หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1442 สามีภรรยาพบหน้า
ถ้วยแตกกระจายบนพื้น
มู่เฟิงมองภาพเงาที่เยื้องย่างเข้ามาด้วยความไม่อยากเชื่อ ภาพเงานั้นตราตรึงอยู่ในหัวใจทุกเมื่อเชื่อวัน แม้จะแยกจากกันไปเนิ่นนาน
ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มหรือใบหน้าบึ้งตึงของภาพเงานั้นก็ทำให้หัวใจของเขาสะท้านไหว…
ย้อนไปในอดีตเพื่อปกป้องลูกน้อย ชิงเหยี่ยนจิ้งตัดใจจากลาไป ดังนั้นจินตนาการได้เลยว่ามู่เฟิงจะต้องทนทุกข์ทรมานแค่ไหนในช่วงเวลาที่ผ่านมา ด้านหนึ่งคือฮูหยินที่รักสุดหัวใจ อีกด้านหนึ่งก็คือลูกน้อยของเราสองคน
ยี่สิบกว่าปีที่เลี้ยงดูมู่เฉิน เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาก เขาคิดถึงร่างที่สถิตในดวงใจแทบตลอดเวลา ทว่าเขารู้ถึงความยากที่เราสองคนจะได้พบกัน ดังนั้นเขาจึงไม่แสดงอารมณ์เหล่านั้นต่อหน้ามู่เฉิน แม้ว่าจะปรารถนาในใจก็ตาม…
ตอนที่มู่เฉินออกจากมณฑลเป่ยหลิง เขาเคยสัญญาว่าจะพาชิงเหยี่ยนจิ้งกลับมา แต่ในเวลานั้นมู่เฟิงไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะรู้ซึ้งถึงความยากลำบากที่จะบรรลุ
ดังนั้นเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะพานางกลับมาจริงๆ…
“ชิง…”
เมื่อมองไปที่ภาพเงานั้นเสียงของมู่เฟิงก็เริ่มสั่นเครือ
ภาพเงานั้นยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฟิงมองใบหน้าที่สูงวัยยิ่งกว่าในอดีต แม้แต่ดวงตานางก็อดคลอไปด้วยหยาดน้ำตาไม่ได้
ตอนนั้นนางหลงทางจนมาถึงมณฑลเป่ยหลิง เนื่องจากอาการบาดเจ็บทำให้แทบจะกลายเป็นคนที่ไร้พลังใดๆ ถึงแม้จะมีขุมพลังของนางอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เพนสะอาการบาดเจ็บ ทำให้คลื่นหลิงที่กระจายออกจากร่างกายควบคุมไม่ได้เหมือนคนไร้พลัง ทำให้ดึงดูดเหล่าสัตว์อสูรทั้งหมดในป่าคิดจะกินนางเป็นอาหาร…
ตอนที่ตกอยู่ในความสิ้นหวังนางได้พบกับมู่เฟิง ชายคนนี้อ่อนแอในสายตานางนัก แต่กลับแบกนางขึ้นบนหลังโดยไม่ลังเลใดๆ จากนั้นพานางรอดพ้นจากการถูกห้อมล้อมของสัตว์อสูร
แม้จะมีบาดแผลมากมาย แต่เขาก็ไม่คิดปล่อยนางลง…
แม้ว่าการกระทำของเขาจะดูบ้าและโง่ในสายตาของนาง แต่ก็สร้างความประทับใจตราตรึงยิ่งนัก นางเคยได้พบกับอัจฉริยะมากมาย แต่เป็นเรื่องธรรมดาในหมู่พวกเขาที่จะทิ้งเพื่อนร่วมทางและหลบหนีเมื่อตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่นางจะเห็นคนที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยชีวิตคนที่พวกเขาพบเป็นครั้งแรก…
“เจ้าเริ่มแก่แล้ว” มือชิงเหยี่ยนจิ้งแตะเบาๆ ที่แก้มของมู่เฟิงที่เต็มไปด้วยตอเคราสั้นๆ
มู่เฟิงเกาหัว “แต่เจ้ายังงดงามเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงเลย”
“เจ้าเพิ่งบอกว่าไม่สนข้าไม่ใช่เหรอ?” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม แม้แต่หญิงสาวอ่อนโยนก็ไม่ง่ายที่จะจัดการต่อหน้าคนรัก
ทันใดนั้นมู่เฟิงก็ปวดหัวจี๊ดพลางถลึงตาใส่มู่เฉินที่ยิ้มดูอยู่ข้างๆ “เป็นความผิดของไอ้ลูกคนนี้!”
ชิงเหยี่ยนจิ้งหัวเราะ นางรู้ว่ามู่เฟิงไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้จริงๆ นางเอื้อมไปจับมือหยาบกระด้างของมู่เฟิงตอบว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินเอ๋อ ข้าคงยังกลับมาไม่ได้”
“เจ้าเลี้ยงลูกของเราได้ดีเหลือเกิน ไม่ได้ทำให้ความไว้วางใจของข้าพังทลายลง”
มู่เฟิงถอนหายใจ เขายังรู้สึกอึ้งที่ลูกชายตนเองมีความสามารถเช่นนี้ แต่ในเวลานี้เขาไม่สามารถเปิดเผยเรื่องนี้กับภรรยาได้ จึงกระแอมไอแก้เขิน “แม้ว่าข้าจะสอนดี แต่ไอ้หนูนี่ก็มีความสามารถ ไม่ได้ทำให้คำสอนของข้าไร้ประโยชน์”
ที่ด้านข้างมู่เฉินอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน
ทว่าตอนนี้เองมู่เฟิงก็ออกจากอารมณ์ดีใจเพราะนี่ไม่ใช่สถานที่เหมาะสม ทุกคนพากันจ้องมองมาที่พวกเขา
ใบหน้าของมู่เฟิงเห่อแดงจากสายตาที่จ้องมองมา เขาพูดกับชิงเหยี่ยนจิ้งอย่างขมขื่น “เฮ้อ ชิงน้อย เจ้าเด็กนี่อยู่นิ่งไม่ได้เลย สร้างปัญหาไปทั่ว”
แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็รู้สึกหวาดกลัว จะเกิดอะไรขึ้นถ้าบิดามารดาของราชันไป่หลิงมา? พวกเขาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร? หากสถานการณ์ดูท่าไม่ดี ดูเหมือนว่าเขาจะต้องให้มู่เฉินพาชิงเหยี่ยนจิ้งหลบหนีไป
ชิงเหยี่ยนจิ้งตอบด้วยรอยยิ้ม “เฉินเอ๋อรู้ขีดจำกัดของตัวเองดี ปล่อยให้เขาจัดการเรื่องนี้เถอะ”
หลังจากที่พูดนางก็หันไปหาถังเชียนเอ๋อและยิ้ม “เจ้าคือเชียนเอ๋อใช่ไหม?”
ดวงตาของถังเชียนเอ๋อเบิกกว้างเมื่อมองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้ง นางไม่เคยพบมารดาของมู่เฉิน เมื่อได้ยินอีกฝ่ายถาม นางก็พยักหน้าอย่างเหม่อลอย
จากนั้นนางก็หันไปหามู่เฉิน เพราะไม่รู้ว่าจะพูดเรียกมารดาเขาอย่างไร
“แม่ข้าชื่อชิงเหยี่ยนจิ้ง” มู่เฉินยิ้ม
“ท่านป้าจิ้ง” ถังเชียนเอ๋อเรียกอย่างเชื่อฟัง
รอยยิ้มอ่อนโยนกระจายออกมาบนริมฝีปากของชิงเหยี่ยนจิ้ง “ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากับเฉินเอ๋อโตมาด้วยกัน ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าป้าจิ้ง งั้นข้าจะให้ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อย”
ขณะที่พูดก็หยิบจี้ผลึกแก้วใสที่มีเข็มทิศหกเหลี่ยมสลักด้วยลวดลายลึกซึ้ง
“ขอบคุณท่านป้าจิ้ง” ถังเชียนเอ๋อรับไปด้วยความสุขบนใบหน้า
ทว่าตัวนางเพียงรู้สึกเพียงว่าจี้นี้สวยงามดี มีเพียงมู่เฉินเท่านั้นที่สัมผัสได้ว่ามีค่ายกลระดับจงซือผนึกอยู่ภายใน ในเวลาอันตรายจะสามารถป้องกันการโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้เลยทีเดียว
นี่เป็นยันต์ป้องกันชัดเจน
ตอนนั้นเองหลิงซีและหลงเซี่ยงก็ตามเข้ามา โดยเฉพาะเมื่อหลงเซี่ยงเข้ามาหลายคนก็หันมามองทันที
แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถบอกระดับของมู่เฉินได้ แต่พวกเขาสัมผัสแรงกดดันของหลงเซี่ยงได้ว่านี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้คุ้มกันสองคนของราชันไป่หลิงเลย
“นี่หลิงซี นางติดตามข้าตั้งแต่เด็ก ข้านับนางเป็นลูกสาวคนหนึ่ง” ชิงเหยี่ยนจิ้งดึงหลิงซีเข้ามาหาแนะนำให้มู่เฟิง
หลิงซีรู้สึกทำตัวไม่ถูกขณะมองไปที่มู่เฟิงและทำตามอย่างเชื่อฟัง “หลิงซีทักทายท่านน้ามู่”
