หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1488 ชั้นสุดท้าย
ในดินแดนโบราณแห่งนี้
พื้นดินแตกระแหงราวกับที่นี่ได้ผ่านการต่อสู้โชกโชน กระทั่งสุดขอบฟ้าก็ขาดรุ่งริ่ง
บนพื้นดินแตกสลายมีภูเขาสีแดงเข้มตั้งตระหง่านอย่างเงียบๆ ซึ่งปล่อยกลิ่นอายโบราณและอมตะออกมา ช่างให้ความรู้สึกลึกลับ
บนภูเขาสีแดงเข้มมีร่างเงาสามร่างนั่งบนแท่นขนาดใหญ่ ทั้งสามตั้งระวังซึ่งกันและกันอยู่
พวกเขาก็คือหมัวเฮอโยว เยี่ยฉิงและทัวป๋าชาง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาผ่านรอบคัดออกมาถึงชั้นสุดท้ายแล้ว
“ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าผลจะเป็นไปตามที่ข้าคาดไว้ที่พวกเจ้าสองคนมาถึงที่นี่” หมัวเฮอโยวมองไปที่เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางขณะที่ยิ้ม “ในบรรดาร้อยกว่าคน มีเพียงเจ้าสามคนเท่านั้นที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้”
เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางรู้ว่าบุคคลที่สามที่หมัวเฮอโยวพูดถึงก็คือซื่อหลัว
“ถ้างั้นก็ต้องขอขอบคุณที่ให้ความคาดหวังสูงกับเรานะ” เยี่ยฉิงกระชับหอกสีแดงเข้ม เสียงหัวเราะช่างไม่แยแส แต่ดวงตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร เขาไม่กลัวหมัวเฮอโยวสักนิด
สำหรับทัวป๋าชางกลับนิ่งเงียบโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้า
“แต่ซื่อหลัวยังมาไม่ถึงที่นี่ ดังนั้นเขาต้องเจอกับศัตรูทรงพลังอยู่แน่” เยี่ยฉิงสังเกตว่าจอมยุทธ์คนที่สี่ยังไม่ปรากฏตัว เขาจึงอดจะดูประหลาดใจไม่ได้
“ต้องเป็นมู่เฉินคนนั้นแหละ” ทัวป๋าชางแสดงความคิดเห็น
พวกเขาทราบข้อมูลของมู่เฉินดีและรู้ว่าคนที่มีอันดับจี้ตามหลังพวกเขามีพลังการต่อสู้ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
“แม้ว่ามู่เฉินจะมีความสามารถ แต่ก็ยังขาดหลายส่วนที่จะเอาชนะซื่อหลัวได้” หมัวเฮอโยวหัวเราะ เขาเคยเห็นฝีมือการต่อสู้ของมู่เฉิน แม้ว่าอีกฝ่ายจะทรงพลัง แต่เขาไม่รู้สึกว่ามู่เฉินจะเอาชนะซื่อหลัวได้
แม้ว่าเยี่ยฉิงและทัวป๋าชางจะระวังตัว แต่ก็ยังพยักหน้าเห็นด้วย เนื่องจากพวกเขาตระหนักดีถึงความสามารถของซื่อหลัว แม้กระทั่งตัวพวกเขาก็ยังไม่มั่นใจในการเอาชนะซื่อหลัว
ดังนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะมีความสามารถ แต่ด้วยขุมพลังขั้นหลิงระยะกลางก็น่าจะไม่สามารถเอาชนะซื่อหลัวที่อยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาได้
ฮึ่ม!
เมื่อสิ้นเสียงพูดคุย มิติก็แปรปรวน ทันใดทั้งสามก็มองไปทันที
ภายใต้การจ้องมอง มิติบิดเบี้ยวก็เผยภาพเงาอ่อนเยาว์ขึ้น…
สายตาของทั้งสามจับจ้องมองไปที่ใบหน้าคนมาใหม่ชั่วครู่ ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าของหมัวเฮอโยวจะแข็งค้าง แม้แต่เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางก็หดดวงตาขณะมองไปที่ร่างเงานั้นด้วยความตกใจ
คนที่มาใหม่ก็คือมู่เฉิน เขามองไปที่หมัวเฮอโยว เยี่ยฉิงและทัวป๋าชาง สายตาก็วูบไหวเล็กน้อยก่อนที่จะถอยออกไปในระยะที่ปลอดภัย…
“เจ้าเอาชนะซื่อหลัวได้เรอะ?” หมัวเฮอโยวขมวดคิ้วขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตามืดมน
“แปลกตรงไหน?” มู่เฉินกวาดสายตามองไปอย่างไม่แยแส
“เฮ้ น่าสนใจดี… ดูเหมือนข้าจะประเมินเจ้าต่ำอยู่ตลอด” รอยยิ้มขี้เล่นปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของหมัวเฮอโยวขณะมีแสงเย็นวาบในดวงตา เขาไม่ชอบความรู้สึกของสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม
มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจอีกฝ่าย แต่มองไปที่ภูเขาสีแดงเข้ม เขาสัมผัสได้ถึงแรงดูดที่ไม่อาจบรรยายได้…
รัศมีอมตะที่เปล่งออกมาจากภูเขานั้นเหมือนกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ทุกประการ
นี่ทำให้หัวใจของมู่เฉินเต้นรัวแรง ‘ร่างมหาเทพนิรันดร์ในตำนานซ่อนอยู่ในภูเขาลูกนั้นงั้นหรือ?’
