่นหวง
หลังจากได้เลื่อนตำแหน่ง นางก็ขอวันหยุดสั้นๆ เพื่อกลับมาเยี่ยมบิดาในมณฑลเป่ยหลิง แต่ตอนที่กลับมาถึงก็ได้ข่าวพิธีราชัน เนื่องจากถังซันบิดาของนางต้องติดตามมู่เฟิง นางจึงติดสอยห้อยตามมาเนื่องจากเป็นคนชอบงานครื้นเครงอยู่แล้ว
แต่ปัญหาดันเกิดขึ้น เมื่อไม่กี่วันที่ก่อนนางติดตามพวกมู่เฟิงเข้าพบราชันไป่หลิง อีกฝ่ายมองนางด้วยสายตาระยับระยับและบอกใบ้บางอย่าง ทว่าทั้งหมดก็ถูกนางปฏิเสธไป
เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้ราชันไป่หลิงไม่พอใจและยังจำกัดเสรีภาพของพวกนาง โดยตั้งใจที่จะข่มขู่ให้นางยอมจำนน
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้อารมณ์ของนางแย่สุดๆ
“เฮ้อ ลูกรัก…”
ถังซันยิ้มขมขื่นอยู่ข้างหลังมู่เฟิง เขามองไปที่ถังเชียนเอ๋อที่แม้จะดูนิ่งสงบ แต่ก็กำมือแน่นเป็นครั้งคราว เขารู้ดีว่านางรู้สึกแย่มาก ดังนั้นจึงเริ่มโทษตัวเอง “นี่เป็นความผิดของพ่อเองที่ให้เจ้ามาด้วย”
ถังซันทะนุถนอมบุตรสาวราวกับสมบัติล้ำค่า ย้อนไปตอนนั้นที่เขาส่งนางไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาวั่นหวง เขาก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่านางจะมีความสามารถมากขนาดบรรลุระดับจื้อจุนขั้นแปด ซึ่งถือได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของคนที่อยู่ในมณฑลเป่ยหลิง
นอกจากนี้ถังเชียนเอ๋อยังเป็นรองอาจารย์ใหญ่ ซึ่งทำให้แม้แต่มู่เฟิงซึ่งเป็นประมุขพันธมิตรเป่ยหลิงยังเทียบไม่ติด
ตอนแรกเขารู้สึกมีความสุขกับความโดดเด่นของบุตรสาว แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องขึ้นเพราะความโดดเด่นนี้…
ด้วยสถานะราชันไป่หลิง น่าจะได้พบเห็นสาวงามมามากมาย แต่เมื่อได้พบหน้ากับถังเชียนเอ๋อซึ่งเป็นรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาวั่นหวงก็ยังอดไม่ได้ที่จะถูกดึงดูดและข่มขู่
มู่เฟิงตบไหล่ถังซันแล้วหันไปหาถังเชียนเอ๋อ “เชียนเอ๋อพยายามหาโอกาสไปซะ ราชันไป่หลิงคงไม่ทำอะไรเราด้วยสถานะที่ค้ำคอ อย่างมากก็แค่สลายพันธมิตรเป่ยหลิงไป…”
เขาเฝ้ามองถังเชียนเอ๋อเติบโตไปพร้อมกับมู่เฉิน ดังนั้นเขาจึงไม่อยากเห็นนางต้องทนทุกข์
ถังเชียนเอ๋อถอนหายใจ นางได้ยินมาว่าราชันไป่หลิงไม่ใช่คนที่มีจิตใจกว้างขวาง ดังนั้นถ้านางจากไปละก็ เขาจะต้องเอาเรื่องถังซันและมู่เฟิงแน่
“ข้าจะปล่อยให้อะไรเกิดขึ้นกับท่านลุงไม่ได้ ไม่เช่นนั้นข้าจะอธิบายเรื่องนี้กับมู่เฉินอย่างไรในอนาคต?”
ถังเชียนเอ๋อกำมือแน่น สายตาวูบไหวพลางตัดสินในใจ นางวางแผนจะหาโอกาสหนีไปพร้อมทุกคน ในฐานะรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาวั่นหวง นางมีวิธีการบางอย่างเพื่อหลบหนีและสลัดราชันไป่หลิงให้พ้นทาง
แต่ถ้านางทำเช่นนั้น พันธมิตรเป่ยหลิงที่มู่เฟิงและถังซันใช้ความพยายามสร้างอยู่หลายปีก็จะสูญสลายไป รวมทั้งตัวนางคงจะไม่สามารถกลับไปยังมณฑลเป่ยหลิงได้อีก
เมื่อนึกถึงแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ เพราะนางมีความทรงจำมากมายที่นั่น
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่ บรรยากาศในห้องโถงก็พลุ่งพล่านพร้อมกับทุกคนยืนขึ้นมองไปยังบัลลังก์ด้วยความเคารพ
ภายใต้ขบวนแถวสาวงาม ร่างเงาร่างหนึ่งที่ดูแข็งแกร่งก็ปรากฏขึ้น เขาสวมเสื้อคลุมสีทองมีรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แต่ดวงตาเรียวยาวทำให้ดูคล้ายกับอิสตรีอยู่หลายส่วน
ขณะที่เดินเขาก็ปลดปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังซึ่งบอกว่ามาถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้ว
ที่ยืนอยู่ข้างหลังเป็นผู้อาวุโสชุดดำสองคนที่ราวกับวิญญาณ
“คารวะราชันไป่หลิง!”
เมื่อชายคนนั้นปรากฏขึ้นทุกคนก็เอ่ยทักทายพร้อมเพรียง
ราชันไป่หลิงยิ้มนั่งลงบนบัลลงก์แล้วสะบัดมือลง “ทุกคนนั่งลงเถอะ”
ทุกคนแสดงความขอบคุณทันทีก่อนที่จะนั่งลง ท่าทางเต็มไปด้วยเคารพนี้ทำให้ริมฝีปากของราชันไป่หลิงโค้งขึ้น
เขากวาดมองโถงประหนึ่งจักรพรรดิก่อนที่สายตาจะหยุดที่ร่างเงาหนึ่งของพันธมิตรเป่ยหลิง
“ฮ่าๆ แม่นางเชียนเอ๋อ เจ้าพอใจกับเมืองไป่หลิงของข้าหรือไม่?” ราชันไป่หลิงยิ้มโดยไม่สนใจคนที่เหลือและพูดเพียงกับถังเชียนเอ๋อ
ถังเชียนเอ๋อเผยสีหน้าสงบตอบว่า “ข้าได้เห็นแล้วว่าเมืองไป่หลิงเฟื่องฟูขนาดไหน แต่ในฐานะรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาวั่นหวง ข้ากลัวว่าจะไม่สามารถอยู่ได้นานเพราะมีหลายสิ่งต้องไปจัดการ”
นางปฏิเสธอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันก็นำสำนักศึกษาวั่นหวงมาช่วยออกหน้าด้วยความหวังว่าราชันไป่หลิงจะลดระดับลงบ้าง