ทันใดนั้นมู่เฟิงก็หัวเราะเบาๆ ขณะมองหลิงซีด้วยสายตาอ่อนโยน “ดี ดี ลูกสาวดีกว่าไอ้เด็กบ้านี่ที่ชอบรอดูเรื่องตลกของพ่อ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาหลิงซีก็ยิ้ม
“นายท่าน ข้าเป็นผู้คุ้มกันของนายหญิง หลงเซี่ยงขอรับ” หลงเซี่ยงโค้งคำนับต่อมู่เฟิงด้วยมารยาท
เมื่อมู่เฟิงเห็นสิ่งนี้ ก็รีบตอบกลับหลงเซี่ยงด้วยมารยาททันที นี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แม้แต่ในทวีปไป่หลิงก็เป็นผู้เชี่ยวชาญที่แม้แต่ราชันไป่หลิงยังต้องไว้หน้า ดังนั้นเขาจึงประหม่าเมื่อจอมยุทธ์ระดับดังกล่าวแสดงความเคารพต่อเขา
เพื่อเบี่ยงเบนบรรยากาศที่น่าอึดอัด มู่เฟิงแนะนำสหายพันธมิตรเป่ยหลิงให้ชิงเหยี่ยนจิ้งรู้จักทันที ซึ่งนางก็ยิ้มตอบกับทุกคน
เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ก็แอบยิ้มไม่ได้ ถ้าคนเหล่านี้รู้ว่ามารดาของเขาเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง พวกเขาคงไม่มีความกล้าแม้แต่จะเปิดปากพูดกับนาง…
ในขณะที่มู่เฉินและพรรคพวกกำลังสนุกกับการสนทนากัน ทุกคนในห้องโถงก็ยังคงเงียบ ไม่มีใครกล้ารบกวน ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมาทักทายพวกเขา
เพราะเมื่อไรที่บิดามารดาของราชันไป่หลิงมาถึงก็จะเกิดการต่อสู้สะเทือนฟ้าดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในตอนนั้นถ้ามู่เฉินไม่สามารถเผชิญหน้าได้ วันนี้จะจบลงด้วยโศกนาฏกรรม…
แล้วใครจะกล้าพูดคุยกับพันธมิตรเป่ยหลิงตอนนี้กันล่ะ?
ราชันไป่หลิงมองไปมู่เฉินอย่างโหดเหี้ยมและคำรามในใจ ‘สนุกกันให้พอเถอะ เมื่อไรที่พ่อแม่ข้ามาถึง พวกแกจะไม่มีเวลากระทั่งร้องไห้!’
แต่มู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจกับสายตาร้ายกาจนั่น ที่เขาให้ไปเรียกคนมาช่วยของราชันไป่หลิงมาก็เพราะต้องการจัดการกับเรื่องนี้ทีเดียวในวันนี้
การรวมมณฑลเป่ยหลิงเป็นงานหนักของมู่เฟิง แม้ว่าจะไม่มีอะไรในสายตาของมู่เฉิน แต่ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบิดาของเขา
ดังนั้นเขาจะต้องจัดการกับเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเพื่อความสงบสุขของมู่เฟิงและพันธมิตรเป่ยหลิง…
ไม่ว่าจะเป็นราชันไป่หลิงหรือประมุขตำหนักปลายเหนือ พวกเขาล้วนเป็นตัวอันตราย หากเขาไม่สามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม
ด้วยความคิดนี้มู่เฉินจึงนั่งลงด้านข้างอย่างเงียบๆ และรอ
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ทุกคนเริ่มกระวนกระวายใจ พวกเขารู้สึกว่าพายุใกล้เข้ามาแล้ว
เมื่อตะวันเลื่อนตกลง แสงสีแดงเข้มก็ส่องไปทั่วทั้งเมืองไป่หลิง…
ฮึ่ม
ทันใดนั้นมู่เฉินก็ลืมตาขึ้น เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังที่มาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย
“ในที่สุดก็มาถึงแล้ว” มู่เฉินเอ่ยเสียงเบา
พริบตาคลื่นหลิงทรงพลังก็กวาดล้างออกไปทั่วภูมิภาค ทุกคนในเมืองไป่หลิงตัวสั่นสะท้านจากแรงกดดัน
เมื่อความกดดันปรากฏขึ้น ห้วงมิติก็บิดตัวบนท้องฟ้าของวังแห่งนี้
ตู้ม!
ห้องโถงสั่นสะเทือน จากนั้นทุกคนก็ตกตะลึงเมื่อเห็นหลังคาของโถงถูกพัดออกไปขณะที่คลื่นหลิงน่ากลัวบีบลง ในเวลาเดียวกันเสียงของผู้หญิงที่เต็มไปด้วยรังสีสังหารก็ดังก้อง
“ไอ้โง่หน้าไหนกล้าตัดแขนลูกข้า! ไสหัวออกมา!”