“เจ้าเดาถูก ร่างมหาเทพนิรันดร์น่าจะอยู่ในภูเขานั้น” มู่เฉินมองไปก็พบว่าเยี่ยฉิงเป็นคนพูดนั่นเอง
ตู้ม!
เมื่อเยี่ยฉิงพูดจบ ภูเขาสีแดงเข้มก็สั่นสะท้าน รอยแยกขนาดใหญ่บนภูเขาแตกออกก่อนที่จะค่อยๆ กระจายออกไปราวกับว่าภูเขากำลังจะแยกออกจากกัน
รอยแยกเหล่านั้นเปล่งรัศมีอมตะที่ไม่อาจบรรยายได้ นั่นเป็นความอมตะที่แท้จริง แม้ว่าสวรรค์และโลกจะแตกสลาย มันก็ยังจะคงอยู่ต่อไป
รัศมีสีม่วงทองเปล่งออกมาจากเบื้องหลังมู่เฉิน หมัวเฮอโยว เยี่ยฉิงและทัวป๋าชาง ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของพวกเขาถูกเร้าออกมาโดยไม่อาจควบคุมได้ ราวกับว่าพวกมันรู้สึกถึงแรงดูดทรงพลัง
สายตาของมู่เฉินเดือดพล่านขณะมองไปที่ภูเขา เขาสัมผัสได้อย่างคลุมเครือว่าเมื่อภูเขาแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็จะถือกำเนิดขึ้น…
แต่เมื่อหัวใจของมู่เฉินเต็มไปด้วยความปรารถนา เขาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่จ้องมองมา เขาหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกายทันทีและมองไปที่หมัวเฮอโยว
ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกถึงความศัตรูของเยี่ยฉิงและทัวป๋าชางเช่นกัน เนื่องจากร่างมหาเทพนิรันดร์กำลังจะปรากฏขึ้น แต่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะได้รับไป…
“ทุกคนน่าจะรู้ว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ไป…” สายตาหมัวเฮอโยววูบไหวความเย็นเยือกราวกับอสรพิษร้ายพร้อมกับน้ำเสียงอัดแน่นด้วยไอสังหาร “ดังนั้นเราไม่ควรที่จะลดจำนวนคู่แข่งลงก่อนที่ร่างมหาเทพนิรันดร์จะปรากฏรึ?”
สายตาของมู่เฉิน เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางกะพริบวาบขณะที่ถามขึ้นในเวลาเดียวกัน “เจ้าต้องการอะไร?”
หมัวเฮอโยวเหยียดสองนิ้วออกมา รอยยิ้มโหดร้ายปรากฏขึ้นที่มุมริมฝีปาก “แบ่งออกเป็นสองกลุ่มและกำจัดคู่ต่อสู้ของเรา”
ขณะที่พูดสายตาเย็นชาก็จับจ้องไปที่มู่เฉิน ชัดว่าตัวเขากำหนดเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว
เยี่ยฉิงขมวดคิ้วพูดว่า “เจดีย์ไม่ได้ต้องการตัดใครออกแล้ว ซึ่งหมายความว่าทุกคนที่นี่มีคุณสมบัติพอที่จะได้เห็น…”
หมัวเฮอโยวยิ้มตาหยี “แต่ข้าไม่ได้คิดในมุมมองเดียวกัน”
บรรยากาศบนแท่นเย็นเยือกลง เจตนาฆ่าพลุ่งพล่านไปหมด
เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางมองไปที่มู่เฉิน พวกเขารับรู้แล้วว่าหมัวเฮอโยวกำลังจ้องหาเรื่องอีกฝ่าย…
ภายใต้สายตาทั้งสอง มู่เฉินก็ไม่มีแรงกระเพื่อมใดๆ บนใบหน้า เขามองไปที่หมัวเฮอโยวพลางยิ้มอ่อน “ดูเหมือนว่าเจ้าจะมั่นใจมากในการไล่ข้าออกไปก่อนที่ร่างมหาเทพนิรันดร์จะเผยออกมา?”