ราชันไป่หลิงหัวเราะเบาๆ ทำเหมือนจะไม่ได้ยินความหมายในคำพูดของถังเชียนเอ๋อ เขายกถ้วยหยกตรงหน้าพลางหัวเราะ “ข้าไม่ทุบตีรอบพุ่มไม้ ข้าตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่แรกพและหวังว่าแม่นางเชียนเอ๋อจะอยู่เคียงข้างเพื่อดูแลทวีปไป่หลิงกับข้า”
คำพูดของเขาทำให้เกิดความวุ่นวายในโถง ทุกคนหันมามองที่ถังเชียนเอ๋อด้วยความอิจฉา ในสายตาของพวกเขานี่เป็นการก้าวสู่สวรรค์เลยทีเดียว
ทว่าถังเชียนเอ๋ออดกำกำปั้นด้วยความโกรธที่มีต่อราชันไป่หลิงไม่ได้ แต่นางไม่ใช่สาวน้อยที่กล้าได้กล้าเสียเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป นางหายใจเข้าลึกตอบว่า “ข้าขอขอบคุณราชันไป่หลิงสำหรับความรู้สึกที่มีให้ แต่ข้าชอบจัดการงานในสำนักศึกษาวั่นหวงมากกว่า เห็นแก่หน้าสำนักศึกษา ท่านให้เรื่องนี้ผ่านไปเถอะ”
ราชันไป่หลิงยิ้มขณะเล่นถ้วยหยกในมือ “แม้ว่าสำนักศึกษาวั่นหวงจะมีชื่อเสียง แต่กลัวว่ายังไม่เพียงพอที่จะระงับข้าได้…”
“ท่านพ่อข้าเป็นประมุขตำหนักปลายเหนือและมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้น ส่วนมารดาก็เป็นเจ้าสำนักร้อยบุปผาที่มีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้น”
ราชันไป่หลิงกล่าวขณะที่ยิ้มให้ถังเชียนเอ๋อ “เจ้าคิดว่าราชันอย่างข้าจะกลัวสำนักศึกษาวั่นหวงกระจ้อยร่อยเหรอ?”
แม้ว่าน้ำเสียงจะกลั้วเสียงหัวเราะ แต่บรรยากาศในห้องโถงก็เงียบลงจนผู้คนตัวสั่น ถึงพวกเขาจะรู้ภูมิหลังของราชันไป่หลิง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกดดันและตกใจเมื่อได้ยิน
ตำหนักปลายเหนือมีชื่อเสียงทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาพันภพ ขั้วอำนาจนี้ปกครองสี่ทวีป ซึ่งทวีปไป่หลิงเป็นหนึ่งในนั้น ตำหนักปลายเหนือจึงถือได้ว่าเป็นเจ้าเหนือหัวโดยไม่มีการโต้แย้งในดินแดนอันกว้างใหญ่นี้
ส่วนสำนักร้อยบุปผาแม้จะไม่ทรงพลังเท่าตำหนักปลายเหนือ แต่ก็มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนซึ้งถือได้ว่าครอบงำมาก เมื่อเทียบกับสิ่งนั้นผู้นำทั้งหมดที่นี่คือมดปลวก
อีกฝ่ายสามารถสลายพวกเขาเป็นฝุ่นได้ด้วยการเป่าเบาๆ
นี่เป็นสาเหตุที่ราชันไป่หลิงสามารถควบคุมทวีปไป่หลิงโดยมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น กระทั่งจอมยุทธ์ทรงพลังบางคนยังต้องยอมก้มหัวให้เขา
นั่นเป็นเพราะราชันไป่หลิงมีภูมิหลังที่น่ากลัว!
