หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1445 ภูมิหลัง
ทั้งโถงเงียบงันเมื่อเสียงระมัดระวังดังขึ้น
ยิ่งกว่านั้นฉิงเป่ยเฉวียนและพรรคพวกอีกสองคนก็มองไปที่อีกฝ่ายด้วยความตกใจ
“พี่หลู่ เจ้า?!” ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนไม่น่าดู เขาไม่รู้ว่าทำไมสหายของเขาถึงมีมารยาทและหวาดกลัวต่อชายหนุ่มคนนี้
นี่ทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอีกสองคนมีสีหน้าประหลาดใจ
ผู้คนในโถงก็หันมามองหน้ากัน
มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะมองไปที่อีกฝ่ายพลางพยักหน้า “ถ้าเจ้ากำลังพูดถึงมู่เฉินแห่งตำหนักมู่ของทวีปเทียนหลัว นั่นก็คือข้าเอง”
หลังจากได้รับการยืนยันจากมู่เฉิน เขาก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยพร้อมกับความกลัวรวมตัวในดวงตามากขึ้นก่อนที่จะประสานมือคารวะ “ท่านประมุขสินะ ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าขุ่นเคือง”
“พี่หลู่!” ฉิงเป่ยเฉวียนเรียกอีกครั้ง
เขาถอนหายใจก่อนที่จะหันไปหาฉิงเป่ยเฉวียน “พี่ฉิงเพื่อเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนที่มีมายาวนาน ข้าขอแนะนำให้เจ้าปล่อยเรื่องนี้ไปซะ”
ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนบิดเบี้ยวเล็กน้อย จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ตามมาอีกสองคนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขามองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะถามว่า “พี่หลู่ ชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร?”
เวลานี้พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความกลัวที่มีต่อมู่เฉินถึงให้โง่แค่ไหนก็ตาม เนื่องจากกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนยังหวาดกลัว ไม่ต้องพูดถึงที่พวกเขาที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเลย
อีกฝ่ายถอนหายใจ “ที่นี่อยู่ห่างไกลจากทวีปฝูถู ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเจ้าจะยังไม่รู้เรื่องนี้ เมื่อไม่นานมานี้ประมุขมู่ไปเยือนเผ่าฝูถูและเอาชนะเหล่าผู้อาวุโสของเผ่าด้วยตัวคนเดียว จนสุดท้ายผู้อาวุโสใหญ่ฝูถูเฉวียนต้องออกโรงเองเพื่อหยุดเขาไว้”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นสีหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนก็เปลี่ยนไป เขารู้เกี่ยวกับสถานะของเผ่าฝูถูในมหาพันภพ นั่นเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณที่มีรากฐานทรงพลัง
แม้แต่ตำหนักปลายเหนือของเขาก็เทียบไม่ติดกับเผ่าโบราณ ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ซึ่งเป็นยอดยุทธ์ในมหาพันภพเลยทีเดียว
ดังนั้นบอกได้ว่ามู่เฉินน่ากลัวเพียงใด ในเมื่อเขาสามารถบีบให้ฝูถูเฉวียนเคลื่อนไหวได้
“เป็นไปได้ยังไง? เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเองนะ” อีกสองคนก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เหลือเชื่อมาก จำนวนของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนของเผ่าฝูถูมีมากกว่านิ้วบนสองมือ พวกเขาสามารถเป่ามู่เฉินตายได้ด้วยจำนวนเพียงอย่างเดียว
“ตอนนั้นเขาควบคุมค่ายกลพิทักษ์เผ่าฝูถูเพื่อปราบปรามผู้อาวุโสทั้งหมด แม้แต่ประมุขตระกูลเฉวียนและมั่วที่เป็นจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” อีกฝ่ายยังคงอธิบายต่อไป
เมื่อทั้งสองคนได้ยินคำพูดนั้น พวกเขาก็แอบเดาะลิ้น มู่เฉินไม่บ้าระห่ำไปหน่อยเหรอ? เขาทำบางอย่างที่น่ากลัวขนาดนี้แล้วจะไม่ทำให้เผ่าฝูถูขุ่นเคืองเรอะ?
ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนดูเคร่งขรึมลง แต่ก็รู้สึกโล่งใจลงส่วนหนึ่ง ที่แท้มู่เฉินก็แค่อาศัยค่ายกล พลังนั้นไม่ได้เป็นของเขา
“ถึงมันจะประสบความสำเร็จได้แบบนั้นจริงๆ แต่ก็ไม่เห็นต้องกลัวมันมากขนาดนี้หรอกมั้ง? มันสร้างความระแคะระคายให้เผ่าฝูถู ยังไม่ต้องเกรงกลัวอะไรแบบนี้ได้เหรอ?” ฉิงเป่ยเฉวียนเอ่ยเสียงขรึม
ความสำเร็จของมู่เฉินทำให้เขารู้สึกตกตะลึง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนต้องกลัวได้
อีกฝ่ายส่ายหัวตอบว่า “อย่าดูถูกที่ขุมพลังเขาต่ำไป เขาเอาชนะผู้อาวุโสระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นของเผ่าฝูถูได้โดยอาศัยความสามารถของตนเอง”
“ยิ่งไปกว่านั้น…เจ้าคิดว่าทำไมเขาถึงไม่เป็นอันตรายแม้จะพลิกคว่ำพลิกหงายเผ่าฝูถูแล้ว?”
คำพูดของเขาทำให้ทั้งสามคนใจสั่นทันที ตระกูลเก่าแก่แบบเผ่าฝูถูไม่ยอมเสียชื่อเสียงที่สั่งสมมานาน การกระทำของมู่เฉินถือได้ว่าทำให้พวกเขาอับอายขายหน้า ตามหลักเหตุผลเผ่าฝูถูไม่ควรปล่อยเขาให้มาลอยหน้าลอยตาในมหาพันภพได้ง่ายๆ แล้วทำไมเขายังสามารถทำหน้าระรื่นที่เบื้องหน้าพวกเขาได้อีก…
นั่นหมายความว่ายังไง? ก็หมายความว่าแม้แต่เผ่าฝูถูก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้!
“มู่เฉินมีมิตรภาพลึกซึ้งกับเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและเทพจักรพรรดิสงครามแห่งแคว้นหวู หลังจากที่เขาคว่ำเผ่าฝูถูได้ ทั้งเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรสงครามก็ยังให้การสนับสนุนเขาต่อ” เสียงต่ำยังคงอธิบายต่อไป
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ใบหน้าทั้งสามก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามเป็นยอดยุทธ์ในตำนานที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพ พวกเขาเป็นจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก
กระนั้นมู่เฉินก็มีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับพวกเขา? มากถึงขนาดที่ว่าพวกเขายอมเป็นศัตรูกับเผ่าฝูถูให้ด้วย?
“มิน่าล่ะ…เมื่อเทพจักรพรรดิทั้งสองสนับสนุนเขา แม้แต่เผ่าฝูถูก็ต้องเกรงกลัว” พรรคพวกสองถอนหายใจ
อีกฝ่ายยิ้มก่อนจะพูดต่อ “นั่นไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุด เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมมู่เฉินถึงไปอาละวาดที่เผ่าฝูถู? เขาไปช่วยเหลือมารดา”
“บิดามารดาของเขาพบรักกันในทวีปไป่หลิง ทำให้เผ่าฝูถูโกรธแค้นและกักขังนางไว้ มู่เฉินเลยไปช่วยมารดาออกมา”
“ยิ่งไปกว่านั้นมารดาของเขาก็น่ากลัวไม่แพ้กัน… เมื่อนางออกมาได้ก็ชิงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ของฝูถูเฉวียนไป มิหนำซ้ำนางยังเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งอีกด้วย นั่นหมายความว่าผู้อาวุโสใหญ่คนปัจจุบันของเผ่าฝูถูก็คือมารดาของเขา”
คำพูดของเขาทำให้สหายทั้งสามอ้าปากค้างพร้อมกับความตกตะลึงฉายบนใบหน้า มารดาของมู่เฉินคือผู้อาวุโสใหญ่คนใหม่ของเผ่าฝูถูเรอะ!
ไม่น่าแปลกใจที่มู่เฉินไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแม้จะก่อเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ เพราะมารดาเขาถืออำนาจสูงสุด!
จอมยุทธ์สองคนแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาเริ่มมีความคิดที่จะถอยออกมาแล้ว เนื่องจากพวกเขารู้ดีถึงผลที่ตามมาของการทำให้มู่เฉินขุ่นเคือง
ไม่เพียงแต่แคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเผ่าฝูถูด้วย…
ขั้วอำนาจเหล่านี้ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ สามารถทำให้ทั้งโลกสั่นสะเทือนด้วยการเคลื่อนไหวเพียงปลายก้อย แม้ว่าพวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ได้รับความเคารพจากผู้อื่นนับไม่ถ้วน แต่พวกเขาก็รู้ระยะห่างของตนเองเมื่อเทียบกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง…
ด้วยภูมิหลังแบบนี้ คงมีไม่กี่คนในมหาพันภพที่จะกล้าแหย่มู่เฉิน
ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนซีดขาว ตอนแรกเขาคิดว่ามู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงธรรมดา แต่เขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะมีภูมิหลังเช่นนี้ ซึ่งนี่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว
ตอนนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้ว
ในขณะที่ฉิงเป่ยเฉวียนลังเล เขาก็เห็นสีหน้าของสหายเปลี่ยนไปอีกครั้ง ก่อนจะอดถามออกมาไม่ได้ “มีอะไรอีก?”