หมัวเฮอโยวตอบกลับด้วยเสียงเบาว่า “ถ้าเจ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอที่จะยืนต่อหน้าข้าเพราะเอาชนะซื่อหลัวได้ เจ้าก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”
มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า “ถ้าเจ้าอยากเล่นฆ่าเวลา ข้าก็จะเล่นด้วย”
รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นที่มุมหมัวเฮอโยวขณะตอบว่า “ข้ากลัวว่าเจ้าจะเล่นจนตัวเองตายนะสิ”
มู่เฉินคลี่รอยยิ้ม ขยับตัวกลายเป็นริ้วแสงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
มองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา หมัวเฮอโยวก็เคลื่อนไหวไล่ตามไปทันที
เยี่ยฉิงลังเลชั่วครู่ก่อนที่หอกสีแดงเข้มในมือจะชี้ไปที่ทัวป๋าชาง “สิ่งที่เขาพูดถูกต้อง มีเพียงคนเดียวที่จะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ไป ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีที่ดีในการกำจัดคู่แข่ง”
ทัวป๋าชางพยักหน้าคว้าดาบปลายหัก เส้นผมปลิวไสวไปในสายลมพร้อมกับรัศมีแหลมคมกวาดออกไป ทิ้งรอยไว้ในพื้นที่โดยรอบ
“ข้าอยากลองทักษะหอกอสุราของพี่เยี่ยมานานแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ…”
“พวกเขาสู้กันอีกแล้ว!”
เมื่อเหล่าผู้ชมเห็นภาพในกระจกสองบานก็มีไฟลุกโชนในดวงตา เนื่องจากทั้งสี่เป็นตัวแทนจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในงานชุมนุมนิรันดร์ครั้งนี้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นหมัวเฮอโยว เยี่ยฉิงหรือทัวป๋าชาง พวกเขาล้วนมีชื่อเสียงแกร่งกร้าว แม้แต่มู่เฉินที่เพิ่งจะมีชื่อเสียงก็สามารถเอาชนะซื่อหลัวได้
ในเมื่อร่างมหาเทพนิรันดร์ใกล้จะเผยออกมา ก็ถึงเวลาที่ทั้งสี่คนจะเปิดฉากการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่…
“หมัวเฮอโยวน่ารังเกียจนัก!”
ใบหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้งเย็นชาลง นางบอกได้เลยว่าหมัวเฮอโยวเล็งเป้ามาที่มู่เฉิน โดยเฉพาะมู่เฉินเพิ่งเสร็จศึกกับซื่อหลัว กองทัพมังกรดำได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่สามารถออกรบได้ในตอนนี้ มิฉะนั้นแม้แต่หมัวเฮอโยวก็คงไม่กล้าเสี่ยง
“ไม่ต้องกังวล” ฝูถูเฉวียนปลอบใจ เขามองไปที่ภาพเงาอ่อนเยาว์ในกระจก “ลูกชายเจ้ามีกลยุทธ์หลากหลายพร้อมกับเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ข้าไม่เชื่อว่ากองทัพมังกรดำเป็นไพ่ตายใบเดียวของเขา…”
“เจ้านั่นแหละเจ้าเล่ห์”
ชิงเหยี่ยนจิ้งตอบอย่างไม่พอใจ แต่จากนั้นก็สงบใจลงได้ แม้ว่ามู่เฉินจะใช้กองทัพมังกรดำไม่ได้ แต่เขาก็ต้องมีความมั่นใจในการต่อสู้ถึงได้กล้ารับคำท้า
หมัวเฮอเทียนมองไปที่กระจกเช่นกัน ส่วนผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอที่เห็นหมัวเฮอโยวและมู่เฉินประจันหน้ากันก็ต่างส่ายหัว
“มู่เฉินช่างยโสโอหัง ไม่ต้องพูดถึงกองทัพมังกรดำได้รับบาดเจ็บหนัก แม้ว่าเขาจะมีมันในตอนนี้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสู้กับหมัวเฮอโยว”
หมัวเฮอเทียนตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “หมัวเฮอโยวทำได้ดีมาก”
พวกเขาเห็นพ้องต้องกันเต็มที่ที่หมัวเฮอโยวจะกำจัดคู่แข่งก่อนที่ร่างมหาเทพนิรันดร์จะปรากฏ ซึ่งจะดีมากถ้าสามารถกำจัดคู่แข่งทั้งสามคนได้ กรณีนี้ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็จะมีทางเลือกเดียวก็คือหมัวเฮอโยว
“แต่เวลากระชั้นชิดนัก ข้าเกรงว่าร่างมหาเทพนิรันดร์จะปรากฏขึ้นในเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป” ผู้อาวุโสคนหนึ่งมองไปที่ภูเขาสีแดงเข้มในกระจก
หมัวเฮอเทียนสวมรอยยิ้มเย็นชาขณะมองการเผชิญหน้าผ่านกระจก
“เวลาเท่านั้นก็เกินพอที่หมัวเฮอโยวจะถีบเจ้าเด็กนั่นออกจากเจดีย์วั้นกู่แล้ว…”