สีหน้าของถังเชียนเอ๋อเปลี่ยนไปขณะความกดดันกวนตัว ในแง่ของความแข็งแกร่งสำนักศึกษาวั่นหวงเอามาเทียบไม่ได้เลย
ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าสำนักศึกษาวั่นหวงเป็นผู้อ่อนแอ เนื่องจากในฐานะสำนักศึกษา สิ่งที่แข็งแกร่งไม่ใช่พลัง แต่เป็นความสัมพันธ์ที่มี
ดังนั้นหากตำหนักปลายเหนือและสำนักร้อยบุปผาต้องการทำลายสำนักศึกษาวั่นหวง นางเชื่อว่าพวกเขาต้องเผชิญกับการขัดขวางไม่น้อย
ถังเชียนเอ๋อกำมือตอบว่า “ราชันไป่หลิงต้องการบังคับข้าแบบนี้จริงหรือ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของถังเชียนเอ๋อ รอยยิ้มของราชันไป่หลิงก็จางหายไปพร้อมกับประกายอันตรายวาบในดวงตา
ทั้งโถงเงียบกริบ ทุกคนรู้สึกว่าแผ่นหลังเหงื่อไหลโชก พวกเขาทั้งหมดสาปแช่งถังเชียนเอ๋อที่ไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง หากนางทำให้ราชันไป่หลิงขุ่นเคืองใจ เรื่องนี้จบไม่ดีแน่
สายตาของมู่เฟิงเปลี่ยนไป เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ตกอยู่บนตัวถังเชียนเอ๋อ เขากัดฟันยืนขึ้นคารวะราชันไป่หลิงพร้อมกับรอยยิ้ม “ราชันอย่าโกรธเคืองเลย เชียนเอ๋อแค่ไม่รู้ แต่นางเป็นเพื่อนรักวัยเด็กของบุตรชายข้า ท่านเป็นคนที่จะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ ทำไมต้องมีปัญหากับผู้หญิงคนเดียว…”
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ ราชันไป่หลิงก็มองมาอย่างเย็นชา ผู้อาวุโสในชุดดำก็มองตามและก้าวออกไป “แกมีคุณสมบัติพอที่จะพูดที่นี่เรอะ?!”
คำพูดของเขาราวกับเสียงฟ้าร้องดังก้อง ทำให้ทั้งโถงสั่นสะเทือน คำพูดของมู่เฟิงหยุดลงขณะผลกระทบซัดใส่ ใบหน้าของเขาซีดลง ร่างกายซวนเซพร้อมกับรอยเลือดไหลที่มุมปาก
แรงกดดันคลื่นหลิงที่น่ากลัวที่เกิดขึ้นจากผู้อาวุโสชุดดำทำให้ผู้นำขั้วอำนาจอื่นสั่นสะท้าน “ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?!”
พวกเขาอุทานในใจ ราชันไป่หลิงช่างมีการสนับสนุนที่น่ากลัวแท้จริง แม้จะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ก็มีผู้คุ้มกันสองคนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
ราชันไป่หลิงคลึงถ้วยหยกเล่นไม่ได้มองไปที่มู่เฟิงขณะพูดอย่างไม่แยแส “ข้าไม่อนุญาตให้พูด เจ้ากล้าพูดแทรกได้ยังไง? แกเป็นใคร? แล้วลูกแกเป็นใครอีก? เขากล้าแย่งผู้หญิงกับข้าเรอะ?”
ใบหน้าของมู่เฟิงสลับไปมาระหว่างเขียวกับขาวขณะที่กำหมัดแน่น
“ลุงมู่เป็นยังไงบ้างเจ้าคะ?” ถังเชียนเอ๋อรีบเข้ามาประคองมู่เฟิงพลางถาม
มู่เฟิงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่นแล้วถอนหายใจ “ลุงไร้ประโยชน์”
ถังเชียนเอ๋อกัดฟันกรอด ดวงตาวูบไหว นางรู้ว่าอยู่ที่นี่อีกต่อไปไม่ได้แล้ว ตอนนี้นางคงต้องทำเป็นเอาใจราชันไป่หลิงไปก่อน แล้วหาโอกาสเหมาะพาทุกคนหนีไป
ด้วยความคิดนี้ นางลุกขึ้นมองไปยังราชันไป่หลิงก่อนที่จะกัดฟัน “ได้ ข้าสัญญา…”
แต่ก่อนที่นางจะได้พูดอะไรออกไป จู่ๆ ก็มีมือยื่นออกมาจากด้านหลังปิดปากนางไว้
ในเวลาเดียวกันเสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นพร้อมกับความหนาวเหน็บสาดซัดในโถง
“พี่เชียนเอ๋ออย่าบุ่มบ่ามพูดอย่างนั้น ขยะอย่างเขาไม่คู่ควรกับเจ้าเลยสักนิด…”