หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1535 บุคคลที่สาม
วังมหาพันภพ
ภายในวังทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพ ขณะนี้ทั้งหมดเงียบเสียงลงแผ่แรงกดดันกระจายไปทั่วชั้นบรรยากาศ
ทุกสายตาจดจ่อไปที่ชายสองคนที่ยืนอยู่กลางวัง
“ทุกคนเรากำลังเผชิญหน้ากับสงครามทำลายล้างมหาพันภพ” เซียวเหยียนเงยหน้าขึ้นกวาดตามอง
เหล่าจอมยุทธ์ตกอยู่ในความเงียบ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว
“ท่านเซียวเหยียน ท่านหลินต้ง…พวกเจ้าไม่สามารถสู้กับเทพปีศาจคนนั้นได้จริงหรือ?” ฉิงเทียนขมวดคิ้วพร้อมกับรอยยิ้มขมขื่น
เซียวเหยียนและหลินต้งแลกเปลี่ยนสายตากันก็ถอนหายใจ “ถ้าเทพปีศาจมีดวงตาห้าดวง พวกข้าก็ไม่กลัว แต่ถ้ามันมีดวงตาเก้าดวง เราคงสู้มันไม่ได้”
สายตาของหลินต้งแหลมคมขึ้นขณะพูดต่อ “เว้นแต่… พวกข้าคนใดคนหนึ่งจะสามารถจารึกชื่อเต็มไว้บนทำเนียบเหนือภพ ด้วยวิธีนี้ก็จะสามารถใช้พลังเอกภพเพื่อฆ่าเทพปีศาจจักรพรรดิได้”
ชิงซันมองไปที่ทั้งสองคนด้วยสายตาเต็มไปด้วยความหวัง “ถ้าเรารวบรวมทรัพยากรทั้งหมดในมหาพันภพมา ไม่รู้ว่าเจ้าสองคนจะจารึกชื่อลงไปได้หรือไม่”
เซียวเหยียนและหลินต้งพากันส่ายหัว “ชื่อเต็มไม่นับเป็นตัวอักษร ทั้งหมดแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือแซ่และส่วนที่สองเป็นชื่อ… หากเราต้องการจารึกชื่อเต็มก็ต้องใช้พลังมหาศาลที่สั่งสมด้วยตัวเองเท่านั้น แม้พวกเราจะมั่นใจ แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการทำเช่นนั้น”
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง โดยทั่วไปแล้วเวลาหลายสิบปีไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ตอนนี้เทพปีศาจเหลือเวลาให้พวกเขาห้าปีเท่านั้น ก่อนที่จะกลับมาและนั่นก็จะเป็นวันโลกาวินาศของมหาพันภพ…
เวลาคือสิ่งที่พวกเขาขาดไปในตอนนี้
“ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงหรือ?” เสียงแหบพร่าของปู้สื่อดังก้อง ใบหน้าแก่ชรากลายเป็นสีเทาพร้อมกับรัศมีที่ดิ่งลง
เซียวเหยียนและหลินต้งจนคำพูด บรรยากาศในห้องโถงถูกระงับเพิ่มขึ้น
มู่เฉินมองไปที่เหล่าจอมยุทธ์ที่นิ่งงันลงก็พูดว่า “ถ้าเราไม่สามารถช่วยผู้อาวุโสทั้งสองจารึกชื่อเต็มในทำเนียบเหนือภพได้ งั้นเรารวบรวมทรัพยากรทั้งหมดและสร้างจอมยุทธ์ในทำเนียบขึ้นมาใหม่ได้ไหม? ด้วยจอมยุทธ์บนทำเนียบสามคน เราจะสามารถสู้กับเทพจักรพรรดิปีศาจได้หรือไม่?”
คำพูดของเขาทำให้บรรยากาศในห้องโถงแข็งทื่อทันใด ก่อนที่เหล่าจอมยุทธ์จะเผยแววตาปีติดีใจพร้อมกับความสุขบนใบหน้า
เซียวเหยียนและหลินต้งนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะมองมู่เฉินด้วยความชื่นชม “ความคิดนี้เป็นไปได้ หากเพิ่มจอมยุทธ์อีกคนบนทำเนียบได้ แม้ว่าเขาจะจารึกเพียงแซ่ไว้ได้เท่านั้น เมื่อเราร่วมพลังกัน ต่อให้ไม่สามารถเอาชนะเทพปีศาจได้ แต่ก็ยังสามารถข่มความเสี่ยงในชัยชนะของมันในมหาพันภพได้”
ทุกคนในห้องโถงเหมือนคว้าโอกาสรอดชีวิตสุดท้ายได้ ต่างเริ่มพูดคุยกันอย่างกระตือรือร้น บรรยากาศที่หดหู่ก่อนหน้าก็หายไปหลายส่วน
“แต่คำถามคือใครจะเป็นจอมยุทธ์ทำเนียบคนที่สาม?” เซียวเหยียนกวาดสายตาออกไป
บรรยากาศเงียบลงอีกครั้งขณะที่ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตากัน ทว่าไม่มีใครกล้าเปิดปาก ทุกคนที่มารวมตัวกันที่นี่เป็นตัวแทนสุดยอดของมหาพันภพ แต่ต่อให้เป็นพวกเขาก็ยังหวาดกลัวทำเนียบเหนือภพลึกลับนั่น
สายตาบางส่วนพุ่งไปที่ฉิงเทียนและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายคนอื่นๆ นอกเหนือจากเซียวเหยียนและหลินต้ง พวกเขาแข็งแกร่งที่สุดและมีโอกาสที่สุด…
ทว่าเผชิญหน้ากับสายตาของทุกคน ฉิงเทียนและคนอื่นๆ ก็ฉายสีหน้าขมขื่น แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายและดูเหมือนห่างจากทำเนียบเหนือภพเพียงก้าวเดียว แต่พวกเขารู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตนจะเรียกทำเนียบเหนือภพออกมาด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเขาไม่มั่นใจว่าจะไปถึงระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิทั้งสองได้ภายในห้าปี
เมื่อมองไปที่การแสดงออกของพวกเขา ทุกคนก็เงียบลงความสุขที่เขียนบนใบหน้าจางหาย…
เซียวเหยียนและหลินต้งสบตากันก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขารู้ไม่สามารถตำหนิคนอื่นๆ ได้เนื่องจากพวกเขารู้ว่าเรื่องนี้ยากแค่ไหน
พวกเขากวาดสายตาไปก็ต้องหยุดมองที่มู่เฉิน พวกเขาเห็นว่าชายหนุ่มมีท่าทางละล้าละลังที่จะพูด
“มู่เฉินพูดในสิ่งที่คิดเถอะ ตอนนี้มหาพันภพถูกรุกรานตราบใดที่ยังมีความหวังเราจะไม่ยอมแพ้” เซียวเหยียนยิ้ม
ทุกคนมองไปที่มู่เฉินทันที
ตั้งรับสายตาเหล่านี้ มู่เฉินก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เขาลังเลชั่วครู่จากนั้นดวงตาก็ค่อยๆ คมกล้าขึ้นพลางมองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้ง “ข้าอยากลองเป็นจอมยุทธ์ทำเนียบคนที่สาม”
โห่
ทั่วทั้งวังตกอยู่ในความโกลาหล ทุกคนมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกตะลึง แม้ว่าชายหนุ่มจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่ก็มีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเท่านั้น แม้แต่ขั้นเซิ่งระยะปลายยังไม่มั่นใจ แล้วเขาไปเอาความกล้ามาจากไหน?
“หึ ไอ้หนูแกมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน มีคุณสมบัติที่จะพูดคำเหล่านั้นเรอะ” หมัวเฮอเทียนเค้นเสียงเย็น เขาไม่ชอบขี้หน้ามู่เฉินตั้งแต่แรก ในเมื่อมีโอกาสก็ต้องสาดโคลนใส่ซะหน่อย
แม้ว่าคนอื่นๆ ไม่ได้พูด แต่ความสงสัยในดวงตาก็ชัดเจน ท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้สำคัญมากและพวกเขาไม่เห็นความหวังใดๆ ในตัวมู่เฉิน
หลังจากลังเลชั่วครู่เซียวเหยียนและหลินต้งก็ถามว่า “ทำไมเจ้าถึงมั่นใจ?”
แม้ว่าพวกเขาสองคนจะสนับสนุนมู่เฉินมาโดยตลอด แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของมหาพันภพ พวกเขาจึงไม่กล้าละเลยเรื่องใดแม้เพียงเล็กน้อย
ภายใต้สายตาสงสัยทั้งหมดที่จ้องมองมา ท่าทางของมู่เฉินก็แสดงออกอย่างสบายๆ ขณะตอบว่า “แม้ว่าข้าจะไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แต่ข้ามั่นใจว่าสามารถฝึกวิชาสามพิสุทธิ์ให้เข้าสู่ขั้นสามพิสุทธิ์ได้”
ย้อนกลับไปตอนที่เขาต่อสู้กับเจียงหยา เขาได้รับความเข้าใจเลือนรางเกี่ยวกับขั้นสามพิสุทธิ์ในตำนาน
“วิชาสามพิสุทธิ์? ขั้นสามพิสุทธิ์?” เหล่าจอมยุทธ์แลกเปลี่ยนสายตากันเนื่องจากพวกเขาไม่คุ้นเคยกับขั้นตอนที่ว่า เพราะแม้แต่จักรพรรดิฟ้าก็ไม่สามารถบรรลุได้ในเวลานั้น
“แม้วิชาสามพิสุทธิ์จะเป็นหนึ่งในวิทยายุทธขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานของมหาพันภพ แต่คงไร้ผลกับทำเนียบเหนือภพ” หมัวเฮอเทียนหัวเราะเยาะ
มู่เฉินปรายตามองหมัวเฮอเทียนกล่าวว่า “แค่วิชาสามพิสุทธิ์อย่างเดียวไม่มีประโยชน์อะไรจริง”
จากนั้นเขาก็หยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ขั้นที่เรียกว่า ‘สามพิสุทธิ์’ หมายถึงร่างรองของข้าจะยืนอยู่ในฐานะจอมยุทธ์คนหนึ่งและอาศัยอยู่ในโลก ในเวลานั้นร่างรองจะสามารชำระร่างมหาเทพปฐมกาลได้อีกสองร่างและเมื่อรวมเข้าด้วยกันจะสามารถทำให้ข้าใช้ร่างมหาเทพปฐมกาลได้ถึงสามร่าง ข้าเชื่อว่าในเวลานั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแม้ว่าจะต้องเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลาย”
“ในเวลานั้นหากทรัพยากรทั้งหมดรวมอยู่ที่ข้าก็จะช่วยให้ข้าก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้ภายในห้าปี ข้าเชื่อว่าตนเองจะกระตุ้นทำเนียบเหนือภพและทิ้งแซ่ไว้ได้”
คำพูดของมู่เฉินทำให้ทุกคนอ้าปากตาค้างทันที ขณะที่อาการตกตะลึงกวนตัวไปทั่ว
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตกใจกับคำพูดของมู่เฉินมาก
“จะ…เจ้า ร่างรองของเจ้าสามารถฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ได้ด้วยหรือ?” จอมยุทธ์คนหนึ่งพูดติดอ่าง
“แล้วยังเป็นร่างมหาเทพปฐมกาลอื่นด้วยเรอะ?!”
แม้ว่ามู่เฉินจะใช้วิชาสามพิสุทธิ์ก่อนหน้านี้ แต่ร่างรองก็สามารถแบ่งปันร่างเทห์สวรรค์กับร่างหลักเพียงร่างเดียว ไม่สามารถฝึกฝนขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง
มู่เฉินไม่มีระลอกคลื่นในสายตาตอบอย่างใจเย็นว่า “ขั้นสามพิสุทธิ์สามารถบรรลุสิ่งนั้นได้อย่างแท้จริง”
ทุกคนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เนื่องจากยังไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จกับขั้นสามพิสุทธิ์มาก่อน
เมื่อเซียวเหยียนกับหลินต้งได้ยินคำพูดเหล่านั้น พวกเขาก็ไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนที่จะขอคำยืนยัน “มู่เฉินที่กำลังพูดอยู่คือความจริงหรือ?”
มู่เฉินยิ้ม “การโกหกมีความหมายอะไร? ถ้าตอนนี้ข้าพูดเรื่องไร้สาระออกมาก็เท่ากับเดินเข้าหาความตาย”
เทพจักรพรรดิทั้งสองพยักหน้าจากนั้นก็มองไปที่คนอื่นๆ “ทุกคนคิดว่าอย่างไร?”
คนอื่นๆ สวมสีหน้าที่ซับซ้อน
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งฉิงเทียนก็กล่าวว่า “เรายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ?”
ทุกคนยิ้มอย่างขมขื่น แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจิ้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายยังไม่มั่นใจ ดังนั้นนอกจากวิธีของมู่เฉิน แล้วพวกเขาจะเลือกทางอื่นได้เรอะ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ก็ทำได้แค่ลองดู” ฉิงเทียนกัดฟัน
ปู้สื่อ จักรพรรดิมังกรแท้จริงและคนอื่นๆ ก็พยักหน้าเช่นกัน
สายตาของหมัวเฮอเทียนสั่นไหวด้วยความไม่แน่ใจขณะที่พึมพำ “บ้ากันหมดแล้ว!”
เมื่อทุกคนเห็นด้วย เซียวเหยียนกับหลินต้งก็หายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมองไปที่มู่เฉิน “เช่นนั้นพวกเราก็ขอฝากความหวังของมหาพันภพไว้ที่เจ้าแล้ว…”
ท่าทางของมู่เฉินเคร่งขรึมลงตอบว่า “ข้าจะทำให้ดีที่สุด แต่ข้าหวังว่าเงื่อนไขจะได้รับการตอบรับด้วย”
“ข้าต้องการร่างมหาเทพปฐมกาลอีกสองร่าง…”
“ยิ่งไปกว่านั้นข้าต้องการให้ทรัพยากรทั้งหมดมุ่งมาที่ข้าเพื่อที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งในห้าปี…”