ดวงตาของสหายกะพริบ สายตาเขากวาดผ่านห้องโถงมองไปที่ภาพเงาที่ยืนอยู่ข้างมู่เฟิง ก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด “เจ้าเห็นผู้หญิงคนนั้นไหม? นางดูเหมือนมารดาของมู่เฉินเลย…”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ฉิงเป่ยเฉวียนก็รู้สึกได้ว่าจิตใจระเบิดด้วยความกลัว ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นบนใบหน้าของสหายอีกสองคนด้วย ตอนแรกพวกเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับใครในห้องโถง แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขามองไปอย่างระมัดระวังก็รู้สึกถึงแรงกดดันคลุมเครือปลดปล่อยมาจากนาง
“ใช่! ใช่! นางเป็นมารดาของมู่เฉินและเป็นผู้อาวุโสใหญ่ปัจจุบันของเผ่าฝูถู ชิงเหยี่ยนจิ้ง!” ในที่สุดเสียงเขาก็ยืนยันและแสดงรอยยิ้มบิดเบ้ไม่น่าดูยิ่งกว่าร้องไห้
สหายอีกสองคนก็รู้สึกถึงแกนกระดูกสั่นสะท้าน พวกเขากำลังคิดจัดการลูกชายของหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งต่อหน้านางเชียวเหรอ? พวกเขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรหากพวกเขาลงมือทำจริงๆ
จากนั้นพวกเขาก็มองไปที่ฉิงเป่ยเฉวียน “พี่ฉิง เราเกือบไปเยี่ยมนรกเพราะเจ้าแล้ว”
น้ำเสียงของพวกเขาฟังเหมือนคร่ำครวญ ไม่มีปัญหาที่ฉิงเป่ยเฉวียนจะเรียกพวกเขามาช่วย ทว่าฉิงเป่ยเฉวียนไม่ได้ตรวจสอบด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังจะงัดข้อกับใคร นั่นก็คล้ายกับการขุดหลุมเพื่อให้พวกเขากระโดดเข้าไป
ใบหน้าของฉิงเป่ยเฉวียนก็สลับไปมาระหว่างขาวกับเขียว เขาฝืนยิ้มอย่างขมขื่น “เป็นความผิดของข้า ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าไอ้ลูกโง่จะสร้างปัญหาเช่นนี้”
“เดี๋ยวข้าไปพบนางและดูว่าสามารถยุติเรื่องนี้ได้หรือไม่”
ฉิงเป่ยเฉวียนต้องการตรวจสอบและดูว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูจริงหรือไม่
พรรคพวกทั้งสามคนพยักหน้าเห็นด้วย
ดังนั้นทั้งสี่ซึ่งตอนแรกมาด้วยท่าทางดุร้ายก็พลิ้วตัวลงมาจากหลังคา
“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ!”
ใบหน้าของราชันไป่หลิงเต็มไปด้วยความปีติยินดีขณะที่ตะโกน
ทว่าฉิงเป่ยเฉวียนไม่ได้ให้ความสนใจกับบุตรชาย เขาตรงมาที่กลุ่มพันธมิตรเป่ยหลิงและประสานมือให้กับชิงเหยี่ยนจิ้งที่ยืนอยู่ข้างมู่เฟิง
“ไม่ทราบว่าใช่ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถูหรือไม่?”
เสียงกังวลของฉิงเป่ยเฉวียนดังก้องภายในโถง ทำให้ความสุขบนใบหน้าราชันไป่หลิงแข็งค้าง ขณะมองไปที่ฉากนี้ด้วยความไม่เชื่อเหมือนกันผู้นำคนอื่นๆ
กลุ่มพันธมิตรเป่ยหลิงที่ตอนแรกสนทนากับชิงเหยี่ยนจิ้งด้วยรอยยิ้มก็ต่างตกใจ พวกเขามองไปที่นางพลางกลืนน้ำลายลงคอ
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสี่ถึงเข้ามาคารวะชิงเหยี่ยนจิ้ง
เมื่อมองไปที่ท่าทางเต็มไปด้วยมารยาทของพวกเขา ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ประหลาดใจไปชั่วครู่ก่อนที่จะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าคือชิงเหยี่ยนจิ้ง”
คำพูดของนางเหมือนถังน้ำเย็นที่ราดรดทำให้ฉิงเป่ยเฉวียนรู้สึกเย็นสะท้านจับจิต
พวกเขาตาบอดจริงๆ ที่ทำเป็นลิงหลอกเจ้าต่อหน้าหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง…